นางกำนัลหัวเราะและกล่าวว่า "ช่วงนี้ฝ่าบาทประชวรจริง ๆ เพคะ ฝ่าบาทไม่สามารถเสวยของเย็นได้ เมื่อบ่ายได้เชิญหมอหลวงเข้าไปดูพระอาการและให้เสวยยาด้วยเพคะ"
หลังจากนั้นไม่นาน นางกำนัลจากจักรพรรดิเป่ยเซี่ยก็เดินเข้ามาในเรือน และยังมีคนจากห้องเครื่องมาส่งสำรับอาหารด้วยตัวเอง ทุกครั้งที่มีการยกกระยาหารขึ้นมา ก็จะรายงานชื่อของกระยาหารนั้น และกระยาหารทุกจานก็เป็นกระยาหารที่ปรุงขึ้นเป็นพิเศษที่ราชนิเวศน์ เพื่อเตรียมไว้ให้กับจักรพรรดิแห่งต้าฉู่
ในความทรงจำของเฉินเสียน นี่เป็นครั้งแรกที่จักรพรรดิเป่ยเซี่ยปฏิบัติต่อเธอในลักษณะนี้
เฉินเสียนกล่าว "ข้ารู้สึกปลาบปลื้มใจกับความกรุณาของจักรพรรดิเป่ยเซี่ยจริง ๆ"
ในท้ายที่สุดนางกำนัลกล่าวว่า "ฝ่าบาทมีคำสั่งให้ท่านอ๋องรุ่ยร่วมเสวยพระกระยาหารกับจักรพรรดิแห่งต้าฉู่เพคะ"
ตอนเที่ยงที่ซูเจ๋อมารับประทานอาหารกลางวันกับเฉินเสียน เขาไม่ได้กล่าวประโคมว่าเป็นคำสั่งของจักรพรรดิเป่ยเซี่่ย เฉินเสียนกระตุกปากของเธอและกล่าวว่า "เขากำลังคิดแผนการอะไรอยู่?"
หรือเขาคิดจะนำลูกชายของตัวเองมาแลกกับลูกชายของเธอ? เฉินเสียนรู้สึกนั่งไม่ติดที่โต๊ะอาหาร มองดูซูเจ๋อและคิดกับตัวเธอเองว่า เขาคงไม่ปล่อยลูกของเขาหรอก และแน่นอนลูกชายของจักรพรรดิเป่ยเซี่ยช่างมีเสน่ห์ดึงดูดเสียเหลือเกิน...
ในขณะที่เหม่อลอย ซูเจ๋อกล่าวว่า "หากท่านไม่สบายใจ หลังจากรับประทานอาหารค่ำเสร็จ ข้าจะพาท่านไปนำลูกกลับมา"
ใจของเฉินเสียนสั่นไหวและกล่าวว่า "ลูกชายของข้า"
"ก็เป็นของข้าเหมือนกัน"
เฉินเสียนผ่านวันนี้ไปด้วยความงุนงง แม้ว่าเธอจะไม่ได้ทำอะไรเลย แต่เธอก็รู้สึกสงบสุขมากกว่าที่เคย
ส่วนคำพูดที่ซูเจ๋อบอกว่าจะพาเฉินเสียนไปที่จักรพรรดิเป่ยเซี่ยเพื่อรับอาเซี่ยนกลับมานั้น เฉินเสียนยังไม่คิดจะไปที่นั่นเพื่อเจอจักรพรรดิเป่ยเซี่ย และกล่าวว่า "ท่านไปรับคนเดียวเถอะ ข้าไม่อยากไป"
ซูเจ๋อไม่ได้ฝืนเธอ และกล่าวว่า "งั้นข้าไปรับ"
หลังจากเสวยพระกระยาหารเสร็จเรียบร้อย ซูเจ๋อออกมาจากเรือนในตอนค่ำ เฉินเสียนยืนอยู่ที่ใต้ชายคามองไปยังแผ่นหลังของเขา แต่เมื่อเขาเดินไปใต้ต้นไม้ เขาก็หยุดชะงักชั่วคราว และหันกลับมามองเธอ พอดีกับที่สายตาของเธอก็จ้องมองไปที่เขา
เฉินเสียนพยายามปกปิด เขาเห็นเธอและยิ้มออกมา เขากล่าวว่า "ข้ารอท่านได้ และท่านก็รอข้าหน่อย"
เฉินเสียนผงะ ไม่รู้ความหมายของคำพูดของเขา แต่ดูเหมือนเธอจะรู้เล็กน้อย เมื่อเธอยังอยู่ในความงุนงง ซูเจ๋อก็หันหลังกลับและเดินออกจากลานในเรือนออกไป
เธอรอให้เขารับอาเซี่ยนกลับมา และเธอก็รู้ว่าอารมณ์การรอคอยนั้นไม่ใช่แค่สำหรับซูเซี่ยน แต่สำหรับเขาด้วย
ที่จริงแล้วมันเป็นความสงบและเติมเต็ม
ในเวลานั้น จักรพรรดิเป่ยเซี่ยและซูเซี่ยนกำลังนั่งอยู่บนเก้าอี้ตัวยาวในห้องนอนของจักรพรรดิเป่ยเซี่ย โดยมีกระดานหมากรุกอยู่ข้างหน้าพวกเขา
เมื่อซูเจ๋อมาถึง ปู่และหลานชายทั้งสองคนกำลังเล่นหมากรุกกันอยู่
จักรพรรดิเป่ยเซี่ยแสร้งทำเป็นประชวรในตอนเช้า แต่ในตอนบ่าย มีอาการประชวรไม่สบายเกี่ยวกับทางเดินอาหารจริง ๆ ในขณะนี้ มีอาการดีขึ้นเล็กน้อย
เขาอดไม่ได้ที่จะแปลกใจเมื่อได้เห็นวิธีการเล่นหมากรุกของซูเซี่ยนที่ชัดเจนและเป็นระบบ เป็นเรื่องพิเศษมากที่จะสามารถไปถึงระดับนี้ได้ตั้งแต่อายุยังน้อย
จักรพรรดิเป่ยเซี่ยตรัสถาม "ใครเป็นคนสอนเจ้าเล่นหมากรุกหรือ?"
ซูเซี่ยนกินหมากรุกของจักรพรรดิเป่ยเซี่ยไปสองอันด้วยสีหน้าสงบและกล่าวว่า "ท่านแม่ของกระหม่อมสอนกระหม่อม"
"เขาสอนวิธีการจัดเกมกลางเมื่อเจ้าเล่นหมากรุก?"
"กระดานหมากรุกนี้เปรียบเสมือนสนามรบ ท่านแม่ไม่ได้สอนด้วยวิธีการเล่นหมากรุก แต่สอนด้วยศิลปะแห่งการทำศึกสงคราม"
จักรพรรดิเป่ยเซี่ยเงียบขรึม และเห็นว่าหมากรุกของเขาถูกซูเซี่ยนกินถึงสองครั้ง
เด็กคนนี้สืบทอดนิสัยและสติปัญญาของพ่อ มีความสามารถสูงมาก และมีท่านแม่อย่างเฉินเสียนคอยสอนสั่ง สถานการณ์จะเป็นอย่างไรในอนาคตยังไม่อาจรู้ได้
หลานของเขาหลายคนในเป่ยเซี่ย ที่อยู่ในวัยเดียวกับซูเซี่ยน พวกเขาเพิ่งเข้าโรงเรียนเร็ว ๆ นี้ พ่อแม่ของพวกเขาจะสอนพวกเขาพูดจาเพื่อเอาใจจักรพรรดิเป่ยเซี่ย ไม่มีใครเหมือนซูเซี่ยน เขาเชี่ยวชาญในสิ่งที่เขาเรียนรู้และใช้
เมื่อหลานชายกลายเป็นองค์รัชทายาทในอาณาจักรต้าฉู่ พระองค์ไม่รู้ว่ามันจะเป็นพรหรือคำสาปสำหรับอนาคตของอาณาจักรเป่ยเซี่ยกันแน่
แต่ไม่ว่าซูเซี่ยนจะอยู่ที่อาณาจักรต้าฉู่หรือเป่ยเซี่ย เขาก็เป็นหลานชายของพระองค์ จักรพรรดิเป่ยเซี่ยมักมีวิธีคิดของพระองค์ดี
เมื่อจักรพรรดิเป่ยเซี่ยเห็นว่าพระองค์พบกับคู่ต่อสู้ของพระองค์ พระองค์ก็ไม่แสดงความเมตตาอีกต่อไปและปฏิบัติต่อคู่ต่อสู้รุ่นเยาว์อย่างซูเซี่ยนอย่างจริงจัง
ในระหว่างนั้นพระองค์ตรัสถามอีกครั้งว่า "ท่านแม่ของเจ้ายังสอนอะไรกับเจ้าอีกบ้าง?"
"ต่อสู้" ซูเซี่ยนกล่าว "ก่อนหน้านี้เจ็บป่วยร่างกายไม่แข็งแรงเท่าไรนัก ท่านแม่พากระหม่อมไปซ้อมต่อสู้กับต้นไม้ ฝึกฝนการเตะต่อย และออกกำลังกาย และท่านลุงฉินสอนกระหม่อมขี่ม้ายิงธนูและฟันดาบพ่ะย่ะค่ะ"
"ลุงฉินคือใครกันหรือ?"
"เขาเป็นแม่ทัพใหญ่แห่งต้าฉู่พ่ะย่ะค่ะ"
จักรพรรดิเป่ยเซี่ยรู้แจ้งแจ่มชัดทันที "ศิลปะการต่อสู้ของเขาดีมาก"
ซูเซี่ยนคิดว่า "ใช่พ่ะย่ะค่ะ แต่ยังเทียบท่านพ่อของข้าไม่ได้พ่ะย่ะค่ะ"
จักรพรรดิเป่ยเซี่ยหัวเราะชอบใจและกล่าวว่า "ก็ถูกของเจ้า ลูกหลานในตระกูลซูของข้าไม่เคยเป็นรองใคร แล้วยังเรียนอะไรอีกบ้างล่ะ?"
"ระหว่างการไถในฤดูใบไม้ผลิและการเก็บเกี่ยวในฤดูใบไม้ร่วง ท่านแม่พากระหม่อมออกจากวังหลวงเพื่อไปดูประชาชนทำงานเกษตรกรรม และกระหม่อมก็ได้ปลูกต้นกล้าข้าวในทุ่งนาพ่ะย่ะค่ะ" ซูเซี่ยนกล่าว "ท่านแม่พากระหม่อมไปที่ทะเลตะวันออกเพื่อดูการต่อเรือ กระหม่อมสามารถว่ายน้ำได้ ท่านแม่สอนกระหม่อมอ่านข้อราชการด้วย และกระหม่อมก็จำลายมือของขุนนางหลายร้อยคนและรู้อุปนิสัยของพวกเขา..."
จักรพรรดิเป่ยเซี่ยขมวดคิ้วขณะฟัง และตรัสว่า "ท่านแม่ของเจ้าสอนเจ้าเรื่องพวกนี้ด้วยหรือ แล้วเรื่องวัฒนธรรมล่ะ ได้สอนเจ้าบ้างไหม?"
ซูเจ๋อกล่าวว่า "แพ้ชนะได้ถูกตัดสินแล้ว"
หมากรุกของซูเซี่ยนได้รับการสอนโดยท่านแม่ของเขา โดยใช้ศิลปะแห่งการศึกสงคราม แต่ท่านแม่ของเธอก็ถูกสอนโดยซูเจ๋อ จึงเป็นเรื่องที่เข้าใจได้ไม่ยาก
ซูเจ๋อเหลือบมองเขา จากนั้นวางตัวหมากรุกไว้ที่ปลายนิ้วของเขากลับเข้าไปในกล่องหมากรุกแล้วกล่าวว่า "ไปกันเถอะ กลับกันเถอะ"
จักรพรรดิเป่ยเซี่ยจะยอมให้หลานชายของพระองค์กลับไปอย่างง่ายดายได้อย่างไร พระองค์จึงรีบตรัสว่า "เพิ่งจะมาก็จะกลับไปแล้วหรือ ไม่ได้ ไม่ได้ มาเล่นกันอีกกระดานสิ"
ซูเซี่ยนไม่ได้รีบร้อนอะไร และนำชิ้นหมากรุกสีดำและสีขาวแยกกันลงในกล่องหมากรุก
จักรพรรดิเป่ยเซี่ยวางถ้วยโอสถลง และกระตือรือร้นที่จะมาเล่นหมากรุกกับเขา ขณะที่ตรัสเกลี้ยกล่อมเขา "อาเซี่ยน คืนนี้เจ้าไม่ต้องกลับไปหรอก อยู่ที่นี่กับข้านะ คืนนี้ข้ายังมีเรื่องเยอะแยะมากมายจะเล่าให้เจ้าฟัง"
ซูเซี่่ยนคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วกล่าวว่า "พ่ะย่ะค่ะ"
จักรพรรดิเป่ยเซี่ยไม่คาดคิดว่าซูเซี่ยนจะตอบรับง่ายดายเช่นนนี้ จึงทำให้พระองค์ตกตะลึงเล็กน้อย
ซูเจ๋อกล่าว "ถ้าไม่กลับไปท่านแม่จะเป็นห่วงเจ้านะ"
ซูเซี่ยนเงยหน้าขึ้นมองเขา และกล่าวว่า "งั้นท่านแม่ของข้า คืนนี้ก็ปล่อยเป็นหน้าที่ของท่านพ่อดูแล"
ซูเจ๋อเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อยและพยักหน้า "ถ้าเป็นเช่นนี้ก็ดีเหมือนกัน"
จักรพรรดิเป่ยเซี่ยดูไม่ค่อยจะพอพระทัยนัก และตรัสว่า "จักรพรรดินีเป็นผู้ใหญ่แล้ว ยังต้องการมีคนดูแลอีกหรือ? ไม่เป็นการดีกระมัง"
ให้ซูเจ๋อไปร่วมเสวยกระยาหารกับเฉินเสียนถึงสองมื้อก็แล้ว นี่ยังจะต้องให้ซูเจ๋อไปเฝ้าเฉินเสียนทั้งคืนอีกหรือ ผู้หญิงกับผู้ชายอยู่ด้วยกันสองต่อสอง จักรพรรดิเป่ยเซี่ยรู้สึกไม่ค่อยวางพระทัยได้เลย
ซูเซี่ยนกล่าว "ฝ่าบาทก็อายุเยอะเช่นนี้แล้ว ก็ยังต้องการคนดูแลไม่ใช่หรือพ่ะย่ะค่ะ ท่านแม่ของกระหม่อมเป็นผู้หญิง ก็ต้องการคนดูแลเช่นกัน เพราะกระหม่อมต้องอยู่กับฝ่าบาทที่นี่ เลยทำให้ไม่ได้อยู่เคียงข้างกายท่านแม่ ฝ่าบาทไม่คิดจะผ่อนผันให้มีคนไปอยู่ดูแลท่านแม่ของกระหม่อมบ้างหรือพ่ะย่ะค่ะ?"
จักรพรรดิเป่ยเซี่ยสำลัก
ซูเซี่ยนปัดเสื้อผ้าของเขาอย่างเคร่งขรึม ลุกขึ้นยืนและกล่าวว่า "ฝ่าบาทไม่ตอบตกลงก็ไม่เป็นไร กระหม่อมกราบทูลลาพ่ะย่ะค่ะ"
เมื่อจักรพรรดิเป่ยเซี่ยเห็นเป็นเช่นนี้ พระองค์ก็รีบคว้าตัวเขาแล้วตรัสว่า "หยุดก่อน หยุดก่อน เมื่อกี้เจ้าบอกว่าคืนนี้จะอยู่กับข้า ทำไมอยู่ ๆ ถึงจะกลับไปล่ะ?" พระองค์เหลือบมองดูซูเจ๋อแล้วตรัสว่า "เจ้าไปเถอะ ไปพูดคุยกับเขา แต่เจ้าห้ามค้างคืนกับเขาที่นั่น!"
ซูเซี่ยนสบสายตากับท่านพ่อของเขา และค่อย ๆ นั่งกลับลงที่เดิม และกล่าวว่า "พรุ่งนี้ไม่ต้องรีบมารับข้า ตอนเที่ยงข้าจะกลับไปทานอาหารเที่ยงกับท่านแม่ด้วยตัวเอง"
ความหมายในคำพูดนั้นยังไม่ชัดเจนอีกหรือ ความหมายคือต้องการบอกกับท่านพ่อของเขาว่าไม่ต้องรีบร้อน และพรุ่งนี้เช้าก็ยิ่งไม่ต้องรีบตื่น ถึงอย่างไรเขาก็ไม่กลับไปรบกวนเวลานั้นหรอก
ซูเจ๋อกระตุกมุมปากของเขาและยิ้มออกมา จากนั้นเขาก็เดินออกจากห้องบรรทมของจักรพรรดิเป่ยเซี่ย
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ข้าคือหงส์พันปี
ชอบมากเรื่องนี้...