เฉินเสียนยกมุมปากขึ้นเล็กน้อยและกล่าวว่า "เกาเหลียง การใช้ชีวิตในกองทัพไม่ใช่เรื่องเล่น ๆ นะ หากจะเป็นทหาร ต้องอดทนกับความยากลำบากได้ ออกไปฆ่าศัตรูในสนามรบ เจ้าต้องอยู่ข้างหน้า และมีโอกาสตายได้ทุกเมื่อ"
"หากข้าห่วงหน้าพะวงหลัง รักตัวกลัวตาย ชีวิตนี้ก็คงไม่มานั่งคุกเข่าอยู่ต่อหน้าองค์หญิงพ่ะย่ะค่ะ!"
สิ่งที่เธอรอคอยคือ คำตอบความมุ่งมั่นของเกาเหลียง
เฉินเสียนหันกลับมา และกล่าวว่า "ในเมื่อเจ้ามีความกล้าหาญต้องการให้ข้าขอบใจเจ้า งั้นข้าก็จะให้โอกาสเจ้า เริ่มจากการยกแผ่นไม้ สร้างบ้านเรือนที่อยู่อาศัย หากไม่เป็นไปตามที่ข้าคาดหวังไว้ เจ้ามีโอกาสถูกขับไล่ออกจากค่ายทหารได้ทุกเมื่อ เจ้าพร้อมไหม? เจ้าเงยหน้าขึ้นมาแล้วตอบข้า"
เกาเหลียงเงยหน้าขึ้นอย่างกล้าหาญ มองไปที่ผู้หญิงที่ตรงไปตรงมาและใจกว้างต่อหน้าเธอด้วยดวงตาที่แผดเผา และตอบด้วยความมั่นใจ "หม่อมฉันจะไม่ทำให้องค์หญิงผิดหวังอย่างแน่นอนพ่ะย่ะค่ะ"
เฉินเสียนกล่าวอย่างเย็นชาและไร้ความปรานี "เหลียนชิงโจว นำเขาไปหาแม่ทัพโฮ้ว มีงานหนักงานเหนื่อยก็ให้เขาทำ หากเขาทนไม่ได้ก็ให้เขาออกจากค่ายทหารไปซะ"
เหลียนชิงโจวพาเกาเหลียงออกไปจากค่ายทหาร
เฉินเสียนเอนกายลงบนโต๊ะทรายและมองไปที่ซูเจ๋อที่ไม่พูดอะไรเลยก่อนหน้านี้ เธอเอื้อมมือไปถูที่กระเป๋าเสื้อของซูเจ๋อด้วยความคุ้นเคย และกล่าวด้วยเสียงแผ่วเบา "มองลักษณะของเกาเหลียงแล้ว ดูเหมือนคนที่ทำอะไรไม่เป็น ที่ข้าทำไปนั้น ดูเหมือนข้าไม่มีความปรานีเลยใช่ไหม?"
หลังจากหยุดไปชั่วขณะ เฉินเสียนก็กล่าวอีกว่า "แต่ข้ากลับรู้สึก เขามีความอยากจะเอาชนะอยู่ในตัวเขา ยิ่งขัดเกลาเขามากเท่าไหร่ เขาก็ยิ่งสามารถกระตุ้นจิตวิญญาณการต่อสู้ของเขาได้มากเท่านั้น เขาไม่อาจยอมแพ้ง่าย ๆ ความคิดของเขาไกลเกินทหารธรรมดา มีมุมมองของตนเองเกี่ยวกับสถานการณ์ในสนามรบ และอาจจะทำอะไรบางอย่างได้ในอนาคต"
ซูเจ๋อกล่าว "แม่ทัพโฮ้วก็อายุมากแล้ว ในไม่ช้าก็ต้องถอยออกจากสนามรบไป ขุนนางเก่าในราชสำนักต่างก็ต้องถูกแทนที่ ไม่ว่าจะเป็นสนามรบหรือราชสำนัก ต้าฉู่จะต้องเปลี่ยนแปลงไปในอนาคต"
เฉินเสีนจับกระเป๋าเสื้อของซูเจ๋อ เธอยิ้มและกล่าวว่า "ท่านตกลงให้ข้ารับเกาเหลียงไว้ใช้ประโยชน์แล้วใช่ไหม"
ซูเจ๋อกล่าว "แบบนี้ก็ดีเหมือนกัน หากเขาอดทนต่อความลำบากนี้ไม่ได้ ต่อไปก็ไม่ต้องเหนื่อยมาคอยฝึกฝน"
แม่ทัพโฮ้วถนัดมากในการขัดเกลาทหาร นอกเมืองขุยต่างกระตือรือร้นที่จะจัดสรรที่ดินและสร้างบ้านที่อยู่อาศัยให้กับทหารราษฎร เกาเหลียงมีแม่ทัพโฮ้วเป็นผู้ควบคุมสั่งการ และเขาได้รับคำสั่งให้แบกโคลนไม้อย่างไม่หยุดหย่อน ในตอนท้ายของวันหลังของเกาเหลียงเต็มไปด้วยรอยฟกช้ำผสมกับรอยแผล
ให้เวลาเขาพักสักครู่ เขาพิงกองหญ้าแห้ง และเขาอาจจะเป็นลมจากอาการอ่อนเพลีย
มีหลายสิ่งอยากอย่างให้ทำเหลือเกิน เกาเหลียงทำงานหนักมาก จนไม่มีเวลาคิดว่าทำไมต้องทำอย่างนี้
เฉินเสียนและซูเจ๋อก็ไปสำรวจที่ชานเมืองเช่นกัน ภายในระยะเวลาสามวัน บ้านเรือนต่าง ๆ ก็ตั้งเต็มอยู่ในเขตชานเมือง และดินแดนที่รกร้างก่อนหน้านี้ก็ถูกใช้เพาะปลูก ทหารราษฎรก็ได้ตั้งรกรากกันชั่วคราว
ราชสำนักได้ส่งกำลังเสริมมาหลายครั้งอย่างต่อเนื่อง
ในเวลานี้ ทหารที่มาสมทบก็มาถึงเมืองขุยแล้ว ในขณะนี้ ภายในและภายนอกเมืองได้สงบลงแล้ว เป็นไปไม่ได้ที่จะใช้สถานที่แห่งนี้เป็นสนามรบ แม่ทัพโฮ้วโบกธงและกองทัพไปทางเหนือเพื่อเดินทัพต่อไป
กองทัพของราชสำนักคุ้มกันในทางเหนือของเมืองขุยที่อยู่ติดกับเมืองฮุย ส่วนกองทัพชายแดนใต้จัดตั้งค่ายทหารอยู่ที่นอกเมืองฮุยออกไปประมาณห้ากิโลเมตร
แรกที่มีข่าวแพร่ออกไปว่ากองกำลังเสริมที่เมืองขุยถูกตีแตก ตอนนี้ทหารราชสำนักถูกโจมตีอย่างหนัก ทหารในกองทัพก็ตื่นตระหนก ตราบใดที่กองทัพชายแดนใต้ไม่ริเริ่มโจมตีพวกเขานี่ก็ถือว่าโชคดีมากแล้ว เพราะพวกเขาไม่มีความกล้าขนาดนั้นที่จะไปบุกโจมตีกองกำลังชายแดนใต้แน่นอน เพียงแค่คุ้มกันตัวเมือง และปกป้องเมืองฮุย
เมื่อกองกำลังชายแดนใต้มาจัดตั้งค่ายทหารอยู่ที่เมืองฮุย ได้จัดการอย่างเรียบง่าย ในค่ายทหารก็ไม่ต่างไปจากทหารกองกำลังเสริมของราชสำนัก หนึ่งกองกำลังต่อหนึ่งกระโจม แม่ทัพระดับกลางสี่คนต่อหนึ่งกระโจม และแม่ทัพระดับสูงสองคนต่อหนึ่งกระโจม
แม่ทัพโฮ้วก็ไม่ได้ถูกจัดพิเศษแตกต่างออกไป เขาและเหลียนชิงโจวอยู่กระโจมเดียวกัน เพื่อปกป้องคุ้มครองเหลียนชิงโจว และทหารคนอื่นก็ไม่มีอะไรจะพูดได้
ในเวลากลางคืน กองไฟถูกจุดขึ้นในค่ายทหาร ทำให้ท้องฟ้ายามค่ำคืนสีเทาดำสว่างไสวขึ้นเล็กน้อย มีดวงดาวอยู่เต็มท้องฟ้า สายลมและแมลงต่างส่งเสียงร้องบนภูเขา
แม่ทัพโฮ้วและเฉินเสียนซูเจ๋อ ได้หารือเกี่ยวกับการทำการรบในวันพรุ่งนี้ จากนั้นแยกย้ายกลับค่ายเพื่อพักผ่อน
เมื่อออกมาจากกระโจมแม่ทัพ เฉินเสียนและซูเจ๋อเดินออกมา เฉินเสียนกล่าวว่า "ท่านก็รีบกลับเข้าไปพักผ่อนในกระโจมเถอะ ไม่ต้องไปส่งข้าหรอก" เธอชี้ไปที่ค่ายไม่ไกลข้างหน้า "กระโจมของข้าไม่ได้ไกลเลย"
แม่ทัพโฮ้วยืนอยู่หน้ากระโจมได้ยินที่ซูเจ๋อพูดว่า "ลำบาก" ทำไมฟังดูไม่ค่อยสบายใจเลย เขาเกาหัวและพูดอย่างเคร่งขรึม "ใต้เท้าซู ท่านออกมาพบข้าหน่อย"
ซูเจ๋อยืนอยู่ข้างหน้าของเฉินเสียน ใช้นิ้วลูบผมที่หูของเธอ และกระซิบเบา ๆ ว่า "ถ้าท่านเหนื่อยก็นอนพักก่อนก็ได้ ข้าออกไปข้างนอกสักครู่ หากมีอะไรท่านก็ตะโกนเรียกข้าได้"
เฉินเสียนเม้มริมฝีปาก ดวงตาของเธอกระตุกเล็กน้อย "แม่ทัพโฮ้วจะเล่นตลกอะไรอีก"
ซูเจ๋อยิ้มโดยปริยาย "ข้าออกไปถามให้ท่าน"
แม่ทัพโฮ้วที่อยู่ข้างนอกนั้นหมดความอดทนแล้วและกล่าวว่า "ใต้เท้าซู ข้าให้ท่านออกมาหาข้าหน่อย!"
ซูเจ๋อหันกลับมาและเดินออกมาจากกระโจม
ในขณะนี้ แม่ทัพโฮ้วกำลังยืนอย่างกล้าหาญอยู่นอกกระโจมพักแรม ดาบของเขาที่ปักบนพื้น มือของเขาจับด้าม ราวกับว่าเป็นยักษ์เฝ้าประตูเมือง
ทหารที่เขานำมานั้นกำลังเดินลาดตระเวนอยู่ที่อื่นแล้ว
กองไฟในเตาอั้งโล่กำลังลุกไหม้ และจู่ ๆ ก็ระเบิดประกายไฟกระจายไปทั่ว ซูเจ๋อปัดที่มุมเสื้อของเขาอย่างแผ่วเบา และกล่าวว่า "แม่ทัพโฮ้วมีเรื่องอะไรจะชี้แนะหรือ?"
แม่ทัพโฮ้วมองมาที่เขา คนผู้นี้ดูเย็นชาและไม่แยแสตลอดเวลาจริง ๆ
แม่ทัพโฮ้วมีอารมณ์โกรธและกล่าวว่า "ที่จัดให้ท่านและองค์หญิงพักอยู่ด้วยกัน เพราะในกรณีที่ศัตรูมีสายลับ ข้าต้องการให้ท่านปกป้ององค์หญิง ท่านไม่ต้องคิดอะไรเกิดกว่านี้"
ซูเจ๋อกล่าวอย่างจริงจัง "อืม ข้ารู้ดีที่ท่านแม่ทัพตระหนักในเรื่องนี้"
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ข้าคือหงส์พันปี
ชอบมากเรื่องนี้...