หนึ่งเดือนให้หลัง ซูเจ๋อยังไม่ได้กลับมา
เฉินเสียนสะสางงานราชกิจได้ถนัดมากขึ้น เธอทยอยได้รับฎีการายงานผลสำรวจจากแหล่งต่างๆ บางแห่งเกิดการระบาดของตั๊กแตน บางแห่งมีฝนตกหนักเกินไป บางแห่งก็มีปัญหาด้านการจัดสรรทรัพยากรน้ำและบางที่ก็ขาดแคลนทุนทรัพย์ด้านการเกษตรจำนวนมาก สรุปก็คือมีปัญหาหลากหลายรูปแบบ
แน่นอน เมื่อสำรวจแล้วก็ต้องแก้ไขปัญหาพวกนี้ เมื่อปวงชนเห็นขุนนางมาสำรวจต่างพากันยกยอสรรเสริญว่าใส่ใจราษฎร เห็นผลประโยชน์ของปวงประชาเป็นที่ตั้ง
ซึ่งฎีกาถวายการสำรวจพวกนี้ไม่มีลายมือของซูเจ๋อเลยสักฉบับ เฉินเสียนไม่รู้ว่าเขาอยู่ในกลุ่มสำรวจไหน คงเป็นเพราะกลัวเฉินเสียนจะหาเขาเจอ ดังนั้นเขาจึงไม่ได้เขียนฎีการายงานด้วยตัวเอง
ยามที่มวลประชาเก็บเกี่ยวผลผลิตในสารทฤดูต่างพากันกระโดดโลดเต้นด้วยความดีใจ เพราะปีนี้มีผลผลิตเป็นกอบเป็นกำ
ราชสำนักก็พลอยปลาบปลื้มไปด้วย เพราะได้รับข้าวสารเข้าคลังหลวงด้วย
ใบเมเปิ้ลบนภูเขาแทบชานเมืองกลายเป็นสีแดงชาดแล้ว เมื่อมองจากที่ไกลจะพบเป็นสีแดงฉูดฉาดเต็มไปหมด คนในเมืองหลวงถือที่นั่นเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่ต้องแข่งกันไปในสารทฤดู
ซูเซี่ยนเสนอให้เฉินเสียนออกไปเที่ยวนอกวังบ้าง เพียงแต่เธอขังตัวเองไว้ในกรงเหล็ก หัวใจมืดมนไร้แสงสว่าง ไหนเลยจะมีกะจิตกะใจไปชมวิวทิวทัศน์กัน
ย่างเข้าสู่เหมันตฤดูเธอก็ไม่เห็นซูเจ๋อกลับมา ทว่ายังดีที่เธอได้รับจดหมายจากซูเจ๋อหนึ่งฉบับ ทำให้ชีวิตไร้ความหวังของเธอแต่งแต้มสีสันขึ้น
อักษรทุกตัวในจดหมายชัดเจน ล้วนเป็นลายมือของซูเจ๋อทั้งสิ้น
เฉินเสียนอ่านอย่างเชื่องช้า ด้วยเกรงว่าจะอ่านจบในช่วงเวลาสั้น
ซูเจ๋อเขียนในจดหมายว่า เขาอยู่ในทิศใต้อย่างปลอดภัยและสุขสบาย เขาได้ลิ้มลองอาหารประจำถิ่นและสัมผัสประเพณีพื้นบ้าน บอกเธอไม่ต้องเป็นห่วง
เฉินเสียนถือจดหมายวางกลางอก ยามราตรีนี้เธอนอนไม่หลับ จิตใจกระสับกระส่าย ไฟจากตะเกียงยังคงส่องแสงสว่างเรืองไร เธอตั้งใจอ่านจดหมายครั้งแล้วครั้งเล่า พลางจินตนาการภาพซูเจ๋อกำลังเขียนจดหมายอย่างคะนึงหา
หัวใจเจ็บปวดจนหายใจไม่สะดวก เธอขดตัวเอง หากเธอมีกระดองก็คงดี เธอจะได้หลบเข้าไปในนั้น จะได้ผ่านพ้นรัตติกาลอันอ้างว้างยาวนานนี้ไปทุกค่ำคืน
ภายหลังความหวังสิ่งเดียวของเฉินเสียนก็คือตั้งหน้าตั้งตารอคอยจดหมายจากซูเจ๋อ โชคดีที่ซูเจ๋อไม่ได้ส่งจดหมายมาเพียงหนึ่งฉบับเท่านั้น เธอจะได้รับจดหมายประมาณครึ่งเดือนหนึ่งฉบับ
การอ่านจดหมายของซูเจ๋อกลายเป็นเรื่องใหญ่โตมโหฬารที่สุดของเฉินเสียน
บางเพลากำลังให้เหล่าขุนนางเข้าเฝ้ายามเช้าเพื่อหารือเรื่องราชการ แต่เมื่อผู้ส่งสารเข้ามาถึงพระราชวังแล้วจะมุ่งมายังท้องพระโรงโดยตรง และเฉินเสียนจะวางมืองานราชกิจทุกอย่าง จากนั้นก็นั่งอยู่บนบัลลังก์สูงพลันฉีกหัวซองจดหมายอย่างลุกลน แล้วเปิดจดหมายอ่านโดยไว
เธอจะนิ่งเงียบเนิ่นนาน จากความนิ่งเงียบก็จะเปล่งเสียงหัวเราะออกมา หัวเราะเรื่อยๆจนขมวดคิ้วขึ้น
เหล่าขุนนางทั้งหลายพบว่ามีเพียงอัครเสนาบดีซูผู้เดียวที่สามารถทำให้เธอเกิดอารมณ์ รัก โลภ โกรธ หลงได้ เพียงแต่บรรดาขุนนางล้วนเก็บเรื่องนี้เป็นความลับสุดยอด
เมืองหลวงต้าฉู่มีหิมะโปรยปราย ซูเจ๋อเขียนบอกในจดหมายว่าเจียงหนานก็มีหิมะตก โชคดีที่หิมะไม่ได้ตกมากนัก แม่น้ำจึงไม่ได้จับตัวเป็นก้อนน้ำแข็ง ยังคงล่องเรือได้เฉกเช่นปกติ นั่งจิบชาอยู่บนเรือไปพลาง นิ่งดูหิมะร่วงโรยจากฟากฟ้าไปพลาง ช่างสุนทรีย์ยิ่งนัก
สาเหตุที่เฉินเสียนขมวดคิ้วมุ่นก็เพราะไม่รู้ว่าเขาใส่เสื้อกันหนาวหนาพอหรือไม่ ไม่รู้ว่าเขาจะเป็นหวัดหรือเปล่า ไม่รู้ว่า……เขาจะกลับมาเมื่อใด
ชั่วพริบตาก็ผ่านมาแล้วกว่าครึ่งปี ซูเจ๋อออกจากเมืองหลวงประมาณห้าเดือนเห็นจะได้แล้ว
คณะขุนนางที่ออกสำรวจไปยังสถานที่ต่างๆ ล้วนทยอยกันกลับเมืองหลวงก่อนท้ายปีจนหมดแล้ว จากนั้นก็เข้าเฝ้าทูลถวายงานแก่เฉินเสียน
เฉินเสียนกวาดสายตามองรอบๆ เห็นขุนนางคนสุดท้ายไม่ใช่ผู้ที่เธอถวิลหาทุกเช้าทุกค่ำ
เธอถาม "อัครเสนาบดีซูล่ะ?"
เหล่าขุนนางพากันจ้องตากัน กราบทูลอย่างระมัดระวังว่า "อัครเสนาบดีซูยังไม่ได้กลับมาหรือพ่ะย่ะค่ะ? พวกกระหม่อมคิดว่าอัครเสนาบดีซูกลับเมืองหลวงแล้วพ่ะย่ะค่ะ……"
การรอคอยนานนับเดือนของเธอเป็นอันไร้ความหมาย
เมื่อคราที่ขุนนางแอบรวมตัวกัน ล้วนรู้สึกเห็นใจและสงสารจักรพรรดินีเป็นอย่างยิ่ง หารือกันว่าหลังตรุษจีนพวกเขาจะเสนอให้จักรพรรดินีแต่งงาน ภายในพระราชวังจะได้ไม่เงียบเหงาเกินไป
พอถึงวันตรุษจีน เฉินเสียนก็ออกจากวังไปที่แม่น้ำหยางชุน มองดูผู้ใหญ่พาเด็กๆมาเล่นแถวแม่น้ำสักพัก จากนั้นเธอก็เดินเล่นในถนน พอรู้ตัวอีกทีเธอก็มาถึงหน้าจวนของซูเจ๋อเสียแล้ว
หน้าประตูจวนของเขาเงียบงันกว่าปีที่แล้ว
พ่อบ้านแก่ตัวขึ้นทุกปี ยังไม่ทันเก็บกวาดหิมะหน้าประตูจวน เขาก็เห็นเฉินเสียนมาเยือน ทำให้พ่อบ้านรู้สึกคาดไม่ถึง และทอดถอดใจ
"ฝ่าบาทจะเข้ามานั่งไหมพ่ะย่ะค่ะ?" พ่อบ้านกล่าว "ถึงแม้ใต้เท้าไม่อยู่บ้าน น้ำชาอุ่นๆกระหม่อมก็ยังพอเอาออกมาต้อนรับได้พ่ะย่ะค่ะ"
"ดี"
เฉินเสียนเข้าไปในจวน นั่งในห้องที่เธอกับซูเจ๋อเคยพักสักพัก จากนั้นก็ไปห้องตำราของซูเจ๋อต่อ
ห้องตำราของเขาสะอาดสะอ้านเป็นระเบียบ แสงสว่างเพียงพอ กางม่านหน้าต่างที่ทำมาจากไม้ไผ่ครึ่งหนึ่ง กระถางธูปมีแต่ขี้เถ้า ไม่มีกลิ่นของไม้กฤษณาเลยสักนิด
เธอนั่งแน่นิ่งอย่างนั้น ไม่ได้แตะต้องข้าวของในห้องตำราเลยสักชิ้น กระทั่งหนังสือหรือภาพวาดก็ไม่เปิดดูเลย เธอเกรงว่าจะทำลายลักษณะที่ซูเจ๋อทิ้งไว้
เมื่อเริ่มราชการหลังตรุษจีน เฉินเสียนก็ออกประกาศตามหาคนทั่วทั้งอาณาเขตต้าฉู่ ซึ่งในรูปภาพเหมือนนั้นวาดภาพของซูเจ๋อนั่นเอง ไม่ว่าเขาจะอยู่แห่งหนใด ขอเพียงอยู่ในแว่นแคว้นต้าฉู่ก็อาจหาตัวเจอ
ราษฎรแค่ฉงนใจเท่านั้น ซึ่งไม่รู้ว่าเจ้าของภาพวาดนี้เป็นใคร ไม่รู้ว่าอัครเสนาบดีหายตัวไป
ข่าวสุดท้ายที่เฉินเสียนได้รับจากซูเจ๋อคือเดือนหก
บอกว่าเขาไปที่พบปะกับแม่ทัพเจิ้นซีในพรมแดนทางตะวันตก
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ข้าคือหงส์พันปี
ชอบมากเรื่องนี้...