ข้าคือหงส์พันปี นิยาย บท 437

ขณะที่เฉินเสียนและฉินหรูเหลียงออกจากพระตำหนักไท่เหอนั้น ก็ได้ยินทหารเวรยามได้ทูลรายงานว่าเจอร่องรอยของนักฆ่าที่ประตูทิศตะวันออกของพระราชวัง

เฉินเสียนกำเศษผ้าในมือแน่น จู่ๆ ในใจก็เป็นกังวลขึ้นมาอย่างไม่รู้สาเหตุ ผู้คนที่ถูกองค์จักรพรรดิเรียกเข้าเฝ้า ต่างก็ใช้ประตูทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ทั้งนั้น ส่วนประตูทางทิศตะวันออกนั้นเป็นทางที่เหล่าขุนนางจากทำเนียบขาวใช้เข้าออกเพื่อเข้าเฝ้าการทรงว่าราชกิจ

เมื่อใกล้จะถึงประตูวังแล้ว เฉินเสียนก็เหลือบเห็นคบเพลิงที่ส่องสว่างกำลังเคลื่อนไหวไปยังทางเดินของพระราชวัง เหล่าทหารรักษาพระองค์จำนวนมากต่างพากันมุ่งเข้าไปทางนั้นเพื่อเป็นกองกำลังสนับสนุน ไม่รู้ว่าเป็นเพียงภาพลวงตาในมโนคิดของเธอหรือเป็นความจริงที่เกิดขึ้นกันแน่ และเธอก็ยังได้ยินเสียงดาบที่เกิดขึ้นจากการต่อสู้อีกด้วย

แต่ขาของเฉินเสียนที่ไม่ยอมเชื่อฟัง ราวกับว่ามันมีความคิดเป็นของตัวเอง ขาข้างที่ยังอยู่ข้างหลังก็เตรียมจะพุ่งไปยังทิศทางที่เหล่าทหารรักษาพระองค์กำลังมุ่งหน้าไป

แต่แล้วจู่ๆ ข้อมือของเธอก็ถูกรั้งไว้ ฉินหรูเหลียงเป็นคนดึงเธอไว้ เขาถามขึ้นว่า : "ท่านจะไปทำอะไร?"

จากนั้นเฉินเสียนก็ได้ยินตัวเองตอบกลับไปว่า : "ข้าจะไปดูเสียหน่อย พวกเขาจับนักฆ่าคนนั้นได้หรือเปล่า"

"เรื่องนั้นไม่เกี่ยวอะไรกับท่าน" ฉินหรูเหลียงเม้มปากเบาๆ แล้วพูดต่อว่า : "ตอนนี้ทั้งพระราชวังต่างก็กำลังเฝ้าระวัง ท่านอยากจะให้ฝ่าบาทจับท่านเป็นผู้สมรู้ร่วมคิดกับนักฆ่าคนนั้นหรือ? ตอนนี้เอาตัวท่านเองให้รอดก่อน ออกไปแล้วค่อยว่ากัน"

ไม่มีช่องว่างให้เฉินเสียนได้พูดสอดแทรกเลยแม้แต่คำเดียว เขาจูงแขนเฉินเสียนหมุนตัวแล้วเดินออกไปยังประตูทิศตะวันออกเฉียงใต้ในทันที

ทั้งคู่ขึ้นรถม้า จากนั้นรถม้าก็ออกเดินทางออกจากประตูพระราชวังทันที

ประตูทิศตะวันออกเฉียงใต้ห่างจากประตูทิศตะวันออกไม่ไกลมาก เฉินเสียนเปิดม่านรถม้าขึ้นมาดู ยังสามารถเห็นแสงสว่างของเปลวไฟทะลุผ่านช่องกำแพงวังในความมืดมิดนั่น

ไม่รู้เป็นเพราะอะไร หัวใจของเธอยิ่งอยู่ก็ยิ่งไม่สบายใจเข้าไปใหญ่

ฉินหรูเหลียงพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงที่หนักแน่นว่า : “ข้ารู้ว่าท่านกำลังเป็นห่วงใคร เขาคงไม่ทำเรื่องที่เสี่ยงอันตรายขนาดนี้หรอก”

เฉินเสียนพูดขึ้นพึมพำว่า : "นักฆ่าคนนั้นไม่ได้ทำร้ายเจ้าน่องน้อย แต่กลับเป็นห่วงความปลอดภัยของเจ้าน่องน้อยมาก เจ้าน่องน้อยเองก็ไม่ได้ตกใจอะไร ดูแล้วจะชอบใจเสียมากกว่า แปลว่านักฆ่าคนนี้ไม่มีจุดประสงค์ร้าย เขาเพียงแค่ต้องการจะพาเจ้าน่องน้อยออกจากพระราชวังไปก็เท่านั้น"

เฉินเสียนก้มหน้าลงต่ำ เธอครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง แล้วจึงพูดขึ้นว่า : “ไม่ว่าอย่างไรข้าก็นึกไม่ออกเลย ว่านอกจากเขาแล้วเรายังมีคนช่วยเหลืออื่นใดที่กล้าบุกเข้ามาในพระราชวังเพื่อช่วยคนอีก”

“หากเป็นเช่นนั้นจริง เขาย่อมบอกกับท่านอยู่แล้ว”

เฉินเสียนพูดขึ้นเบาบางว่า : “ไม่ หากเป็นเช่นนั้นจริง เขายิ่งจะไม่ยอมบอกข้าเข้าไปใหญ่”

จากนั้นรถม้าก็เคลื่อนตัวไกลออกไปเรื่อยๆ ทิ้งไว้เพียงเสียงที่ดังโหวกเหวกโวยวายอยู่ข้างหลัง แต่จู่ๆ กลับมีกลุ่มคนตามหลังรถม้ามา

เป็นทหารเวรยามที่แยกกลุ่มวิ่งออกจากประตูวังตามหลังมาด้วย

ทันใดนั้นเอง จู่ๆ ก็มีทหารเวรยามนายหนึ่งวิ่งมาขวางทางรถม้ากลางถนน

เฉินเสียนเปิดม่านรถม้า แล้วถามขึ้นว่า : “เกิดอะไรขึ้น?”

หัวหน้าทหารเวรยามผู้นั้นจำเฉินเสียนไม่ได้ แต่น่าจะจำฉินหรูเหลียงได้ เพราะเป็นถึงผู้นำระดับสูงของพวกเขา

ทหารเวรยามจึงรีบประสานมือคารวะเพื่อทำความเคารพ ตอนนั้นเขาจึงรู้ได้ในทันทีว่าคนทั้งสองที่อยู่ในรถม้านั้นคงจะเป็นองค์หญิงและราชบุตรเขยที่มาร่วมงานเลี้ยงฉลอง เขาจึงพูดขึ้นว่า : “กระหม่อมเพียงแค่ต้องการตรวจทานรถม้าขององค์หญิง ขอองค์หญิงทรงประธานอภัยด้วยพ่ะย่ะค่ะ”

เฉินเสียนเปิดม่านทั้งหมดขึ้นแล้วให้ทหารเวรยามนำคบเพลิงเข้าไปส่องจนทั่ว ข้างในนั้นนอกจากเฉินเสียนและฉินหรูเหลียงแล้วก็ไม่มีผู้อื่นใดอีก

เฉินเสียนจึงพูดขึ้นว่า : “จะตรวจทานรถม้า จำเป็นจะต้องวิ่งตามมาตรวจกลางถนนแบบนี้หรือ? เมื่อครู่นี้ตอนที่ยังอยู่ในวัง หากเดินมาบอกสักคำ ก็ไม่ต้องเสียเวลาวิ่งตามมาไกลขนาดนี้แล้ว”

หัวหน้าทหารเวรยามจึงพูดขึ้นว่า : “คืนนี้ในพระราชวังมีนักฆ่าปรากฏตัวขึ้น กระหม่อมเพียงแค่กันไว้ก่อน มิอาจหลีกเลี่ยงการตรวจค้นได้” เมื่อเขาพูดจบ ก็ถอยหลังออกไปทันที เพื่อหลีกทางให้รถม้าเดินทางต่อ

เฉินเสียนรู้เรื่องนี้ดีอยู่แล้ว จึงไม่ถามอะไรมาก

คนที่จะสามารถทำให้เจ้าน่องน้อยชอบใจได้ เกรงว่าคงจะเป็นแค่พ่อแท้ๆ ของเขาเท่านั้น และคงจะเป็นผู้อื่นใดไม่ได้อีกแล้วกระมัง

ความคิดเหล่านี้วนเวียนอยู่แค่ในใจของฉินหรูเหลียงเท่านั้น เขาเองไม่ได้พูดมันออกมา หากว่าเฉินเสียนมั่นใจว่าเป็นเขาอย่างแน่นอน และยังไม่รู้ว่าเธอคิดจะทำอะไรแผลงๆ ขึ้นมาอีก ตามท้องถนนล้วนเต็มไปด้วยเหล่าทหารเวรยามทั้งนั้น ฉินหรูเหลียงจะยอมให้เธอไปทำอะไรเสี่ยงๆ ได้อย่างไรกัน

จู่ๆ เฉินเสียนก็นึกถึงเศษผ้าที่ฉินหรูเหลียงยื่นให้เธอก่อนหน้านี้ขึ้นมาได้ ก็รีบร้อนนำมันออกจากแขนเสื้อจนแขนขาพันกันไปหมด เธอวางเศษผ้าลงบนฝ่ามือแล้วสัมผัสอย่างละเอียด

เศษผ้าชุ่มไปด้วยคราบเลือด ไม่รู้ว่าเป็นของเหล่าทหารเวรยามหรือของนักฆ่า เธอวางมันลงบนฝ่ามือ มีความรู้สึกค่อนข้างเหนียวเหนอะหนะ พลอยทำให้หัวใจของเฉินเสียนรู้สึกบีบแน่นเข้าไปกว่าเดิม

ตอนนี้เธอได้ตรวจดูเศษผ้าผืนนี้อย่างละเอียดถี่ถ้วน เนื้อผ้าอ่อนนุ่มเหมือนอย่างที่เธอคิดไว้ เธอสัมผัสไปยังขอบผ้าด้วยมือที่สั่นเทา และสะดุ้งไปทั้งตัว

“เป็นซูเจ๋อ เป็นเขาอย่างแน่นอน……” เฉินเสียนพึมพำเสียงเบา

เศษผ้าผืนนี้ถูกตัดขาดมาจากแขนเสื้อ ตรงขอบของผ้ามีลวดลายลับที่ค่อนข้างประณีตและละเอียดอ่อน ก่อนหน้านี้ในทุกๆ ครั้งที่เฉินเสียนกอดซูเจ๋อ เธอมักจะชอบสัมผัสและลูบไล้คอเสื้อของเขาอยู่เป็นประจำ ลวดลายที่ถูกบรรจงปักเย็บลงบนคอเสื้อด้วยปลายนิ้วที่ละเอียดอ่อน

แม้ว่าจะหลับตาอยู่เฉินเสียนก็สามารถจำผิวสัมผัสนั้นได้ ลวดลายลึกลับบนขอบของเศษผ้าผืนนี้ เหมือนกับลวดลายบนคอเสื้อของซูเจ๋อไม่มีผิด

เธอเบิกตากว้าง แล้วพูดขึ้นอีกครั้งอย่างมั่นใจด้วยน้ำเสียงที่เบาบางว่า : “ไม่ผิดแน่ เป็นเขาอย่างแน่นอน”

เมื่อพูดจบ เฉินเสียนก็เริ่มนั่งไม่ติดอีกต่อไป เธอเตรียมตัวจะลุกขึ้นในทันทีทันใด

รถม้ายังคงวิ่งอยู่บนถนนที่ว่างเปล่าและเงียบสงัดอย่างต่อเนื่อง

ฉินหรูเหลียงรีบคว้าเธอในทันที พร้อมกับพูดขึ้นว่า : “ท่านคิดจะทำอะไรน่ะ อย่าบอกนะว่าจะลงจากรถม้าเพื่อจะไปตามหาเขา!”

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ข้าคือหงส์พันปี