ข้าคือหงส์พันปี นิยาย บท 559

สิ่งของที่ปล่อยออกมาจากพระราชวังสุดท้ายก็สามารถขายได้ในราคาที่ไม่เลวสถานการณ์ที่ยากลำบากไม่กี่วันมานี้ของต้าฉู่ และมงกุฎราชินีนั่น กลายเป็นสิ่งสำคัญที่นำไว้รั้งท้าย ตอนสุดท้ายที่หยิบออกมาประมูล ทำให้สว่างเจิดจ้าแยงตาผู้คนจำนวนไม่น้อย ยิ่งมองยิ่งไม่กล้าที่จะเข้าใกล้

นี่เป็นมงกุฎราชินีที่กษัตริย์สมัยนี้สวมใส่ บนพื้นพิภพมีเพียงหนึ่งชิ้น

กรรมวิธีการแกะสลักบนมงกุฎราชินีไม่อาจที่จะจับผิดได้ หงส์กางปีกออก กระฉับกระเฉงราวกับของจริง ด้านบนมีไข่มุกหยกเขียวมรกตประดับตกแต่ง สวยงามวิจิตตระการตาเป็นอย่างมาก

องค์ชายหกของเย่เหลียงติดตามการเคลื่อนไหวของต้าฉู่อยู่ตลอด ได้ยินเรื่องนี้ อดไม่ได้ที่กล่าวเจื้อยแจ้วออกมาว่า “นี่จะต้องยากจนเท่าไหร่ถึงได้นำมงกุฎราชินีของตนเองออกมาขาย”ปากราวกับพูดอยู่ แต่ทว่าดวงตาเปล่งประกายความแปลกใจอยู่ เขาหัวเราะแล้วกล่าวว่า “นางไม่คิดมากเลย”

งานประมูลของต้าฉู่ใช้ในนามของจักรพรรดินีส่งเสียงประกาศออกไป ขั้นตอนการดำเนินงานคึกครื้นอย่างมาก

เธอนำตั๋วเงินที่รวบรวมมาได้ อีกทั้งจัดซื้อเสบียงอาหารจำนวนมากจากพ่อค้าทั้งสองเมืองที่อยู่นั่น และได้จัดส่งทั้งหมดไปสถานที่ที่กำลังอดอยาก

ตั้งแต่สมัยโบราณครอบครัวตระกูลของกษัตริย์ไม่สามารถที่จะสละทรัพย์สินมาได้ แต่ทว่าเฉินเสียนกลับนำทรัพย์สมบัติของพระราชวังออกมา เพียงแค่จะช่วยแลกเสบียงอาหารให้ได้มากหน่อยแก่อาณาประชาราษฎร์

อาณาประชาราษฎร์ต้าฉู่ไม่มีเลยที่จะไม่เคารพนบน้อม

แรกเริ่มขุนนางในราชสำนักไม่เห็นด้วยกับเรื่องนี้ แต่วันนี้เห็นอาณาประชาราษฎร์ที่ยากลำบากได้รับการช่วยเหลือ จิตใจของอาณาประชาราษฎร์รวมตัวกันขึ้นมา พวกเขาก็ไม่เคารพนอบน้อมนั้นไม่ได้เลย

สุดท้ายมงกุฎราชินีนั่นไม่มีผู้ใดกล่าวประมูลราคา หากเครื่องใช้พระราชวังซื้อมายังสามารถใช้ในชีวิตประจำวันได้ แต่มงกุฎสูงส่งนี่ซื้อมา ผู้ใดจะกล้าสวมใส่เล่า?

ตอนที่ประมูลมงกุฎนี้ไม่มีผู้ใดสอบถามราคา ขณะที่ปิดม่านนั้น กลับปรากฏผู้ประมูลที่ลึกลับท่านหนึ่ง โยนตั๋วเงินจำนวนมากออกมาเพื่อซื้อมงกุฎราชินีนั่น

สุดท้ายมงกุฎราชินีตกอยู่ที่มือผู้ใด ก็ไม่สามารถรู้ได้

เฉินเสียนไม่ได้ใส่ใจว่าผู้ใดจะซื้อมันไป เพียงแค่ผู้ซื้อให้ตั๋วเงินก็พอแล้ว

ความอดยากของเหล่าอาณาประชาราษฎร์ส่วนหนึ่งได้รับการแก้ไขแล้ว ตามด้วยต้องหาตั๋วเงินมาซ่อมเขื่อนตอนที่มีการสู้รบได้ถูกทำลายเสียหาย

เวลานี้ยังไม่ได้เริ่มวสันตฤดู ระดับน้ำแม่น้ำต่ำ รอหลังจากเริ่มวสันตฤดู หิมะละลาย ปริมาณน้ำฝนมาก หากเขื่อนยังไม่สามารถซ่อมเสร็จได้ทันท่วงที ที่นาเพาะปลูกไม่สามารถทดน้ำเข้านา พอพบเจอกับน้ำท่วมก็จะกลายเป็นความอดอยากระลอกใหม่

เฉินเสียนสั่งคนนำบัลลังก์มังกรทองสว่างแวววาวบนท้องพระโรงนั่นเคลื่อนย้ายออกมารับแสงที่อุทยานอวี้ฮัว เหล่าขุนนางชั้นผู้ใหญ่กระวนกระวายใจ สับเปลี่ยนมาเฝ้าดูแล เกรงว่าพอเผลอ เฉินเสียนก็จะนำบัลลังก์มังกรไปขาย

ตอนที่เฉินเสียนทะเลาะกับเหล่าคนแก่ ตาจ้องเขม็งหน้านิ่วคิ้วขมวด ต่างฝ่ายต่างโต้เถียงไม่ยินยอมกันราวกับเด็กน้อย อวี้เยี่ยนติดตามอยู่ข้างกายเฉินเสียน หัวเราะทั้งน้ำตา แม้ว่าจะอยู่ด้านข้างมองดูก็รู้สึกน่าสนใจสนุก

เฉินเสียนโมโหอย่างมาก อวี้เยี่ยนก็เลยผ่อนคลายความโมโห กล่าวปลอบประโลมว่า “ฝ่าบาทอย่าโมโหเลยเพคะ ทะเลาะกับบุคคลที่มีความรู้ต่ำกว่าทำไมเพคะ ระมัดระวังจะทำให้เสียสุขภาพเพคะ”

มือข้างหนึ่งเฉินเสียนค้ำที่เอวอีกข้างหนึ่งชี้ที่กลุ่มคนแก่นั่น กล่าวขึ้นว่า“พวกเจ้าแต่ละคน เหตุใดยังไม่ตาย? ไม่ใช่ครึ่งหนึ่งของร่างกายล้วนฝังศพแล้วหรือ!”

คนแก่กล่าวอย่างมีศักดิ์ศรีว่า “กระหม่อมไม่ตาย!ฝ่าบาทพังพินาศราชวงศ์เช่นนี้ หากกระหม่อมตายแล้ว ลงไปพื้นดินไม่มีคำพูดที่จะกล้าพบหน้าจักรพรรดิองค์ก่อนพ่ะย่ะค่ะ!”

“เช่นนั้นวันพรุ่งพวกเจ้าก็ปลดเกษียณ!”

“อายุของกระหม่อมยังไม่ถึงเวลาที่จักต้องปลดเกษียณ ไม่เกษียณหรอกพ่ะย่ะค่ะ!”

เฉินเสียนนวดคลึงศีรษะที่ปวดหนึบกลับมาจากอุทยานอวี้ฮัว เพิ่งจะทะเลาะกับคนแก่เสร็จ ตอนนี้หน้ายังอึมครึมอยู่เลย

ซูเจ๋อกล่าวด้วยน้ำเสียงแผ่วเบาว่า “ข้าไม่ไป ข้าเพียงแค่ไปเขี่ยเตาผิงให้ไฟลุกเล็กน้อย ”เดิมไม่ต้องการทำเสียงดังให้เธอตื่น เพราะฉะนั้นเลยไม่ได้ห่มผ้าพรมบนตัวเธอ แต่ว่ากลัวเธอจะหนาว ซูเจ๋อเลยคิดจะไปเขี่ยไฟเพิ่มขึ้น

เฉินเสียนคลายมือ ซูเจ๋อหยิบไม้เขี่ยที่เป็นโลหะไปตะกุยยุที่เตาผิง

เขากลับมาหาเฉินเสียนที่อยู่เก้าอี้ไม้ยาว บดบังแสงสว่างไสวที่สาดสะท้อนเข้ามาทางหน้าต่าง และหลังจากนั้นก้มตัวลงเล็กน้อย นิ้วมือหยิบสาสน์ที่กราบทูลที่อยู่บนหน้าของเธอออก แล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงนุ่มนวลอีกว่า “อาเสียน ท่านไม่ต้องพยามยามทุ่มเทเช่นนี้หรอก”

เฉินเสียนปิดตาทั้งสองข้าง กระตุกริมฝีปากขึ้นเล็กน้อย เธอลุกขึ้นยืน เอื้อมมือออกไปก็สามารถโอบเอวซูเจ๋อได้ ฉวยโอกาสทำให้เขานั่งบนเก้าอี้ไม้ยาว หมอนของเธอคือขาของเขา กล่าวด้วยท่าทางสะลึมสะลือว่า “ข้าไม่อยากทุ่มเท แต่ทุกวันข้าแทบอยากจัดการแก้ปัญหาวุ่นวายของต้าฉู่ให้ได้อย่างรวดเร็วเลย หลังจากนั้นค่อยมาจัดการเรื่องข้ากับท่าน”

เธอโน้มตัวเข้าไปในอ้อมกอดเขา แล้วกล่าวพึมพำอีกว่า “ทุกวันข้าคิดอยากให้ท่านสามารถที่จะอยู่ที่นี่กับข้าได้ทุกค่ำคืน ไม่ต้องเห็นท่านออกไปเพียงลำพังแล้ว”

สาสน์ที่กราบทูลเหล่านี้จงใจทำให้มีความสามารถลึกและสูง เฉินเสียนยังไม่คุ้นชิน หลังจากอ่านจบสองเล่ม ก็เริ่มสัปหงกแล้ว

ซูเจ๋อเห็นเธอเหนื่อยจนลุกลี้ลุกลน หยิบขึ้นมาหนึ่งเล่ม แววตาเรียบเฉยกวาดมอง อ่านอย่างรวดเร็ว คำพูดสรุปเนื้อหาโดยประมาณอย่างง่ายดายไม่กี่คำอยู่บนสาสน์ที่กราบทูล

อย่างนี้ใช้สติปัญญาน้อยแต่ได้ผลมาก ได้ผลคุ้มค่า เฉินเสียนบังคับตัวเองให้มีชีวิตชีวาขึ้น ทุกเล่มทีอยู่ด้านหลังล้วนให้ซูเจ๋อเป็นผู้แปลให้กับเธอ และสุดท้ายค่อยอ่านและวิจารณ์

สองเล่มสุดท้ายซูเจ๋อหยิบมาอ่าน เลิกคิ้วขึ้นแล้วกล่าวถามว่า “นี่คล้ายกับว่าเป็นการยื่นมติไม่ไว้วางใจข้าที่เข้าพระตำหนักไท่เหอบ่อยครั้ง ต้องเป็นผู้ต้องสงสัยก่อกวนความคิดของท่าน”

เฉินเสียนรีบหยิบสาสน์ที่กราบทูลมาดู กักไว้อีกด้านหนึ่ง แล้วกล่าวว่า “เรื่องนี้ท่านไม่ต้องยุ่ง หลังจากนั้นข้าค่อยจัดการพวกเขาเอง”

ซูเจ๋อกล่าวว่า “ข้าเป็นชาย เข้าพระตำหนักไท่เหอตามอำเภอใจ ไม่เหมาะสมกับกฎเกณฑ์จริง เดิมทีพวกเขาก็ไม่ได้ผิดนะ”

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ข้าคือหงส์พันปี