ข้าคือหงส์พันปี นิยาย บท 680

ทันทีที่องค์หญิงจาวหยางเดินจากไป ภายในเรือนจึงเหลือแค่เฉินเสียนแต่เพียงผู้เดียว ซูเจ๋อยืนอยู่ข้างๆ ประตูและมองดูเธออยู่อย่างนั้น

เธอก้าวไปข้างหน้าเพียงไม่กี่ก้าวและถามออกไปอย่างไม่รู้จะพูดอะไร “องค์หญิงมาคุยกับอะไรกับท่านหรือ”

ซูเจ๋อตอบว่า “แค่มาบอกเรื่องที่วันนี้พาอาเซี่ยนไปเดินซื้อของ”

เฉินเสียนเดินไปหยุดอยู่ตรงขั้นบันได แสงไฟนวลตาส่องลอดออกมาจากห้องของเขาและสาดส่องลงบนใบหน้าของเธอ ทว่าซูเจ๋อยืนย้อนแสง ใบหน้าจึงทั้งมืดและคลุมเครือจนเฉินเสียนมองเห็นสีหน้าไม่ชัด

ซูเจ๋อขยับไปชิดกรอบประตูเพื่อหลีกทางให้ เลิกคิ้วและบอกว่า “เข้ามาดื่มชาสักถ้วยก่อนไหม”

เขาน่าจะเพิ่งอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จไม่นาน กลิ่นอายจากตัวเขาจึงแฝงไปด้วยความรู้สึกชุ่มชื้นหน่อยๆ

เฉินเสียนเม้มริมฝีปาก ทันใดนั้นหัวใจก็เต้นผิดจังหวะอยู่ครู่หนึ่ง การเข้าไปในห้องของเขาทำให้เธอรู้สึกเหมือนตัวเองกำลังจะเข้าไปในถ้ำเสือหรือดงหมาป่าก็ไม่ปาน เธอไม่ได้ประมาทขนาดนั้น

ครั้นแล้วเฉินเสียนจึงตอบไปว่า “ไม่ละ อีกเดี๋ยวข้าก็จะกลับแล้ว”

“ท่านกลัวหรือ” ซูเจ๋อเอนหลังพิงกรอบประตูอย่างสบายใจ “เมื่อก่อนตอนที่ท่านเป็นฝ่ายมายั่วข้า ท่านไม่เห็นจะกลัวแบบนี้ ตอนนี้แม้แต่จะก้าวเข้ามาในประตูห้องสักครึ่งก้าวก็ยังไม่กล้า กลัวว่าข้าจะกินท่านงั้นหรือไง”

เฉินเสียนเอ่ยอย่างหงุดหงิดว่า “กลัวที่ไหน ข้าก็แค่รู้สึกว่ามันเสียเวลาเข้าๆ ออกๆ” เธอไม่หลงไปพูดเรื่องไร้สาระกับซูเจ๋อและหยิบปิ่นหยกขาวออกมายื่นให้เขา “ตอนที่อยู่ร้านเครื่องประดับเมื่อตอนกลางวันท่านคงหยิบปิ่นปักผมผิดอัน ข้าเอามาคืน”

ซูเจ๋อเหลือบมองปิ่นหยกขาวด้วยสีหน้าเรียบเฉยและกล่าวว่า “ไม่ได้หยิบผิด อันนี้ถูกแล้ว”

เฉินเสียนกล่าวว่า “เหตุใดท่านจึงไม่เอาไปมอบให้พระชายารุ่ยของท่านล่ะ ตกไปอยู่ในมือของคนนอกแบบนี้มันคงไม่ดีนัก”

ซูเจ๋อมองเธออยู่นาน เฉินเสียนยื่นแขนจนเริ่มรู้สึกเมื่อยแต่เขาก็ยังไม่มีทีท่าว่าจะรับมันไป เขากล่าวว่า “ท่านยืนตั้งไกล ข้าหยิบไม่ถึง”

เฉินเสียนบอกว่า “แค่ท่านเอื้อมมือออกมาก็หยิบได้แล้ว”

ซูเจ๋อจึงบอกไปว่า “ข้าไม่เอื้อม ถ้าอยากให้ข้ารับ ท่านก็ก้าวเข้ามาอีกหน่อยซี ไม่มีความจริงใจสักนิดเลยหรืออย่างไร”

ก่อนหน้านี้เจ้าตัวน้อยก็บอกว่าเธอต้องจริงใจ ตอนนี้คนพ่อยังจะมาบอกให้เธอจริงใจอีก!

คนหนึ่งยืนอยู่ข้างล่างบันได คนหนึ่งยืนอยู่หน้าประตู ต่างฝ่ายต่างไม่ยอมอ่อนข้อให้กัน

หลังจากผ่านไปครู่หนึ่ง ในที่สุดเฉินเสียนก็ตัดสินใจว่าจะยอมทน เธอก้าวขึ้นบันไดไปทีละก้าวจนยืนอยู่ใต้ชายคาเรือนของซูเจ๋อ จากนั้นจึงยื่นปิ่นหยกขาวให้เขาอีกครั้งพร้อมกับบอกว่า “ตอนนี้ข้าจริงใจพอหรือยัง”

“ท่านไม่ต้องการให้ข้ามอบสิ่งนี้ให้ท่านขนาดนั้นเลยหรือ” เขาถามพลางเอื้อมมือไปคว้าข้อมือของเธอ จากนั้นจึงใช้อีกมือหนึ่งหยิบปิ่นหยกขาวจากมือนั้นขึ้นมา

เฉินเสียนมองมือที่ว่างเปล่าของตน ทว่าทันใดนั้นผมของเธอก็รัดแน่น เฉินเสียนเงยหน้าขึ้นอย่างฉับพลันจนสบเข้ากับดวงตาของซูเจ๋อที่กำลังมองลงมา

ซูเจ๋อรับปิ่นปักผมที่เธอส่งให้ไปแล้ว แต่ในชั่วพริบตานั้นเขากลับกลัดไว้ที่มวยผมของเธออีกครั้ง

เขายังคงจับปิ่นปักผมนั้นไว้ จากนั้นนิ้วที่ขาวสะอาดจึงเลื่อนไปลูบไล้ที่มวยผมของเฉินเสียน เขายิ้มนิดหนึ่งและเอ่ยขึ้นมาอย่างไม่มีช่องว่างให้เธอแทรก “นี่เป็นของดูต่างหน้าที่แม่ของข้าทิ้งไว้ให้ แต่น่าเสียดายที่ท่านจัดการเองไม่ได้ ตอนนี้ข้ามอบให้ท่านแล้ว ท่านต้องรักษาเอาไว้ให้ดี ในภายภาคหน้าถ้าไม่เห็นว่ามันอยู่ในมือท่าน ข้าจะตามท่านมาชดใช้”

เฉินเสียนเบิกตากว้างมองซูเจ๋อที่ค่อยๆ โน้มศีรษะลงมาใกล้ ในเวลานั้นเธอรู้สึกราวกับว่ามีดวงดาวพราวระยับอยู่ในแววตาของเขา ดึงเธอให้จมดิ่งลงไปในท้องนภาอันล้ำลึกนั้น

เธอไม่รู้ด้วยซ้ำว่าทิศเหนืออยู่ตรงไหน

ขณะที่ซูเจ๋อกำลังจะสัมผัสลงมาบนริมฝีปากของเธอ เธอก็เอื้อมมือไปผลักหน้าอกของเขาไว้

ปฏิเสธเขาอีกครั้ง เป็นครั้งที่สอง

เฉินเสียนรีบบอกว่า “ข้าไม่ได้สนใจเลยสักนิด”

ซูเจ๋อยังไม่ยอมปล่อยมือ

เธอจ้องมองเขาด้วยนัยน์ตาที่แดงก่ำและพูดว่า “ท่านอยากให้ข้าพูดคุยกับท่านเรื่องพระชายาของท่าน พูดคุยเกี่ยวกับนิสัยของนาง รูปร่างหน้าตาของนาง พูดคุยเกี่ยวกับความสัมพันธ์ฉันสามีภรรยาของท่านกับนาง ท่านไม่คิดว่ามันโหดร้ายเกินไปหน่อยหรือ”

เธอออกแรงดิ้นรนและไม่ลังเลเลยที่จะรุนแรงกับข้อมือของตัวเอง ซูเจ๋อรีบปล่อยมือทันที มองเธอก้าวถอยไปอย่างโซซัดโซเซ จากนั้นจึงหนีเตลิดออกไป

ซูเจ๋อก้มมองมือของตัวเอง ความอบอุ่นของเธอยังคงไม่จางหายไปจากฝ่ามือของเขา เขารู้สึกราวกับว่าตนเองเริ่มต้นผิด ทุกครั้งที่พูดถึงเรื่องนี้ในอนาคต ไม่ว่าอะไรก็เหมือนจะผิดไปหมด ไม่ได้ดั่งใจเสียเลย

วันต่อมาเฉินเสียนพาซูเซี่ยนไปกล่าวลาจักรพรรดิเป่ยเซี่ย จักรพรรดิเป่ยเซี่ยไม่เต็มใจเลยแม้แต่น้อย เพิ่งจะมาได้แค่วันเดียว เหตุได้จึงต้องรีบกลับทันทีในวันรุ่งขึ้น นอกจากนี้พระองค์ยังไม่มีเวลาและไม่มีโอกาสได้ใกล้ชิดกับหลานชายของพระองค์เลย

ครั้นแล้วจักรพรรดิเป่ยเซี่ยจึงหลอกล่อซูเซี่ยนว่า “เหตุใดจึงรีบกลับขนาดนี้ หรือว่าที่เมืองชิงไห่ไม่อะไรสนุกๆ เจ้าอยากไปเที่ยวเล่นที่ทุ่งหญ้าบนเนินเขาที่อยู่หลังเมืองชิงไห่หรือไม่ ทุ่งหญ้าที่นั่นทอดยาวเป็นพันลี้ มองไปได้ไกลสุดลูกหูลูกตา ไม่เหมือนที่ต้าฉู่แน่นอน”

ซูเซี่ยนตอบว่า “ข้าอยากไปดูเหมือนกันพ่ะย่ะค่ะ แต่เสด็จแม่ต้องไปแล้ว ข้าไม่มีทางเลือก”

จักรพรรดิเป่ยเซี่ยมองเฉินเสียนด้วยแววพระเนตรที่อึมครึม พระองค์ทรงไตร่ตรองอยู่ครู่หนึ่งอย่างไม่เต็มใจนัก ทว่าก็ยังส่งเสียงเหนี่ยวรั้งว่า “จักรพรรดิแห่งต้าฉู่ ท่านอยู่ต่ออีกสักหน่อยเถิด”

เฉินเสียนเลิกคิ้วและเอ่ยว่า “ได้ยินจักรพรรดิเป่ยเซี่ยชวนให้ข้าอยู่ต่อด้วยพระองค์เองแบบนี้ สงสัยฟ้าคงจะถล่มเป็นแน่ อย่างพระองค์น่าจะปรารถนาให้ข้าไม่กลับมายังเป่ยเซี่ยอีกตลอดไปมากกว่า” เธอหลุบตามองซูเซี่ยนและบอกว่า “ทูลลาจักรพรรดิเป่ยเซี่ยเสียสิ”

ซูเซี่ยนประสานมือคารวะอย่างเคร่งขรึม “ทูลลาฝ่าบาท”

จักรพรรดิเป่ยเซี่ยจ้องมองสองแม่ลูกที่จูงมือหันหลังเดินจากไป ขณะที่กำลังจะเดินออกไปจากประตูท้องพระโรง จักรพรรดิเป่ยเซี่ยก็ทนไม่ไหวและตรัสว่า “เฉินเสียน ข้ายอมถอยให้ท่านครั้งแล้วครั้งเล่า ท่านจะเอาอะไรอีก! ท่านจะไปก็ได้ แต่ต้องทิ้งหลานชายของข้าไว้ที่นี่!”

เฉินเสียนหยุดฝีเท้า เธอหันกลับไปมองจักรพรรดิเป่ยเซี่ยและฉีกยิ้มเล็กน้อย ทันใดนั้นความเย็นเยียบประหนึ่งความรกร้างแห่งเหมันตฤดูก็ปรากฏขึ้นในแววตาของเธอ

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ข้าคือหงส์พันปี