เฉินเสียนยืนมองอวี้เยี่ยนที่กำลังหยิบผ้านวมออกมาจากกล่องหีบ และปูลงบนเตียง และอดไม่ได้ที่จะกล่าวออกมาว่า "เอ้อร์เหนียงช่างรอบคอบและใส่ใจนัก"
ไม่แปลกที่ตอนเดินขึ้นเขามา องครักษ์ลากกล่องหีบมาด้วยความยกลำบากแสนเข็ญ ที่แท้เป็นเพราะของในกล่องหีบที่อัดแน่นนี้นี่เอง แทบไม่มีแม้แต่ช่องว่างสักนิดเดียว
ผ้าคลุมเตียงไม้เดิมนั้นไม่ได้ถูกใช้ อวี้เยี่ยนจัดการปูผ้านวมใหม่หนึ่งชั้น และปูทับด้วยผ้าห่มนุ่ม ๆ อีกชั้น ทำให้ไม่รู้สึกหนาวและแข็งเท่าไหร่ และยังมีผ้าห่มอีกสองผืนที่เตรียมให้ห่มในตอนกลางคืน
อวี้เยี่ยนกล่าว "แบบนี้ น่าจะไม่หนาวแล้วเพคะ"
แม่นมซุยไม่เพียงแค่จัดเตรียมให้เฉินเสียนเท่านั้น นางยังจัดเตรียมเครื่องนอนให้อวี้เยี่ยนอีกด้วย แต่ว่าในเรือนแห่งนี้มีเพียงแค่ห้องเดียวเท่านั้น ห้องของเฉินเสียนถูกจัดไว้ภายนอกเรือนใกล้ ๆ อีกห้องหนึ่ง
นางหยิบเครื่องนอนของตัวเองออกมาวางไว้ข้างนอก และช่วยเฉินเสียนจัดการตกแต่งห้อง
เฉินเสียนกล่าว "ไม่ต้องลำบากหรอก ปล่อยให้เรียบง่ายแบบนี้ดีแล้ว"
"จะให้เรียบง่ายยังไง เปลี่ยนเสื้อผ้า ล้างหน้าล้างตา แต่งหน้าทำผมก็ต้องมีนะเพคะ" อวี้เยี่ยนหยิบกล่องเครื่องแป้งของเฉินเสียนออกมา และหยิบกระจกสีทองแดงออกมาแล้ววางลงบนโต๊ะ "ทั้งหมดนี้เอ้อร์เหนียงเป็นคนจัดเตรียมเพคะ บอกว่านำมาแล้วก็ต้องใช้ด้วยเพคะ"
เฉินเสียน "...เอ้อร์เหนียงยังจัดเตรียมอะไรมาให้อีก?"
อวี้เยี่ยนหยิบผ้าปูโต๊ะและหมอนอิงออกมาอีกครั้งราวกับกำลังเสกมายากล สิ่งที่เหลืออยู่ในกล่องหีบคือเสื้อผ้าเครื่องนุ่งห่ม และของสะสมของเล่นของเฉินเสียน
อวี้เยี่ยนรื้อค้นไปถึงด้านล่างของหีบ และถามว่า "องค์หญิง ตุ๊กตาหุ่นกระบอกสองอันนี้จะเอาออกมาวางไว้ข้างนอกไหมเพคะ? เมื่อตอนที่อยู่พระตำหนักไท่เหอไม่ได้ถูกนำออกมาวางไว้ ไม่คิดเลยว่าเอ้อร์เหนียงจะใส่มาให้เพคะ"
เฉินเสียนมองไปที่ตุ๊กตาหุ่นกระบอกสองตัวนั้น และกล่าวว่า "วางไว้ที่หัวเตียงของข้า"
"แล้วหน้ากากสองอันนี้ล่ะเพคะ?"
"แขวนไว้ที่แขวนผ้าข้างบน"
แบบนี้เมื่อเธอนอนลงบนเตียงก็จะสามารถสัมผัสไปยังตุ๊กตาหุ่นกระบอกทั้งสองตัวที่มีรอยไหม้หลงเหลืออยู่ และยังสามารถมองเห็นหน้ากากบนที่แขวนเสื้อผ้า และทำให้นึกถึงเรื่องราวในวันวานกับซูเจ๋อ
หลังจากที่อวี้เยี่ยนจัดการทุกอย่างเข้าที่ดีแล้ว เมื่อมองอีกครั้ง ห้องที่ธรรมดาเรียบง่ายนี้รู้สึกอบอุ่นในทันใด
อวี้เยี่ยนกล่าวด้วยความพึงพอใจ "ตอนนี้ก็น่าจะพอได้แล้วเพคะ"
หลังจากนั้นทั้งสองก็เดินออกจากเรือนพร้อมไปทานอาหารเจที่ด้านหน้า ในเวลานี้ท้องฟ้าข้างนอกก็มืดแล้ว
แสงเทียนในวัดค่อนข้างเลือนราง และพื้นที่ที่สามารถส่องสว่างได้มีจำกัด ภายในวัดมีโรงเจ มีไว้เพื่อเป็นที่ทานอาหารเจของเหล่าพระภิกษุ และผู้ปฏิบัติธรรมผู้ทำบุญในวัด
อาหารการกินมีรสจืดชืด และไม่มีเนื้อสัตว์ของคาว
หลังจากที่รับประทานอาหารเสร็จ อวี้เยี่ยนเดินกลับไปก่อน เพื่อจะจัดการห้องของตัวเอง เฉินเสียนเดินเล่นอยู่ภายในวิหารพระอุโบสถ
ในเวลานี้ เจ้าอาวาสกำลังพาลูกศิษย์ไปในพระอุโบสถเพื่อปฏิบัติธรรมภาคค่ำ เฉินเสียนยืนมองอยู่ภายนอกประตูและเฝ้าดูอยู่ครู่หนึ่ง พระภิกษุเหล่านี้แต่งกายด้วยเครื่องนุ่งห่มที่ธรรมดา แต่พระพุทธรูปที่ประดิษฐานอยู่ในพระอุโบสถของวัดที่พวกเขากราบไหว้บูชานั้นเป็นสีทองอร่าม และมีใบหน้าที่สดใสและเมตตา
เจ้าอาวาสลุกขึ้นยืนและหันมาทำความเคารพแบบพุทธ เฉินเสียนที่ยืนอยู่ที่ประตูโค้งตัวลงเล็กน้อยเป็นการทักทายกลับ เจ้าอาวาสท่านนี้คือมหาปุโรหิตคนที่เข้าไปทำพิธีกรรมในวังหลวงวันนั้น และเฉินเสียนก็ไม่ได้แสดงทีท่าหยาบคายไม่มีมารยาทแบบวันนั้น และยังเรียก "ท่านเจ้าอาวาส"
เฉินเสียนที่ดูเหมือนไม่มีเหตุผลและชอบสร้างปัญหาเมื่อตอนอยู่ที่วังหลวง แต่เธอตอนนี้เป็นเฉินเสียนที่นิ่งและสงบเมื่ออยู่ต่อหน้าพระพุทธรูป
เจ้าอาวาสกล่าว "อมิตตาพุทธ ตั้งแต่พรุ่งนี้โยมสามารถมาที่พระอุโบสถเพื่อท่องบทพระคัมภีร์สวดมนต์และสักการะพระพุทธเจ้าทุกวัน เพื่อปฏิบัติธรรมสงบจิตสงบใจ"
เฉินเสียนตอบกลับ "ขอบคุณท่านเจ้าอาวาส"
วัดฮู่กั๋วแห่งนี้เป็นวัดเก่าแก่อายุกว่าร้อยปี มีหนังสือทางพุทธศาสนามากมายในหอไตร จึงไม่ต้องกังวลว่าจะไม่มีอะไรทำระหว่างนี้
หลังจากมาถึงที่นี่แล้ว เฉินเสียนสวดมนต์ในพระอุโบสถทุกเช้าและเย็น ในช่วงเช้าก็จะไปหาหนังสืออ่านที่หอไตร ในช่วงบ่ายที่เป็นเวลาพักผ่อนก็จะหยิบเอาลูกบอลเส้นด้ายออกจากกล่องหีบ และนึกถึงวิธีการถักผ้าพันคอในอดีต
อวี้เยี่ยนไม่ได้อยู่ว่าง ๆ ถึงแม้นางจะไม่ต้องไปที่พระอุโบสถทุกเช้าเย็น แต่หากนางไม่หาอะไรทำบ้างละก็ นางคงหนาวจนเป็นน้ำแข็ง
นี่เป็นความพยายามหลายวันของเฉินเสียน อวี้เยี่ยนรู้ว่าเธอไม่อยากจะตัดทิ้ง เธอกำลังคิดถึงคนนั้น คาดว่าผ้าพันคอผืนนี้คงทำขึ้นมาเพื่อเขาคนนั้น
ในเมื่อไม่อยากตัด แล้วจะฝืนในตัวเองไปทำไม
อีกไม่นานก็จะถึงเทศกาลตรุษจีนแล้ว ไม่มีข่าวคราวภายในวังหลวงเลย เฉินเสียนก็ไม่คิดว่าจะได้กลับไปพบกับเจ้าน่องน้อยในวันส่งท้ายปีและวันขึ้นปีใหม่
วันส่งท้ายปีของทุกปี เมืองหลวงมักจะคึกคักรื่นเริง ทุกคนต่างพากันออกมาเดินเล่น เพลิดเพลินกับดอกไม้ไฟ จุดประทัด และเฉลิมฉลองปีใหม่ด้วยกัน
ไม่ว่ายังไงนี่ก็เป็นเทศกาลเฉลิมฉลองรื่นเริงอีกเทศกาลหนึ่ง
และภายในวัดฮูกั๋วก็ดูต่างไปจากเมื่อก่อนเช่นกัน ไฟสว่างขึ้นกว่าเดิม และน้ำมันตะเกียงก็ถูกเติมมากขึ้นด้วย
เจ้าอาวาสนำเหล่าพระภิกษุไปท่องพระสูตรในพระอุโบสถ เฉินเสียนและอวี้เยี่ยนไม่มีอะไรทำจึงไปที่พระอุโบสถเพื่อนั่งฟังบทสวดอยู่ครู่หนึ่ง
เมื่อพวกเขาออกจากพระอุโบสถ พระภิกษุเหล่านั้นก็กลับไปที่ห้องเพื่อนั่งสมาธิ และเฉินเสียนและอวี้เยี่ยนก็เดินเล่นไปรอบ ๆ ที่ลานด้านหน้าของวัดฮู่กั๋ว
เมื่อท้องฟ้ามืดลงแล้ว ทั้งสองพบตำแหน่งที่มีทัศนียภาพกว้างไกลและมองไปทางเมืองหลวง
แสงไฟในเมืองหลวงควรจะเป็นเหมือนผ้าทอในเวลานี้ เชื่อมถนนยาวไปเป็นทอด ๆ ตามลำดับ และทั้งสองอยู่ห่างไกลออกมามาก มองเห็นเพียงแสงไฟเบาบางเท่านั้น ไม่เห็นแสงไฟที่สว่างไสวในเมืองหลวง หลังจากที่รอเป็นเวลานานก็ไม่มีพลุดอกไม้ไฟขึ้นมาบนท้องฟ้าเลย
อวี้เยี่ยนถอนหายใจอย่างผิดหวังและกล่าวว่า "นึกว่าคืนนี้จะได้เห็นแสงไฟยามค่ำคืนในเมืองหลวง"
เฉินเสียนกล่าว "กลับไปอาบน้ำเข้านอนกันเถอะ ปีนี้ราชสำนักขาดแคลน ประชาชนก็ประสบภัยพิบัติ คงไม่มีกะจิตกะใจมาเตรียมพร้อมเรื่องพวกนี้"
ข้างนอกมีพายุหิมะพัดมาที่หน้าราวกับมีดกรีด อวี้เยี่ยนกุมเสื้อผ้าของนางแน่น แต่ก็ยังรู้สึกหนาวเหน็บจนสั่นสะท้าน และทั้งสองไม่เสียเวลารีบกลับเข้าไปในเรือนด้านหลัง
เสียงลมและเสียงหิมะดังอยู่ภายนอกหน้าต่าง
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ข้าคือหงส์พันปี
ชอบมากเรื่องนี้...