ข้าคือหงส์พันปี นิยาย บท 361

หลังจากที่พ่อบ้านเปิดประตู เฮ่อฟั่งและฉินหรูเหลียงกำลังยกเท้าก้าวเข้าไป

เฉินเสียนแข็งใจที่จะไม่เข้าไปดูซูเจ๋อ จึงเอ่ยขึ้นว่า “ใต้เท้าซูเป็นผู้ชาย ถ้าข้าเข้าไปอย่างผลีผลามมันจะไม่เหมาะ สู้ให้ข้ารออยู่ด้านนอก แล้วให้แม่ทัพกับใต้เท้าเฮ่อเข้าไปน่าจะดีกว่า ”

ที่จริงแล้วเธอกลัวว่า ถ้าเข้าไปเห็นซูเจ๋ออาจจะทำใจไม่ได้ อาการป่วยของเขาเช่นนี้ให้เฮ่อฟั่งเป็นคนสังเกตอาการจะดีกว่า

เพียงแค่ได้ยืนฟังอยู่ด้านนอกก็พอแล้ว

เฮ่อฟั่งมองเฉินเสียน แล้วพูดว่า “ไหนๆก็มาแล้ว ทำไมองค์หญิงจิ้งเสียนไม่เข้าไปด้วยกันรึ?”

เฉินเสียนพูด “ชายหญิงมีความแตกต่างกัน ข้าไม่ได้กล้าเหมือนใต้เท้าเฮ่อ ยืนฟังอยู่ด้านนอกน่าจะเหมาะสมกว่า ขอแม่ทัพทักทายแทนข้าแล้วกัน”

ชายหญิงมีความแตกต่างกัน ที่นี่เป็นห้องนอนของซูเจ๋อ ถ้าหากว่าเฉินเสียนเข้ามาด้วย มันคงจะไม่เหมาะสมอย่างยิ่ง

ซูเจ๋อพิงตัวอยู่ที่หัวเตียง สวมเสื้อสีขาว ผมสีดำดั่งน้ำหมึก ใบหน้าสีขาวซีด

เขาหลับตาลง เพื่อที่จะฟังคำพูดของเฉินเสียน นัยน์ตาดำนั้นดำขลับ ล้ำลึกไร้ขอบเขต

ในเวลานั้นเขาก็เอียงหูฟังและจับใจความได้เล็กน้อย สำหรับเขาแล้วคำพูดเหล่านั้นไม่ใช่การเป็นการปลอบใจแต่อย่างใด

ระหว่างทั้งสองคนมีเพียงแค่บานประตูกั้น เห็นได้ชัดว่าอยู่ใกล้กันมาก แต่มองกลับไม่เห็นซึ่งกันและกัน

เพียงประตูห้องเปิดออก เฮ่อฟั่งกับฉินหรูเหลียงก็เดินเข้าไป เฉินเสียนก็ได้กลิ่นยาที่ฉุนลอยออกมาจากภายในห้อง พร้อมกับได้กลิ่นไม้กฤษณาที่คุ้นเคย

เขาเปลี่ยนกลับไปเป็นบัณฑิตที่งดงามดั่งแสงดวงจันทร์คนเดิม

ร่างกายสะอาดหมดเกลี้ยง ไม่มีรอยบาดแผลและกลิ่นคาวเลือด มีเพียงแต่กลิ่นของกฤษณาที่ทำให้คนรู้สึกสดชื่นและมีความสุข

เฉินเสียนยืนอยู่ด้านนอก ได้ยินเสียงทักทายของเขา หัวใจก็รู้สึกทั้งเจ็บปวด และรับรู้ถึงความอบอุ่น

ความรู้สึกคนคนหนึ่งที่เก็บไว้ในใจ มันไม่ทำให้เธอว่างเปล่าและรู้สึกเหงา

น้ำเสียงคำพูดของเขาดูเรียบธรรมดา คล้ายกับคนคุยเล่นกัน แต่ก็มีความประณีตและละเอียดอ่อน เสียงพูดของเขาแหบแห้งเป็นลักษณะของคนป่วย แต่เฉินเสียนกลับรู้สึกว่าเป็นความอ่อนโยนที่พิเศษ

การเต้นของหัวใจนั้น ได้สูบฉีดเลือดให้แพร่ขยายไปทั่วร่างกายและแขนขาของเฉินเสียน เส้นประสาทของเธอทุกเส้นได้รับผลกระทบมาจากเขา

ซูเจ๋อกลับมาพร้อมเธอ

หลังจากที่เธอวิ่งล้มลงไป เขาสามารถเข้ามาพยุงเธอไว้ได้ แต่เขากลับไม่ทำ เลือกที่จะยืนอยู่ด้านหลังของเธอเฉยๆ ก่อนที่เธอจะกลับเข้าเมืองหลวงเขาทำดีกับเธอทุกอย่าง

เฉินเสียนฟังเสียงของซูเจ๋อ แล้วเงยหน้าออกไปมองท้องฟ้าสีเทานอกชายคา

จริงๆแล้วการกระทำครั้งนี้ของเขา บอกเป็นนัยแล้วว่าเขาไม่ได้สนใจเธอและปล่อยให้เธอเป็นอิสระ

หลังจากนั้นก็มีนางสนมสองคนนำอาหารตุ๋นยาจีนจากด้านนอกเข้ามา

กลิ่นของอาหารตุ๋นยาจีนนั้น บอกได้เลยว่าเป็นยาสำหรับรักษาความโศกเศร้าและบำรุงร่างกาย

เพียงแต่จักรพรรดิพระราชทานนางสนมสองคนมาให้ซูเจ๋อ เฉินเสียนก็มองเหตุการณ์ออก ซูเจ๋อได้ฆ่านางคนนั้นต่อหน้าเธอไปแล้ว

ถึงนางสนมทั้งสองคนนี้จะมีใบหน้าที่แปลกตา เพียงแต่เฉินเสียนมองดูอย่างละเอียด ก็จำไม่ค่อยได้ว่านางสนมคนเดิมนั้นหน้าตาเป็นอย่างไร

ทั้งสองคนสวมกระโปรงสีสันสดใส รูปร่างอ่อนช้อย ท่าทางการเดินมีเสน่ห์เย้ายวน นั้นคล้ายกับนางสนมสองคนก่อน

มันน่าจะผ่านมานานมาก ก็คงไม่มีใครจำได้ว่านางสนมที่ฐานะต้อยต่ำนั้นหน้าตาเป็นอย่างไร

ยิ่งไปกว่านั้นซูเจ๋อไม่เคยพานางสนมทั้งสองคนออกไปเปิดเผยแต่อย่างใด คนภายนอกไม่เคยได้เห็นสนมทั้งสองคนนี้อย่างแน่นอน

ซูเจ๋อไม่แน่ชัดว่า ตอนที่จักรพรรดิพระราชทานนางสนมให้ ตอนนั้นเฮ่อฟั่งไม่ได้อยู่ด้วย ดังนั้นเฮ่อฟั่งจึงไม่เคยเห็นอย่างเป็นทางการ

แม้ว่าเฉินเสียนไม่รู้ว่าซูเจ๋อได้พานางสนมสองคนนี้เข้ามาในจวนตั้งแต่เมื่อไร แต่ว่าตอนนี้เฮ่อฟั่งเป็นคนข้างกายของจักรพรรดิ ถ้าเกิดเขาไม่เห็นสองคนนี้ก็คงยังไม่ละทิ้งความสงสัยในใจของเขาได้

ฉินหรูเหลียงที่ไม่ได้พูดอะไรมาตลอด จึงเอ่ยเสียงต่ำขึ้นว่า “เจ้าพักผ่อนให้เพียงพอ พวกข้าไม่รบกวนเจ้าแล้ว”

ซูเจ๋อพูด “ ขออภัย ข้าซูกระหม่อมไม่มีแรงจะลุกไปส่งพวกท่านได้”

เฮ่อฟั่งพูด “เจ้าดูแลตัวเองให้ดีก่อนเถอะ องค์จักรพรรดิยังรอคำตอบจากเจ้าอยู่”

ทั้งสามคนเดินทางออกจากบ้านเขาไป

เฉินเสียนและฉินหรูเหลียงนั่งรถม้าคันเดียวกัน เพื่อกลับไปที่จวนแม่ทัพ แต่เฮ่อฟั่งนั้นกลับบ้านของตัวเอง

เพียงแต่คิดไม่ถึงว่า เฮ่อฟั่งที่เพิ่งกลับไปไม่นานกลับย้อนกลับมาอีก

เมื่อเขาเข้ามาในบ้าน ก็เจอกับนางสนมทั้งสองเมื่อครู่นี้อยู่กลางห้องโถง

นางสนมเมื่อเห็นเขา จึงเดินเข้ามาถามอย่างนุ่มนวล ว่า “ใต้เท้าคือคนที่ลืมของไว้?”

พูดเสร็จก็โน้มตัวยื่นสายคาดเอวไปตรงหน้าให้กับเฮ่อฟั่ง แล้วพูดว่า “สิ่งนี้ใช้ของใต้เท้าหรือไม่?เมื่อครู่มันตกอยู่ในห้องนอนของใต้เท้าซู ใต้เท้าซูเห็นจึงเรียกให้หม่อมฉันรีบนำสายคาดเอวมาคืน หวังว่าจะตามใต้เท้าทัน แต่คิดไม่ถึงว่ายังไม่ทันถึงประตูใหญ่ ใต้เท้าก็กลับกันแล้ว”

เฮ่อฟั่งยังไม่รู้เลยว่าสายคาดเอวของตัวเองนั้นหล่นหายไปเมื่อใด

แม้ว่าจะไม่ใช่ที่สิ่งที่ประเมินค่าไม่ได้ แต่ว่าระหว่างเขากับซูเจ๋อนั้นไม่เคยติดต่อคบหากัน และมีจุดยืนที่ต่างกัน เขาไม่ควรที่จะลืมของไว้ในบ้านของเขา เพื่อป้องกันไม่ให้มีการกุมอำนาจเกิดขึ้นในวันหน้า

เฮ่อฟั่งยื่นมือมารับไป แม้แต่คำพูดขอบคุณเขาก็ขี้เกียจพูด ในขณะที่นางสนมทั้งสองย่อตัวต่ำลง

ทำให้เขาไปแตะโดนมือของนางสนมอย่างไม่ทันได้ระวัง มือนั้นอ่อนนุ่มกว่าที่เขาคิดไว้

นางสนมแสดงสีหน้าเขินอาย เหมือนมีเรื่องอยากจะพูดแต่กลับไม่พูดออกมา

เฮ่อฟั่งที่เชี่ยวชาญในการสังเกตการแสดงออกของผู้อื่น จึงเอ่ยขึ้นว่า “เจ้าสองคนมีอะไรจะพูดรึไม่?”

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ข้าคือหงส์พันปี