เฉินเสียนนั่งอยู่ในท้องพระโรงที่ว่างเปล่า มีประกาศรับสั่งให้ซูเจ๋อเข้าวัง จากนั้นเฮ่อโยวซึ่งอยู่ข้างกายจึงเป็นผู้อ่านพระราชโองการให้ทราบโดยทั่วกัน เลื่อนยศให้บัณฑิตซูเจ๋อเป็นอัครเสนาบดีผู้ช่วยปกครองดินแดนต้าฉู่ พร้อมกับพระราชทานตราประจำตำแหน่งอัครเสนาบดี ตั้งแต่นี้เป็นต้นไปจะคอยช่วยเหลือจักรพรรดิดูแลราชกิจในราชสำนักโดยมิอาจหย่อนยานต่อหน้าที่
จากมุมของเฉินเสียนซึ่งเรียกได้ว่ามองจากเบื้องสูงลงมา เธอมองดูซูเจ๋อคุกเข่ารับพระราชโองการของเธอ มองดูเขาโค้งศีรษะคำนับแสดงความขอบคุณต่อจักรพรรดิ
มือทั้งสองข้างที่วางอยู่บนบัลลังก์มังกรเกร็งแน่น เธอสูดลมหายใจเข้าลึกๆ พยายามระงับความต้องการที่จะถลันลงไปดึงเขาให้ลุกขึ้นมาเอาไว้อย่างสุดความสามารถ
ซูเจ๋อรับพระราชโองการ ต่อแต่นี้ไปเขาจะเป็นขุนนางของเธอและเป็นผู้นำของเหล่าขุนนางทั้งหลาย
เฉินเสียนจะทำอย่างไรได้อีกถ้าหากไม่ทำเช่นนี้ นี่คือสิ่งที่ซูเจ๋อตัดสินใจเด็ดขาดลงไปแล้ว ถึงแม้ว่าเขาจะเป็นเพียงบัณฑิตที่ไม่ได้กุมอำนาจ ก็จะยังเกิดเรื่องกับเขาอยู่ดี
ในเมื่อเธอหยุดมันไม่ได้ ไม่ดีกว่าหรือถ้าจะให้เขาอยู่ในตำแหน่งอันสูงส่งซึ่งมากด้วยอำนาจ ให้เขาได้อยู่ในตำแหน่งที่มีเกียรติซึ่งจะทำให้เขามีอำนาจมากขึ้น แม้ว่าจะเป็นการสร้างศัตรู แต่คนอื่นก็จะทำอะไรเขาอย่างโจ่งแจ้งไม่ได้ ทั้งยังต้องให้ความเคารพเขาตามขนบและเชื่อฟังเขาอย่างไม่อาจโต้แย้ง
เขาเป็นอัครเสนาบดีของอาณาจักร ต่อไปจะยังมีใครกล้าทำให้เขาเสียเกียรติ จะยังมีใครกล้าฟ้องร้องให้ปลดเขาออกจากตำแหน่งอีก
เฉินเสียนลุกขึ้นและก้าวลงมาจากบัลลังก์ เดินมาหยุดอยู่ตรงหน้าซูเจ๋อ เอ่ยเบาๆ ว่า “ท่านต้องการเป็นขุนนางผู้กุมอำนาจ ข้าจึงทำให้ท่านเป็นขุนนางผู้กุมอำนาจ ท่านต้องการทำสิ่งใด ข้าจะให้ท่านทำทุกอย่าง ตกลงหรือไม่”
ซูเจ๋อประสานมือคารวะ “ขอบพระทัยฝ่าบาทที่ทรงกรุณา กระหม่อมจะไม่ทำให้ฝ่าบาทผิดหวังเป็นอันขาด”
กระหม่อม...
ต่อแต่นี้ไปเขาคือขุนนางของเธอ
ก่อนหน้านี้เฉินเสียนเคยพูดว่าเครื่องแบบขุนนางของซูเจ๋อดูดีมาก ตอนนี้เธอยืนอยู่ตรงหน้าเขา แต่ด้วยเส้นแบ่งของจักรพรรดิและขุนนาง เธอจึงไม่อาจยื่นมือออกไปจัดอาภรณ์ให้เขาได้อย่างที่ใจปรารถนา
เมื่อมีการเข้าเฝ้าในราชสำนัก พวกเขาจะเอ่ยถึงเรื่องราวความรักไม่ได้อีกต่อไป
ในที่สุดเฉินเสียนก็เป็นฝ่ายหันและจากไปก่อน
วันนี้ซูเจ๋อกลายเป็นเสนาบดี เหล่าขุนนางชั้นผู้ใหญ่ที่หยุดเข้าเฝ้าต่างไม่สบายใจ ข่าวจากในวังถูกส่งมาอย่างรวดเร็ว พวกเขาไม่คิดว่าในช่วงเวลาคับขันเช่นนี้ ฝ่าบาทไม่เพียงแต่ไม่รับสั่งปลดซูเจ๋อ แต่ยังเลื่อนตำแหน่งให้เขาเป็นถึงอัครเสนาบดีแห่งราชสำนัก
มีหรือที่เหล่าขุนนางเฒ่าผู้ริเริ่มให้หยุดเข้าเฝ้าจะไม่ตื่นตระหนกเพราะเรื่องนี้
พวกเขาไปรวมตัวกันที่เรือนของผู้เฒ่าเฮ่ออีกครั้ง เอ่ยอย่างคับแค้นใจว่า “ผู้เฒ่าเฮ่อนะผู้เฒ่าเฮ่อ ท่านทำได้ลงไปอย่างไร! ...ฮึ่ย! ท่านยอมปล่อยตำแหน่งอัครเสนาบดีไปง่ายๆ เช่นนี้ได้อย่างไรกัน!”
ผู้เฒ่าเฮ่อกำหมัดและทุบลงบนฝ่ามืออีกข้างอย่างแรง เขาทอดถอนใจและบอกว่า “ข้าเองก็คาดไม่ถึงเช่นกัน! ฝ่าบาทไม่คำนึงถึงหลักประเพณี จะให้ข้าทนรออยู่ได้อย่างไร! ดูเหมือนต่อไปข้าจะต้องพักอยู่แต่ที่เรือนจริงๆ เสียแล้ว”
เหล่าขุนนางเฒ่าคิดอะไรไม่ออกอยู่ครู่ใหญ่ ต่างหดหู่และท้อใจเป็นอย่างมาก
ผู้เฒ่าเฮ่อกล่าวอีกว่า “แล้วตอนนี้จะแก้ไขอย่างไรดี พวกท่านทุกคนยังคิดจะไปเข้าเฝ้าที่ราชสำนักต่อไปหรือไม่”
“นี่มันจะไม่ขัดกับความตั้งใจเดิมของพวกเราหรอกรึ จะให้เรายอมเลิกราได้อย่างไร! เดิมทีคิดว่าคราวนี้จะบีบให้ซูเจ๋อออกไปจากราชสำนักอย่างสมบูรณ์ แต่กลับทำให้เขากลายเป็นอัครเสนาบดีผู้กุมอำนาจเสียอย่างนั้น หากเขารวบอำนาจไว้เสร็จสรรพ ต้าฉู่จะตกอยู่ในอันตราย!”
ผู้เฒ่าเฮ่อใคร่ครวญอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นจึงเอ่ยอย่างสงบว่า “ละเว้นการเข้าเฝ้ามาแล้วหลายวัน กิจของราชสำนักไม่มีใครดูแล ไม่ใช่ว่านั่นไม่เป็นผลดีต่อต้าฉู่หรอกหรือ แต่เดิมเหล่าเราควรมุ่งมั่นสร้างสิ่งที่จะนำต้าฉู่ไปสู่ความรุ่งเรือง ไม่ใช่การวิ่งไล่และปราบปรามคนเพียงผู้เดียว ถ้าพูดถึงการใช้อำนาจบาตรใหญ่ เหล่าเฒ่าชราอย่างเราเองก็ใช้อำนาจไม่ต่างกัน”
“ผู้เฒ่าเฮ่อ เหตุใดท่านจึงช่วยพูดแทนซูเจ๋อเช่นนี้” เหล่าขุนนางเฒ่าไม่เข้าใจ
ในวันที่สองของการทำราชกิจ มีขุนนางมาที่ราชสำนักเพียงประปราย ฉินหรูเหลียงกับซูเจ๋อ คนหนึ่งเป็นผู้บัญชาการฝ่ายทหาร คนหนึ่งเป็นผู้บัญชาการฝ่ายพลเรือน ทั้งสองอยู่ในฝ่ายที่ต่างกัน ซึ่งขุนนางฝ่ายทหารและฝ่ายพลเรือนต่างก็ถูกแบ่งแยกอยู่เบื้องหลังของคนทั้งสอง
ส่วนเรื่องการปลดและการเลื่อนยศของเหล่าขุนนาง ซูเจ๋อไม่ได้ทำเพื่อให้พวกเขาตกใจ แต่วิญญูชนย่อมไม่คิดการใดนอกจากทำตามตำแหน่งหน้าที่ตน เขาจึงนำรายชื่อของขุนนางส่วนหนึ่งมา ปลดขุนนางเฒ่าที่ปฏิบัติหน้าที่ไม่ดีทว่าอาศัยว่ามีอำนาจและแก่ยศออกจากราชสำนัก จากนั้นจึงเลื่อนยศให้เหล่าขุนนางที่ถูกคนพวกนั้นกดขี่ไว้โดยตลอดขึ้นรับตำแหน่งอย่างเหมาะสม
ทันทีที่ถวายสาส์นกราบทูลข้อราชการ เฉินเสียนอ่านดูรอบหนึ่งและประทับตราอนุมัติ
มีอาลักษณ์สองคนและผู้ตรวจการแผ่นดินหนึ่งคนในหมู่ขุนนางเฒ่าถูกปลดในทันที นอกจากนี้ซูเจ๋อยังเลื่อนขั้นขุนนางท้องถิ่นในเมืองใหญ่ผู้มีธรรมาภิบาลหลายคนให้มาดำรงตำแหน่งในฝ่ายศูนย์กลางทั้งหกกรมที่เมืองหลวง
เหล่าขุนนางเฒ่าตื่นตระหนกอย่างสุดขีด พวกเขาไม่อาจเพิกเฉยได้อีกต่อไปเมื่อซูเจ๋อถอนรากถอนโคนอำนาจในราชสำนักของตนทิ้ง
เป็นผลให้เมื่อถึงวันที่สาม เหล่าขุนนางจึงมารวมตัวกันที่ราชสำนักโดยไม่มีใครขาดตกเลยแม้แต่ผู้เดียว
เหล่าขุนนางเฒ่าปฏิบัติตัวเป็นปรปักษ์กับซูเจ๋อเมื่ออยู่ในราชสำนัก พยายามหว่านล้อมให้จักรพรรดินีปลดอัครเสนาบดีอย่างเอาเป็นเอาตาย
ในเวลานั้นซูเจ๋อยืนอยู่ในราชสำนักด้วยสีหน้าเรียบเฉย ราวกับว่าจะใช้เงินสี่ตำลึงปาดพันชั่ง เขาใช้มืออันขาวสะอาดชี้ไปยังกลุ่มขุนนางเฒ่าซึ่งกำลังยุยงโดยตรง
ซูเจ๋อทูลว่า “กราบบังคมทูลฝ่าบาท ระยะนี้กระหม่อมได้รับรายงานมาว่า ใต้เท้าหยางอาลักษณ์แห่งกรมขุนนางฉ้อราษฎร์บังหลวง เล่นพวกเล่นพ้อง คนรับใช้และข้าหลวงต่างๆ ที่แต่งตั้งล้วนมีความเกี่ยวดองกันไม่น้อย กระหม่อมขอฝ่าบาทโปรดทรงพิจารณาว่าควรตรวจสอบหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ”
เหงื่อเย็นๆ ปรากฏขึ้นบนใบหน้าของใต้เท้าหยางผู้นั้น เขาชี้ไปทางซูเจ๋อด้วยมืออันสั่นเทาเพราะความโกรธแค้นที่อัดแน่น “ท่าน... ท่าน! ท่านเอาเลือดในปากมาสาดข้า!”
เฉินเสียนเอ่ยขึ้นว่า “อัครเสนาบดีซูเอาเลือดในปากไปสาดท่านจริงหรือไม่ หลังจากตรวจสอบก็จะรู้เอง หากอัครเสนาบดีซูใส่ร้ายใต้เท้าหยาง ข้าจะต้องลงโทษเขาอย่างแน่นอน ตรวจสอบเรื่องนี้ให้ละเอียด ไม่ใช่เฉพาะกรมขุนนางเท่านั้น แต่ตรวจสอบเครือญาติที่มีความเกี่ยวข้องของทุกฝ่ายในราชสำนักให้กระจ่างและมารายงานข้า หากผ่านการขั้นตอนการแนะนำตามปกติขุนนางจะไม่ถูกสอบสวน แต่หากเป็นไปตามกฎหมายว่าด้วยการทุจริตและรับสินบน ทั้งหมดจะต้องเป็นไปตามกระบวนบทกฎหมายของต้าฉู่”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ข้าคือหงส์พันปี
ชอบมากเรื่องนี้...