เจ้าน่องน้อยเองที่ยืนมองอยู่ข้างๆ อย่างไม่ลดละสายตา จ้องมองด้วยสีหน้าแววตาที่แน่นิ่งไม่ไหวติง
เฉินเสียนหันไปบีบแก้มที่กลมๆ ของเจ้าน่องน้อย พร้อมกับพูดขึ้นว่า : "คืนนี้แม่จะไปดื่มสุราที่สวนดอกไม้ ไม่ต้องรอแม่กลับมา เจ้าเหนื่อยแล้วเจ้าก็ให้เสี่ยวเฮอพาเจ้าเข้านอน เข้าใจแล้วหรือยัง?"
เจ้าน่องน้อยพยักหน้าพร้อมกับพูดขึ้นว่า : "ท่านแม่รีบกลับมานะ"
เฉินเสียนยิ้มขึ้นบางเบา พร้อมกับพูดขึ้นว่า : "แม่จะพยายาม"
เธอไม่ได้ชอบใจอะไรกับงานเลี้ยงฉลองนี้มากมายนัก ก็แค่ไปพบปะกับราชทูตของอาณาจักรเป่ยเซี่ย อย่างมากก็คงจะดื่มสุราเพียงไม่กี่จอกเพื่อแสดงก็เท่านั้น
ด้านนอกพระตำหนักไท่เหอนั้นมืดมิดสุดลูกหูลูกตา รอบๆ ถูกล้อมรอบไปด้วยทหารเวรยามที่เฝ้าระวังและคุ้มกันอย่างหนาแน่น องค์จักรพรรดิคงกลัวว่าจะเกิดเรื่องเหมือนเมื่อครั้งก่อน ที่นักฆ่าบุกวังลักลอบเข้ามาในพระตำหนักไท่เหอ ดังนั้นจึงป้องกันและระมัดระวังเป็นพิเศษ
ซูเจ๋อที่ล้มเหลวไปแล้วครั้งหนึ่ง ก็คงจะไม่บุ่มบ่ามบุกเข้าไปซ้ำเป็นครั้งที่สองภายใต้สถานการณ์แบบนี้อีกแน่นอน
ทหารเวรยามเฝ้าระวังพระตำหนักไท่เหอหนาแน่นแบบนี้ก็ดีไปอีกอย่าง พระสนมฉีจะได้ไม่ต้องเข้ามาหาเรื่อง
อวี้เยี่ยนและเสี่ยวเฮออยู่ดูแลเจ้าน่องน้อยที่พระตำหนักไท่เหอ ส่วนเฉินเสียนนั้นก็ไปที่งานเลี้ยงฉลองกับแม่นมซุย
แม่นมซุยเป็นคนสุขุมรอบคอบ หากเกิดเรื่องอะไรภายใต้สถานการณ์แบบนี้ ก็จะได้มีผู้ช่วยในการรับมือ
อวี้เยี่ยนรู้ตัวดีว่านางนั้นไม่ถนัดและด้อยเรื่องพวกนี้ จึงได้อาสาอยู่ดูแลเจ้าน่องน้อยด้วยตัวเอง
เฉินเสียนพูดขึ้นว่า : "เอ้อเหนียง เจ้าไม่ต้องตามข้าไปก็ได้ ข้าก็แค่ไปทานอาหารในงานเลี้ยงฉลองที่อุทยานอวี้ฮัวเท่านั้นเอง อีกเดี๋ยวเดียวก็กลับมา เจ้าอยู่ดูแลเจ้าน่องน้อยกับพวกนางเถอะ แบบนี้ข้าจะรู้สึกวางใจมากกว่า"
แม่นมซุยจึงพูดขึ้นว่า : "ไม่มีคนตามไปปรนนิบัติรับใช้ข้างกายองค์หญิงได้อย่างไรกันข้างนอกมีทหารเวรยามคอยเฝ้าเยอะแยะมากมายขนาดนั้น เจ้าน่องน้อยไม่เป็นอะไรหรอกเพคะ หม่อมฉันติดตามองค์หญิงรีบไปแล้วรีบกลับก็เท่านั้นเองเพคะ"
อุทยานอวี้ฮัวเริ่มคึกคักขึ้นมาแล้ว
โคมไฟแก้วที่ถูกแขวนตามต้นไม้ในป่า ราวกับดอกไม้หลากสีสันเบ่งบานเต็มไปหมดเปลวไฟดูงดงามน่าหลงใหล ส่องแสงเป็นประกายสว่างอยู่กลางป่า ราวกับหิ่งห้อยที่กำลังส่องแสงมัวสลัว ดูแล้วงดงามเป็นที่สุด
ถึงแม้ว่าหลายวันมานี้หิมะจะตกหนัก อากาศหนาวเย็นเป็นพิเศษ แต่ก็ไม่อาจต้านทานความตื่นเต้นดีใจในการเยี่ยมชมและเพลิดเพลินกับวิวทิวทัศน์ในยามค่ำคืนที่สวยสดงดงามของอุทยานอวี้ฮัวแห่งนี้
พรมสีแดงที่สะอาดสะอ้านถูกปูพื้นตั้งแต่อุทยานอวี้ฮัวไปจนถึงท้องพระโรงของงานเลี้ยงฉลอง
เฉินเสียนพาแม่นมซุยออกไป เธอแข่งขันความงดงามกับเหล่าพระสนมของวังหลังเข้าโดยไม่ได้ตั้งใจ พบปะและเพลิดเพลินกับทัศนียภาพที่สวยงาม เดินขึ้นบนพรมแดง ตรงไปที่ท้องพระโรงอย่างเจิดจรัส
เธอเหมือนกับยอดกิ่งที่เย็นยะเยือกในเหมันตฤดู ราวกับดอกเหมยที่กำลังผลิบานปรากฏขึ้นต่อสายตาของทุกคน
สง่างาม สุขุม และสวยงามตระการตา
จู่ๆ ในท้องพระโรงก็เงียบลงในทันใด
จากนั้น องค์จักรพรรดิสูงสุดและสมเด็จพระราชชนนีก็เสด็จตามหลังมา ทรงนั่งอยู่บนพระที่นั่งสูงสุด เหล่าพระสนมและข้าราชบริพารต่างลุกขึ้นถวายบังคมพระองค์ ราชทูตทั้งสองอาณาจักรก็ได้เข้าทำความเคารพตามอารยธรรมของอาณาจักรตัวเอง จากนั้นเฉินเสียนก็ได้เข้าพบราชทูตของอาณาจักรเป่ยเซี่ยและราชทูตของอาณาจักรเย่เหลียงอย่างเป็นทางการ
ได้ยินมาว่าราชทูตของอาณาจักรเป่ยเซี่ยนั้นเป็นท่านอ๋องวัยกลางคนที่หยุดพักงานไปแล้ว รูปลักษณ์ภายนอกไม่ธรรมดา การพูดการจาดูสง่าผ่าเผย เขามองมาที่เฉินเสียนด้วยสายตาที่ท่วมท้นไปด้วยความเอ็นดูจากรุ่นอาวุโส
ท่านอ๋องท่านนี้เป็นพี่น้องคนสนิทขององค์จักรพรรดิเป่ยเซี่ย หากนับตามเชื้อสายตระกูลเขาน่าจะเป็นรุ่นปู่ของเฉินเสียน
องค์จักรพรรดิเป่ยเซี่ยเป็นพระอัยกา (เสด็จตา) ของเฉินเสียนโดยชอบธรรม ตามหลักเสด็จตานั้นเป็นผู้เฒ่าผมขาวแล้ว งั้นอายุของพี่น้องของพระองค์ก็คงจะไม่ได้ต่างกันมากนัก แต่นึกไม่ถึงเลยว่าอายุท่านอ๋องกลับไม่ได้ต่างจากท่านพ่อของเธอเท่าไหร่นัก
เฉินเสียนไม่เคยเจอเลยสักครั้ง เจอกันครั้งนี้ ก็ไม่ได้เป็นประสบการณ์ที่แย่เลย
เมื่อเฉินเสียนเพิ่งหย่อนตัวนั่งลง ก็ได้เห็นว่าซูเจ๋อได้มาถึงก่อนแล้ว เขาสวมชุดขุนนางอย่างเป็นทางการ นั่งอยู่ตรงข้ามเธออย่างสงบและสุขุม
ตั้งแต่เฉินเสียนเดินเข้าท้องพระโรงมาจนถึงตอนนี้ เธอยังคอยพยายามควบคุมสายตาตัวเอง ไม่ให้จ้องมองเขาจนเกินหน้าเกินตา ทำได้เพียงใช้แค่หางตามองเงาและเค้าโครงร่างของเขาผ่านๆ เท่านั้น
ซูเจ๋อที่ได้ยินองค์ชายหกพูดขึ้นมาแบบนี้แล้ว สีหน้าแววตาของเขาเรียบเฉย ราวกับว่าไม่ได้มีปฏิกิริยาอะไรมากมายนัก เขาวางมือลงข้างถ้วยชาบนโต๊ะ ใช้ปลายนิ้วสัมผัสถ้วยชาเบาๆ
ถ้วยเครื่องปั้นดินเผาสีอบอุ่นนั่น ตัดกับสีผิวนิ้วมือที่ขาวสะอาดของเขาอย่างชัดเจน เมื่อออกแรงเพียงน้อยนิด เล็บมือที่ขาวสะอาดนั่นก็ซีดเลือดขึ้นมาในทันที
เพียงแต่ว่าเขานั้นสงบเรียบเฉยจนไม่มีใครอื่นใดสังเกตเห็นถึงรายละเอียดเหล่านี้ก็เท่านั้น
อย่างไรเสีย ไม่ว่าจะเป็นเฉินเสียนหรือซูเจ๋อต่างก็ไม่ได้สนิทกับองค์ชายหกทั้งนั้น ในตอนแรกก็เจอหน้ากันเพียงไม่กี่ครั้ง เขาจะพูดจาซี้ซั้วไปเรื่อยหรือไม่ ไม่ว่าใครก็มิอาจรับรองได้
ไม่ได้เกรงกลัวว่าคู่ต่อสู้จะแกร่งแค่ไหน กลัวเพียงแต่เพื่อนร่วมกองที่ไม่เอาไหนเสียมากกว่า หากองค์ชายหกนั้นกล้าที่จะพูดออกไป ก็จะนำมาซึ่งปัญหาและหายนะอย่างแน่นอน
เงียบไปครู่หนึ่ง ซูเจ๋อจู่ๆ ก็เลิกคิ้วขึ้นอย่างมีเงื่อนงำ มือที่จับถ้วยน้ำชาอยู่นั้นก็ค่อยๆ คลายออก
เมื่อลองคิดพิจารณาดูดีๆ เขาและเฉินเสียนต่างก็ไม่รู้จักองค์ชายหกเป็นอย่างดีเลยแน่นอนว่าองค์จักรพรรดิเย่เหลียงนั้นรู้จักเขาดีอยู่แล้ว แต่องค์จักรพรรดิเย่เหลียงกลับตั้งใจส่งองค์ชายหกมา หากว่าองค์จักรพรรดิเย่เหลียงไม่ได้สับสนประการใด งั้นก็แสดงว่าองค์ชายหกนั้นปราดเปรื่องเหนือผู้อื่นอยู่ไม่ใช่น้อย
องค์ชายหกเหลือบสายตามองไปยังเฉินเสียนและซูเจ๋อสลับกันไปมา พร้อมกับพูดขึ้นว่า: "ใต้เท้าซูความสามารถเหลือล้น ตัวคนเดียวต่อสู้กับทั้งอาณาจักรเย่เหลียงของเราด้วยสงครามลิ้น จนในท้ายที่สุดก็สามารถนำสนธิสัญญาของการเจรจาสันติภาพกลับไปได้ และองค์หญิงจิ้งเสียนที่ประสบกับเหล่านักฆ่าในราชนิเวศน์อาณาจักรเย่เหลียงแต่พระนางมีความมั่นคงต่อคนรักของพระองค์อย่างลึกซึ้ง ไม่ว่าเป็นหรือตายก็ไม่ยอมแยกจากกัน แม้นจะต้องทิ้งชีวิตลงในแม่น้ำแห่งความตาย แต่ก็ยังหนักแน่นแน่วแน่ไม่ยอมท้อถอย จะให้กระหม่อมไม่ประทับใจอย่างลึกซึ้งได้อย่างไรกันพ่ะย่ะค่ะ"
หัวใจของเฉินเสียนหล่นฮวบในทันใด
มือของเฉินเสียนเย็นเฉียบ เกลียดองค์ชายหกนัก เห็นได้ชัดว่าเขาตั้งใจ เขาพูดถึงคนรักของเธอ แต่ไม่ได้ชี้ชัดว่าคนของใจนั้นเป็นซูเจ๋อ
องค์จักรพรรดิ เหล่าเสนาบดีรวมถึงเหล่าขุนนางต่างรู้ว่าในขณะที่อยู่ในอาณาจักรเย่เหลียง ยังมีพระสวามีของเฉินเสียน ฉินหรูเหลียง เพราะฉะนั้นทุกคนต่างก็คิดว่าเป็นฉินหรูเหลียงอย่างแน่นอน
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ข้าคือหงส์พันปี
ชอบมากเรื่องนี้...