เฉินเสียนน้ำตาคลอ จิตใจเต็มไปด้วยความเศร้าโศกเสียใจ ได้ยินซูเจ๋อพูดขึ้นอย่างเสียงแหบอีกว่า“ท่านคิดว่าข้าไม่สนใจเรื่องผู้ชายวังหลังของท่านหรือ?ท่านไม่รู้หรือว่าข้าต้องการท่านและอยากจะครอบครองท่านไว้เพียงผู้เดียว”
“อยากที่จะครอบครองท่านมากเสียจนในตอนแรกข้านั้นคิดวางแผนว่าจะจัดการกับพวกเขาอย่างไรอยู่ตลอดเวลา”
เฉินเสียนยิ้มหัวเราะออกมาอย่างไม่มีเสียง น้ำตาก็ไหลพรั่งพรูออกมาไม่หยุด
ซูเจ๋อเลียที่ริมฝีปากของเธอ นัยน์ตาที่ดำมืดสนิท แสดงถึงความรักที่ต้องเก็บซ่อนเอาไว้สำหรับเธอ เขาเอ่ยว่า“ทำไมท่านถึงได้จูบหอมหวานเช่นนี้ ข้าจูบอย่างไรก็ไม่เคยพอ”
เฉินเสียนซุกอยู่ในอ้อมกอดของเขา หยิบเสื้อของเขามาเช็ดน้ำตาตัวเองให้แห้ง แล้วหัวเราะเยาะออกมา
วิธีที่จะระบายอารมณ์ความรู้สึกที่อัดแน่นอยู่ภายในใจนั้นต้องทำเช่นไรหรือ?เธอเองก็ไม่รู้
วินาทีนั้นเธอเพียงต้องการที่จะตอบสนองด้วยสัญชาตญาณของร่างกาย ไม่อยากจะเก็บซ่อนเอาไว้อีกต่อไปแล้ว
เฉินเสียนจึงเงยหน้าแล้วเขย่งเท้าขึ้น มือทั้งสองข้างเกี่ยวไว้กับลำคอของเขา แล้วจูบตอบกลับเข้าไปที่ริมฝีปากของเขา เธอกระซิบว่า“ถ้ามันเป็นจูบหอมหวาน แล้วท่านอยากจูบข้าก็จะให้ท่านจูบให้พอ”
เมื่อสิ้นเสียงนั้น เธอก็เริ่มเคลื่อนไหวไปตามโครงร่างริมฝีปากของเขา ยอมรับว่ามันผ่านมาหลายปีแล้วที่ไม่ได้ใกล้ชิดสนิทสนมกันแบบนี้ เธอเองก็รู้สึกไม่คุ้นชินและรู้สึกอย่างเก้งก้าง
แต่เมื่อเธอเข้าจู่โจมก็ทำให้เขารู้สึกสั่นสะเทือน ทันใดนั้นเขาก็โผเข้าไปกดเธอให้แนบชิดไปกับกำแพง แล้วก็พัวพันจูบกับเธออย่างดุเดือดเฉกเช่นหมาป่าผู้หิวโหย
เฉินเสียนสัมผัสเข้ากับลิ้นของเขาอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ร่างกายของเธอแน่นิ่งอยู่ในอ้อมกอดของเขา มันถูกกระตุ้นทำให้ไม่สามารถควบคุมอารมณ์ของตัวเองไว้ได้
เธอครางออกมาเสียงต่ำว่า “ข้าไม่มีสนมชาย คนเหล่านั้นไม่ใช่คนวังหลังของข้า……ข้าไม่รู้จักพวกเขา……”
ซูเจ๋อตอบเธอว่า “ข้ารู้”
เธอก็ยังพูดตอบกลับเขาเบาๆอีกว่า“ในคืนวันนั้นก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้น……”
“ข้าก็รู้”
ซูเจ๋อเข้าใจทุกอย่างอย่างแจ่มแจ้ง เฉินเสียนเองนั้นรู้อยู่แก่ใจว่าเขาออกไปรับซูเซี่ยน แล้วยังจะนัดพบกับคนอื่นในห้องอย่างลับๆได้อย่างไรกัน และเย่ซวิ่นก็รู้ว่าตัวเองนั้นถูกเขาเฝ้าจับจ้องมองอยู่ตลอดเวลา แล้วยังจะวิ่งไปหาเฉินเสียนที่เรือนนั้นอีก นั่นก็แสดงว่าเย่ซวิ่นจงใจที่จะทำให้เขาเห็นทุกอย่างที่เขาทำ
น้ำตาของเฉินเสียนหลั่งไหลออกมาอย่างไม่หยุด ช่างเถิด เธอเองก็ไม่ได้อยากจะควบคุมตัวเองเอาไว้แล้ว เธอพูดอย่างน้อยใจว่า “แล้วทำไมคืนนั้นท่านถึงได้หันหลังเดินกลับไป ทำไมถึงไม่หันกลับมากอดข้า……ข้าคิดว่าท่านคงตัดสินว่าข้าเป็นคนใจง่ายไปแล้ว เพราะแม้แต่คำอธิบายท่านก็ไม่อยากที่จะฟังข้าอธิบายเลยด้วยซ้ำ……”
“ข้าอยากจะรอจัดการเรื่องของข้าให้เสร็จเรียบร้อยก่อนแล้วค่อยกลับมากอดท่านอย่างสุขใจ คำพูดของท่านทุกคำพูดข้าตั้งใจที่จะฟังอยู่แล้ว ถ้าเกิดว่าไม่ได้มีเรื่องอะไรเกิดขึ้น ท่านคิดว่าข้าจะจากไปหรือ ข้ามีความปรารถนาอย่างแรงกล้าที่พัวพันอยู่กับท่านทั้งคืนด้วยซ้ำไป”
เฉินเสียนพูดด้วยน้ำเสียงที่อู้อี้อยู่ในจมูก พึมพำถามเขาอยู่ในลำคอว่า“แล้วเหยื่อที่ท่านล่ามาได้มันคุ้มค่าหรือไม่?มันเพียงพอที่จะทำให้ท่านกลับมาอยู่ข้างกายข้าได้หรือยัง?”
ซูเจ๋อยิ้มออกมาอย่างไม่สบายใจ เสียงนั่นราวกับเหมือนเป็นคลื่นเล็กๆที่ไปทุบตีหัวใจอยู่เป็นระลอก เขาพูดขึ้นว่า“ถ้าเกิดว่าท่านยินยอมร่วมมือกับข้า บางทีมันก็อาจจะคุ้มค่าก็ได้”
เฉินเสียนกล่าว“ข้าเข้าใจแล้ว”
เธอพบว่าซูเจ๋อนั้นก็มีจูบที่หอมหวาน เธอจูบเท่าไรก็ไม่เคยเพียงพอ
ร่างกายของเธอถูกซูเจ๋อกอดเอาไว้ในอ้อมแขน ทำให้ร่างกายของทั้งคู่ประกบแนบชิดกันอยู่ภายใต้แสงจันทร์ ไม่รู้ว่าจูบนั้นยาวนานแค่ไหนแล้ว จึงทำให้การจูบที่ไม่คุ้นเคยของเธอค่อยๆกลายเป็นการจูบเขาอย่างเชี่ยวชาญ
เฉินเสียนพยายามหลีกเลี่ยงที่จะไม่สัมผัสโดนลิ้นของซูเจ๋อ เธอพยายามข่มตัวเองไม่ให้ร้องครางออกมาอย่างน่าอาย แต่เมื่อซูเจ๋อเปลี่ยนจากการรับเป็นการโจมตี ไม่ว่าจะกี่ครั้ง เธอก็ยังพ่ายแพ้ต่อเขาเหมือนอย่างเคย
หลังจากนั้นทางด้านข้างของพื้นที่ป่า ก็มีแสงสว่างสลัวๆผ่านไปอย่างรวดเร็ว ดูเหมือนน่าจะเป็นกองทหารลาดตะเวนในช่วงเวลากลางคืน
เฉินเสียนกลัวที่จะถูกจับได้ จึงผลักซูเจ๋อออกอย่างเบาๆ แต่ซูเจ๋อนั้นก็ไม่ได้สนใจอะไร
เธอพึมพำออกมาว่า“มีคนมาแล้ว”
“กลัวถูกจับได้หรือ?”
“อือ……”
“เช่นนั้นเราก็เปลี่ยนสถานที่กัน”
เฉินเสียนกล่าว“ข้าถือได้ว่าเป็นผู้หญิงที่แข็งแกร่งมาก ก็ต้องมีรูปร่างที่เพียวพริ้วไหวเป็นเรื่องธรรมดา”
“ท่านน่าจะผอมเกินไปแล้ว”
เฉินเสียนโอบกอดไปที่เอวของซูเจ๋ออย่างใจลอย แล้วกล่าวว่า“ซูเจ๋อ ข้ากำลังฝันไปหรือเปล่า?”
“รอให้พระอาทิตย์ขึ้นในวันพรุ่งนี้ ท่านก็จะรู้เองว่าใช่ฝันไปหรือไม่”
เมื่อตอนที่เดินไปถึงทางแยก ซูเจ๋อก็อุ้มเฉินเสียนไปทางด้านซ้าย เฉินเสียนหันไปมองทางด้านขวาที่ตัวเองคุ้นเคย แล้วเอ่ยปากพูดขึ้นว่า“ท่านเดินมาผิดทางแล้วหรือเปล่า เรือนของข้าอยู่อีกทางหนึ่ง”
ซูเจ๋อ“ข้าไม่ได้เดินผิดทาง เรือนของข้าอยู่ทางนี้”
เฉินเสียนก็ได้เริ่มมีปากเสียง ขณะที่ซูเจ๋อรับฟังคำพูดของเธอแล้วก็พูดกล่อมเธอว่า“ท่านกับข้ามีเรื่องที่จะต้องพูดคุยกันให้รู้เรื่อง คืนนี้พอมีเวลาที่พวกเราจะได้ค่อยๆคุยกัน เรื่องต่างๆมากมายที่เกิดขึ้นในอดีต ถึงแม้ว่าข้าจะจำไม่ได้แล้วแต่ยังมีท่านที่จะสามารถช่วยรำลึกความทรงจำของข้าได้”
“ให้มันน้อยๆหน่อย!”ใบหน้าและหูของเฉินเสียนนั้นแดงก่ำ“ถ้าพูดคุยกันไม่เข้าใจพรุ่งนี้ก็ค่อยคุยกันก็ได้ ข้าไม่ไปเรือนของท่าน คำพูดพวกนี้ท่านไปเรียนรู้มาตั้งแต่เมื่อใดกัน?”
ซูเจ๋อหยุดยืนอยู่บนถนน ภายใต้แสงดาวที่ส่องประกายอยู่บนท้องฟ้า เขาหันไปยิ้มให้กับเธอแล้วเอ่ยว่า“ก็แค่ไปพูดคุยกันก็เท่านั้นเอง ไม่ได้มีอะไรเลย”
แต่เฉินเสียนกลับคิดว่ารอยยิ้มที่ดูบริสุทธิ์ไร้เดียงสาเช่นนั้นเปรียบเสมือนดั่งกับสัตว์ป่าที่ดุร้ายไม่ปาน
เฉินเสียนพูดอย่างแข็งทื่อว่า“แค่พูดคุยกันพรุ่งนี้ก็ค่อยคุยก็ได้นี่”
“ถ้าคืนนี้ไม่ได้คุยกันข้าคงนอนไม่หลับ”ซูเจ๋อหรี่ตาแล้วเอ่ยว่า “คุยอะไรกันดี คุยเรื่ององค์ชายหกของเย่เหลียงเป็นอย่างไร?”
เธอกลับยิ่งรู้สึกว่าอันตรายยิ่งนัก“ไม่เป็นอย่างไร……”
PS:ถือได้ว่าเป็นการชดเชยอุปสรรคและความทุกข์ระทมในความรักที่พวกเขาไม่เคยมีประสบการณ์มาก่อนก็แล้วกัน จากคนที่รู้จักและเข้าใจกันก่อตัวกลายเป็นความรัก ก็เรียกว่าได้สมบูรณ์แบบแล้ว นึกถึงความหลังของพวกเขาที่แทบจะไม่มีการเข้าใจผิดกันเลย แต่เป็นในรูปแบบของความรักความผูกพันธ์ที่อยู่ในภาวะคลุมเคลือก่อนแล้วค่อยเข้าใจกัน อย่างเช่นเขารักฉันไหม?หรือเขาไม่รักฉันหรอ?แบบนี้ ฮ่าฮ่าฮ่า แต่จะว่าไปแล้วฉันคิดว่าซูเจ๋อหลังจากความจำเสื่อมนั้นเป็นคนที่จริงใจมากยิ่งขึ้น
อีกอย่าง นี่ไม่ใช่เรือที่ขับไปโรงเรียนอนุบาลนะ อย่าลงเรือผิดลำกันนะทุกคน!
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ข้าคือหงส์พันปี
ชอบมากเรื่องนี้...