ข้าคือหงส์พันปี นิยาย บท 577

เฉินเสียนเดินออกมาจากพระตำหนักฉีเล่อ ท่านแม่ทัพใหญ่ฉินหรูเหลียงที่เฝ้าอยู่นอกพระตำหนัก เขายังไม่เคยแม้แต่จะได้ครอบครองเฉินเสียน จะปล่อยให้องค์ชายหกที่เข้ามาแทรกได้รับประโยชน์จากสิ่งนี้ได้อย่างไรกัน

ดังนั้นเมื่อเฉินเสียนเดินเข้าพระตำหนักฉีเล่อไปนั้น ฉินหรูเหลียงก็นำกำลังเข้ามาเฝ้าเวรยามไว้ข้างนอก เพื่อรอคำสั่งของเฉินเสียน และหลังจากนั้นองครักษ์วังหลวงก็สามารถเข้าไปจัดการได้

เฉินเสียนเดินไปข้างหน้า และกล่าวกับฉินหรูเหลียงว่า "ท่านเฝ้าดูองค์ชายหกไว้ ดูว่าเขามีการติดต่อกับคนข้างนอกวังหรือไม่ ตัดขาดการติดต่อของเขาและสายลับเย่เหลียงทั้งหมด"

หลังจากที่เฉินเสียนออกมาจากพระตำหนักฉีเล่อ องค์ชายหกก็กลับเข้าไปที่ห้องนอนในพระตำหนัก เขาไม่ได้สนใจว่าคนของเขาจะถูกโบยจนตายหรือบาดเจ็บปางตายหรือไม่

เขานอนอยู่ตามลำพังบนเตียงสีแดงขนาดใหญ่ มองดูเพดานสีแดงอบอุ่นเหนือศีรษะของเขา มือของเขาค่อย ๆ กำหมัดแน่น แล้วพูดว่า "ซูเจ๋อ ช่างทำให้ข้ารู้สึกหงุดหงิดนัก"

เฉินเสียนกลับมาถึงพระตำหนักไท่เหอ และก้าวข้ามสะพานเล็ก ๆ ในไฟในตำหนักยังคงสว่างไสวอย่างโปร่งใส่ ต่างจากพระตำหนักฉีเล่อ ซึ่งทำให้เธอรู้สึกอบอุ่นและสบาย

เฉินเสียนฟังที่แม่นมซุยกราบทูลรายงาน หมอหลวงได้เข้ามาดูอาการของซูเจ๋อแล้ว ไม่มีอะไรน่าเป็นห่วงนัก และตอนนี้เขากำลังอยู่ในห้องนอนกับเจ้าน่องน้อย

ทันทีที่เฉินเสียนผลักประตูเข้าไป สิ่งแรกที่เธอจับจ้องคือดวงตาเรียวสองคู่ทั้งเล็กและใหญ่

พ่อลูกทั้งสองคนกำลังนั่งเล่นบนพรมนุ่มด้วยกัน ซูเจ๋อสวมชุดลำลอง ส่วนชุดเครื่องแบบขุนนางนั้น เขาถอดและนำไปแขวนไว้ที่ฉากกั้นหยกแล้ว

คนเล็กดูตรงไปตรงมา ส่วนคนโตนั้นงดงามและน่ารื่นรมย์ ทั้งสองพูดพร้อมกัน "ท่านยังรู้ว่าต้องกลับมา"

เฉินเสียนแตะจมูกของเขาและกล่าวว่า "ข้ากลับมาถึงดึกมากเลยหรือ"

ซูเซี่ยนลุกขึ้น ดึงเสื้อผ้าของเขา และมองไปที่ซูเจ๋อ และกล่าวอย่างเคร่งขรึม "ท่านแม่กลับมาก็ดีแล้ว ท่านพ่อบอกว่าท่านพ่อปวดหัว ท่านแม่ดูให้ท่านพ่อหน่อยขอรับ"

ซูเจ๋อเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย

เมื่อเฉินเสียนได้ยินเช่นนี้ เธอจึงรีบเดินเข้ามาอย่างร้อนรนและกล่าวว่า "ทำไมถึงปวดหัวอีกแล้วล่ะ?"

ซูเซี่ยนกล่าว "ได้ยินมาว่าท่านแม่ไปหาคนอื่น คงเพราะตกใจขอรับ"

ไม่พูดเปล่า ซูเซี่ยนเดินออกมาจากห้องนอน และหลังจากออกมาจากห้องเขาก็คิดอยากจะปิดห้องให้สนิทเพื่อพวกเขาทั้งสองคน อย่างไรก็ตาม เพราะเขาตัวเล็กเกินไป พยายามอยู่หลายครั้งแต่ก็ไม่สำเร็จ อวี้เยี่ยนเข้ามาพบเข้าจึงช่วยเขาปิดประตูลง

ซูเซี่ยนหันหลังกลับมากล่าว "ขอบคุณ" และก่อนจะจากไปก็ได้บอกกับอวี้เยี่ยน "ท่านพ่อกับท่านแม่ของข้ามีเรื่องสำคัญต้องคุยกัน ไม่ต้องเข้าไปรบกวนพวกเขา"

อวี้เยี่ยนอดยิ้มไม่ได้ "คิดว่าบ่าวดูไม่ออกหรืออย่างไรเจ้าคะ"

เฉินเสียนนั่งอยู่ข้างหลังของซูเจ๋อ ลูบศีรษะของเขา ในใจทั้งปวดร้าวและทั้งโกรธ และกล่าวว่า "ทั้งที่รู้ว่าร่างกายยังไม่แข็งแรงดี แทนที่จะพักผ่อนเยอะ ๆ แถมยังออกไปข้างนอกเพื่ออะไรกัน? หากไม่สบายจะทำเช่นไร? แผลที่ศีรษะติดเชื้อจะทำเช่นไร?"

ซูเจ๋อกล่าว "ข้าก็อยากจะทำเป็นไม่รับรู้อะไร ถ้าเป็นแบบนั้นท่านคงจะรู้สึกดีกว่านี้ใช่ไหม" หลังจากหยุกชะงักไปชั่วขณะ เขาก็พูดอีกว่า "แต่หากข้าไม่อยู่ ข้ากลัวว่าท่านจะลืมคำพูดของข้า ข้าจึงต้องไปเพื่อย้ำเตือนท่าน"

เฉินเสียนกอดเขาจากด้านหลังและพึมพำ "ข้าจะลืมได้อย่างไร ข้าจะกราบไหว้ฟ้าดินกับท่านเท่านั้น จะแลกดื่มสุราที่อยู่ในมือกับท่านเท่านั้น จะเข้าเรือนหอกับท่านเท่านั้น ชีวิตนี้ ข้ามีเพียงท่านคนเดียวที่เป็นของข้า"

จู่ ๆ กลางดึก ซูเจ๋อคงจะได้รับลมที่พัดเข้ามาจากภายนอก จึงทำให้เขาไข้ขึ้น ตัวเขาร้อนจนน่าตกใจ และดวงตาของเขาเป็นสีแดงดอกกุหลาบและเลือดเล็กน้อย

เฉินเสียนตกใจมาก และเรียกหมอหลวงทุกคนที่อยู่ในวังหลวงเข้ามา เธอไม่กล้าที่จะหลับลงไป และแทบไม่กล้าจะกะพริบตาแม้แต่นิดเดียว

เธอคอยดูแลอย่างใกล้ชิดที่ข้างเตียง และคอยทำให้ซูเจ๋อตัวเย็นลงจนถึงรุ่งเช้า ก่อนที่อุณหภูมิร่างกายของเขาจะค่อย ๆ ลดลง

เนื่องจากอยู่ด้วยกันมานาน และผ่านเรื่องราวเฉียดตายและอันตรายมาด้วยกัน ความรู็สึกที่เฉินเสียนมีต่อซูเจ๋อไม่ได้ลดน้อยลงตามกาลเวลาที่ผ่านไปเลย แต่กลับเพิ่มขึ้นและลึกซึ้งขึ้นทุกวัน

เธอกลัวมาพอแล้ว เธอไม่สามารถสูญเสียไปได้อีก เพราะฉะนั้นหากซูเจ๋อเป็นอะไรไปแม้เล็กน้อย เธอจึงมักตกใจกลัวและกังวลใจอย่างมาก

ไม่ว่าเหล่าขุนนางจะพูดจากล่าวหาสักกี่ครั้ง สุดท้ายเฉินเสียนก็เฉยเมยต่อคำพูดเหล่านั้น ส่วนเรื่ององค์ชายหกที่อยู่วังหลังกับเธอนั้น ก็เป็นเพียงแค่เครื่องประดับเท่านั้น

ดังนั้นในช่วงเช้าตรู่ บรรดาขุนนางกล่าว "วังหลังไม่เหมาะสมที่จะถูกทิ้งร้างไว้อย่างนั้น ฝ่าบาททรงโปรดแต่งตั้งสนมพ่ะย่ะค่ะ"

บรรดาขุนนางยังพูดถึงความรุ่งเรืองของการสืบทอดวงศ์ตระกูลตั้งแต่สมัยโบราณของราชวงศ์ และเฉินเสียนก็นั่งเงียบ ๆ และบรรดาขุนนางก็พูดคุยกันไม่รู้จบ

เฉินเสียนเลิกคิ้วขึ้น และบรรดาขุนนางต่างก็ชินกับการได้เห็นหน้าตาของเธอ และพวกเขาต่างก็ดีใจและคิดว่ามันน่าสนใจ

เฉินเสียนถามออกไป "งั้นตามที่อ้ายชิงทั้งหลายเห็นนั้น มีผู้ใดที่เหมาะสมแล้วหรือไม่?"

เหล่าขุนนางพูดคุยหารือกันอีกครั้งและกล่าวว่า "หม่อมฉันเห็นว่าท่านแม่ทัพใหญ่ฉินหรูเหลียงมีความสัมพันธ์ที่ดีกับองค์จักรพรรดิมาก่อนหน้านี้ เพียงแค่จำต้องมาเลิกราความเป็นสามีภรรยาไปกับองค์จักรพรรดิในภายหลัง อีกทั้งยังเป็นพ่อแท้ ๆ ขององค์ชายใหญ่ หม่อมฉันเห็นว่าท่านแม่ทัพฉินเหมาะสมที่สุดแล้วพ่ะย่ะค่ะ"

ฉินหรูเหลียงยืนตัวตรงอยู่ในท้องพระโรงและเป็นหัวหน้านายทหาร เขาขมวดคิ้วเมื่อได้ยินเรื่องนี้ แต่เขาไม่คิดว่าจะถูกพวกขุนนางอันธพาลเหล่านี้จับเป็นโล่กำบัง และเขาก็ไม่ได้รับการบอกล่วงหน้าสำหรับเรื่องนี้

เฉินเสียนจะคิดยังไง? คิดว่าเขาจงใจยุยงเหล่าขุนนางชั้นสูง?

หลังจากนั้นท้องพระโรงก็มีความเงียบงันอย่างแปลกประหลาด

เฉินเสียนลูบที่จับบัลลังก์มังกรอย่างสบาย ๆ และใช้นิ้วแตะเบา ๆ ราวกับว่ากำลังชั่งน้ำหนักเรื่องอย่างระมัดระวัง

เฉินเสียนกล่าว "เรื่องวังหลังจะมาเกี่ยวข้องกับการปกครองไม่ได้ หากท่านแม่ทัพฉินเข้ามายังวังหลัง อาณาจักรต้าฉู่ของข้าก็ต้องมีท่านแม่ทัพน้อยลงไปหนึ่งคน ใครจะรับผิดชอบดูแลปกป้องสถานที่สำคัญอย่างเมืองหลวง และส่งราชองครักษ์ไปหลายหมื่นคน ใครจะรับผิดชอบ? ใต้เท้าซวี่หรือ? หรือว่าใต้เท้าจ้าวมารับผิดชอบ?"

ขุนนางที่ได้รับการเสนอชื่อทั้งหมดถอยหลังกลับ ในปัจจุบัน ราชสำนักมีนายทหารระดับท่านแม่ทัพน้อย และหากไม่มีฉินหรูเหลียง ก็ไม่มีใครมาแทนที่เขาได้จริง ๆ

เฉินเสียนพูดซ้ำแล้วซ้ำเล่า "อีกอย่าง ใครบอกว่าท่านแม่ทัพฉินเป็นพ่อแท้ ๆ ขององค์ชายใหญ่?"

ทันทีที่คำพูดนี้ออกมา คนทั้งท้องพระโรงต่างก็โกลาหล

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ข้าคือหงส์พันปี