หลังจากเข้ามาอยู่ในแวดวงขุนนาง ซูเจ๋อในจิตใต้สำนึกของเฉินเสียนดูเหมือนจะกลับไปสวมใส่อาภรณ์สีดำและไม่เคยกลับมาสวมอาภรณ์สีขาวอีกเลย
เหล่าขุนนางในราชสำนักต่างพูดถึงเขาอย่างเคารพยำเกรง ทว่าก็ยังมีผู้ที่เกลียดชัง
ต้นไม้สูงย่อมต้องลม เขาอยู่ในตำแหน่งที่สูงส่งจึงย่อมสร้างศัตรูอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ทั้งยังเป็นศัตรูที่ซ่อนตัวอยู่ในเงามืดเสียด้วย
วันนั้นเฉินเสียนได้ยินว่าซูเจ๋อถูกลอบสังหารระหว่างทางกลับเรือน
ในเวลานั้นเฉินเสียนทิ้งทุกอย่างในมือและวิ่งออกไปจากวังโดยไม่สนใจสิ่งใด ตอนนั้นศพที่อยู่ในตรอกถูกนำออกไปแล้ว เหลือไว้แค่เพียงคราบเลือดที่เปื้อนอยู่บนพื้น
ซูเจ๋อยืนอยู่ในตรอกซึ่งเต็มไปด้วยเลือด มีเจ้าหน้าที่ทหารเดินสำรวจไปมาอยู่รอบๆ ที่เกิดเหตุ และเนื้อตัวของเขาไม่ได้เปรอะเปื้อนคราบสกปรกใดๆ
เฉินเสียนวิ่งตรงไปหาเขา เมื่อซูเจ๋อหันกลับมาและเห็นร่างของคนคนหนึ่งซึ่งกำลังวิ่งตรงมาหา สีหน้าที่เปล่าเปลี่ยวของเขาก็ชะงักไปเล็กน้อย ครั้นแล้วใบหน้านั้นจึงค่อยกลับกลายเป็นอ่อนโยน
เฉินเสียนจ้องมองเขาและมองคราบเลือดที่นองเต็มพื้น เธออดไม่ได้ที่จะคว้ามือของซูเจ๋อไว้และสำรวจตรวจสอบเขาตั้งแต่หัวจรดเท้า เอ่ยอย่างตื่นตระหนกว่า “ท่านเป็นอย่างไรบ้าง เกิดอะไรขึ้น เจ็บตรงไหนหรือเปล่า” กลิ่นคาวเลือดรุนแรงลอยขึ้นมาเตะจมูก “ถ้าเจ็บตรงไหนท่านต้องบอกข้านะ อย่าเก็บซ่อนเอาไว้อีก...”
ซูเจ๋อเอ่ยว่า “อาเสียน ข้าไม่เป็นไร”
เฉินเสียนต้องยืนยันด้วยตนเองว่าบนร่างกายของเขาไม่มีบาดแผลเธอจึงค่อยวางใจ
ต่อมา การสอบข้อเขียนและการทดสอบศิลปะการต่อสู้ที่เมืองหลวงก็เริ่มเปิดฉากขึ้นตามเวลาที่กำหนด บุคคลผู้มีความสามารถซึ่งได้รับการคัดเลือกจากทั่วทุกหนแห่งต่างมารวมตัวกันอยู่ที่เมืองหลวงแห่งนี้
ซูเจ๋อเป็นผู้รับผิดชอบการสอบข้อเขียนของบัณฑิต ฉินหรูเหลียงเป็นผู้รับผิดชอบการทดสอบศิลปะการต่อสู้ โดยการคัดเลือกและการประเมินผลจะกินเวลายาวนานหลายวัน
หลายวันมานี้ที่เมืองหลวงเต็มไปด้วยความคึกคัก ดูเหมือนผู้มีความสามารถที่หลั่งไหลเข้ามาจะนำความมีชีวิตชีวาเข้ามาด้วย และสิ่งที่ผู้คนพูดถึงมากที่สุดก็คือการสอบข้อเขียนของบัณฑิตและการทดสอบศิลปะการต่อสู้
เฉินเสียนสวมชุดลำลองไปสังเกตการณ์ ณ สถานที่จัดสอบเมื่อมีเวลาว่าง เหล่าบัณฑิตต่างตั้งใจตวัดพู่กันเขียนข้อสอบอย่างรวดเร็ว ในขณะที่เหล่าวีรบุรุษนักรบต่างลุกขึ้นมาแสดงความทะเยอทะยานดั่งเสือที่คำรามในสายลม
เฉินเสียนไปที่ลานทดสอบศิลปะการต่อสู้ ซึ่งแน่นอนว่าผู้คุมสอบคือฉินหรูเหลียง เธอนั่งดูการทดสอบอยู่ข้างๆ เขาครู่หนึ่ง การทดสอบพละกำลังของผู้เข้าสอบเป็นเพียงหนึ่งในบททดสอบเท่านั้น นอกจากนี้ยังมีการสอบยุทธวิธีการรบอีกขั้นหนึ่ง หลังจากนั้นจึงจะรวบรวมผลการทดสอบเพื่อนำมาพิจารณาตัดสิน
ในปีก่อนๆ การทดสอบศิลปะการต่อสู้จะใช้เกณฑ์การทดสอบพละกำลังเป็นหลัก ส่วนการทดสอบยุทธวิธีการรบเป็นหัวข้อที่ซูเจ๋อเพิ่งเพิ่มเข้ามา เป็นเรื่องยากที่จะท่องจำตำราพิชัยสงครามหลายๆ ม้วนให้ได้ภายในช่วงเวลาอันสั้น ดังนั้นจึงเป็นการดีที่จะทดสอบและเฟ้นหายอดหัวกะทิที่เข้าใจศิลปะการต่อสู้อย่างถ่องแท้ ซึ่งจะสังเกตได้จากการพลิกแพลงสถานการณ์และดูว่าคนผู้นั้นเหมาะสมกับตำแหน่งแม่ทัพหรือไม่
เฉินเสียนเห็นเงาที่คุ้นเคยของใครคนหนึ่งในลานทดสอบพละกำลัง... เกาเหลียง
เขามาเข้าร่วมการทดสอบจริงๆ ด้วย
ไม่ได้เจอกันมาหนึ่งปี ตอนนี้ร่างกายของเกาเหลียงเต็มไปด้วยพละกำลังและแข็งแกร่งขึ้นมาก ซึ่งนั่นน่าจะเป็นผลจากการฝึกฝนอย่างหนักภายในค่ายทหารของกองทัพเขตใต้ ตอนนี้เขาดูเฉียบคมยิ่งกว่าเดิม ขนาดแม่ทัพโฮ้วยังเขียนยกย่องสรรเสริญมาในจดหมายแนะนำตัว
ในแง่ของพละกำลัง เกาเหลียงไม่ใช่ผู้ที่โดดเด่นที่สุด แต่เขาเข้าใจถ่องแท้ในแง่ของการพลิกแพลงและความยืดหยุ่น เขารู้จุดอ่อนและจุดแข็งของตัวเองอย่างชัดเจน พร้อมกันนั้นก็วิเคราะห์จุดอ่อนและจุดแข็งของคู่ต่อสู้ได้อย่างทะลุปรุโปร่ง จนมักจะเอาชนะฝ่ายตรงข้ามได้โดยไม่ต้องปะทะตรงๆ เลยด้วยซ้ำ
ดูเหมือนว่าหนึ่งปีมานี้เขาไม่ได้ละเลยการขัดเกลาตัวเองเลยแม้แต่น้อย
เฉินเสียนที่เฝ้าดูอยู่เงียบๆ มาตลอดเอ่ยกับฉินหรูเหลียงว่า “ท่านคิดว่าเขาเป็นอย่างไรบ้าง พอจะปลุกปั้นได้หรือไม่”
ฉินหรูเหลียงไม่ได้รู้จักมักคุ้นกับเกาเหลียง เพียงแค่เห็นแวบเดียวเขาก็มองออกทันทีและพูดเพียงว่า “กำลังขาของเขาไม่สมดุล ก่อนหน้านี้เคยได้รับบาดเจ็บมาหรือ?”
เฉินเสียนฉีกยิ้มและกล่าวว่า “สายตาของท่านแม่ทัพช่างแหลมคม ไม่เพียงแต่สังเกตพละกำลังความแข็งแกร่งของพวกเขาอย่างละเอียด แต่ยังมองทะลุไปถึงร่างกายและจิตใจของพวกเขา เขาเคยได้รับบาดเจ็บที่ขาจริงๆ ตอนที่ทำสงครามปราบปรามทางเหนือเมื่อครั้งก่อน กล้ามเนื้อของเขาฉีกขาด ฟื้นตัวได้ขนาดนี้ภายในเวลาแค่หนึ่งปีก็นับว่าไม่เลวเลยใช่ไหม”
หลังจากการทดสอบในเมืองหลวงผ่านไป การสอบจอหงวนรอบสุดท้ายก็เริ่มต้นขึ้น สุดท้ายชุดกระดาษข้อสอบของเหล่าบัณฑิตผู้มีความสามารถก็ถูกส่งไปยังมือของซูเจ๋อ โดยที่ซูเจ๋อทำหน้าที่เป็นผู้ตัดสินผู้สอบผ่านการคัดเลือกจอหงวนในขั้นสุดท้าย
หลังจากเร่งรีบตลอดครึ่งเดือนที่ผ่านมา ราชสำนักจึงประกาศรายชื่อผู้สอบผ่านการคัดเลือกให้ทราบโดยทั่วกัน หลังจากนั้นขุนนางใหม่ทั้งฝ่ายพลเรือนและฝ่ายทหารก็ถูกส่งตัวไปปฏิบัติหน้าที่ยังสถานที่ต่างๆ รวมถึงในเมืองหลวง ทำให้วงการขุนนางในต้าฉู่ถูกพลิกโฉมใหม่ทั้งหมด
เมื่อได้ยินว่าอัครเสนาบดีซูเป็นผู้ตรวจและอนุมัติกระดาษข้อสอบของเหล่าบัณฑิตด้วยตัวเองทั้งหมด คนหนุ่มผู้มีความสามารถซึ่งเพิ่งเข้ามารับราชการในราชสำนักจึงตื่นเต้นฮึกเหิมไปตามๆ กัน
ซูเจ๋อคลึงจมูกและเอ่ยเบาๆ ว่า “ก่อนหน้านี้ไม่เคยต้องงีบหลับ แต่ตอนนี้นอนหลับได้เป็นชั่วยามโดยไม่รู้ตัว ไม่แข็งแรงเหมือนเมื่อก่อนแล้วจริงๆ”
แต่ในระหว่างการเปลี่ยนผ่านของราชสำนักจากสิ่งเก่าไปสู่สิ่งใหม่ นโยบายใหม่กำลังจะมีผลบังคับใช้ ในช่วงเวลาเช่นนี้เขาจะวางมือตามที่ใจอยากได้อย่างไร
เมื่อเริ่มต้นลงมือไปแล้วย่อมเป็นไปไม่ได้หากคิดจะถอนตัวกลางคัน เว้นเสียแต่ว่าหลังจากบังคับใช้นโยบายไปแล้ว อำนาจของราชสำนักมีความมั่นคงและเกิดความสมดุล ราชสำนักเริ่มควบคุมทรัพย์สินในท้องพระคลังได้ และไม่มีสิ่งใดที่ทำให้เธอพะว้าพะวังใจอีก เขาจึงจะสามารถถอนตัว
ซูเจ๋อพอจะรู้ตัวอยู่แล้วว่าสุขภาพร่างกายของเขาไม่แข็งแรงเหมือนเช่นแต่ก่อน แต่เขาก็เป็นเช่นนี้ ยิ่งทำอะไรไม่ได้เขาก็ยิ่งพร้อมจะลองเสี่ยงเพื่อไขว่คว้าโอกาส
ในที่สุดเขาก็หลีกเลี่ยงอีกไม่ได้
สิ่งที่เขาโกหกเฉินเสียนและโกหกตัวเองมาตลอดนั้น ถ้าหมอหลวงไม่มาตรวจที่เรือน เขาคงจะคิดว่าตนเองปลอดภัยไร้กังวลจากความเจ็บป่วยแล้วจริงๆ
แต่กลับกลายเป็นว่าโรคร้ายลุกลามมานานแล้ว
แท้จริงแล้วมันเริ่มตั้งแต่เมื่อไรกัน
ตั้งแต่ตอนถูกซุ่มโจมตีในป่าและตกลงมาจากเนินเขาจนศีรษะกระทบกระเทือนที่หรือเปล่า หรือว่าตั้งแต่ตอนที่ถูกโจมตีจนแทบเอาชีวิตไม่รอดในเย่เหลียง
ร่างกายถูกทำลายจากภายในและเขาก็ไม่มีเวลาพักฟื้นให้คืนสู่สภาพเดิม ยิ่งภายในใจคิดคำนวณแผนการไว้มากมาย ร่างกายยิ่งต้องแบกรับมากขึ้นทุกวัน เขาอาศัยความมุ่งมั่นของจิตใจฝืนใช้ร่างกายจนเกินกำลังโดยมาโดยตลอด ทว่าตอนนี้แม้แต่แรงใจเขาก็เริ่มรักษาเอาไว้ไม่ได้แล้ว
คราวก่อนถูกกระตุ้นไปแล้วครั้งหนึ่ง แต่ผ่านไปสองสามเดือนก็ไม่มีอะไรดีขึ้นมากนัก บางทีแม้แต่เวลาสองสามปีก็อาจจะยังไม่พอที่จะทำให้ร่างกายหายเป็นปกติ
พ่อบ้านอดเป็นห่วงไม่ได้จริงๆ จึงไปเชิญท่านผู้อาวุโสจากกระท่อมยาให้มาตรวจดูอีกครั้ง
เขาขมวดคิ้วทันทีที่สัมผัสชีพจรของซูเจ๋อ จากนั้นจึงกล่าวว่า “คราวก่อนข้าบอกไปว่าอย่างไร เดิมทีคิดว่าหากท่านดูแลตัวเองดีๆ อีกสักพักอาการจะดีขึ้น แต่ไม่คิดว่าอาการจะยิ่งทรุดลง!”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ข้าคือหงส์พันปี
ชอบมากเรื่องนี้...