นิ้วมืออันอบอุ่นสัมผัสลงมาบนลำคอของเธออย่างแผ่วเบา ลูบไล้อยู่ตรงนั้นอย่างอ่อนโยน ซูเจ๋อยิ้มอย่างไร้พิษภัยและกล่าวว่า “เมื่อคืนห้ามใจไว้ไม่ไหวจึงควบคุมตัวเองไม่อยู่ ท่านโปรดอดทนหน่อยนะ”
นัยน์ตาของเฉินเสียนวาววับ เธอเม้มปากและกล่าวว่า “ท่านยังจะพูดอีก”
หลังจากนั้นเฉินเสียนจึงปล่อยผมลงมาบังลำคอไว้ตลอดทั้งวัน ตราบใดที่ไม่เคลื่อนไหวมากเกินไปก็จะไม่มีใครเห็นง่ายๆ
เมื่อถึงเวลารับประทานอาหารเช้า เฉินเสียนก็นึกขึ้นได้และถามซูเซี่ยนว่า “เฮ่อโยวกับเหลียนชิงโจวมาหรือยังลูก ได้บอกหรือเปล่าว่าวันนี้จะออกเดินทางตอนไหน”
ซูเซี่ยนกินโจ๊กหนึ่งคำแล้วเงยหน้าเล็กๆ ขึ้นมอง จากนั้นจึงตอบว่า “เมื่อคืนพวกเขาเมาหัวราน้ำ ตอนนี้น่าจะยังไม่ตื่น”
เฉินเสียน “...” เฮ่อโยวน่ะไม่แปลกอะไร แต่นึกไม่ถึงว่าจะมีคนทำให้เหลียนชิงโจวเมาได้ด้วย
แต่ถึงจะไม่ถูกมอมจนเมา ทั้งสองคนก็ต้องแสร้งทำเป็นเมาอยู่ดี ไม่อย่างนั้นต่อให้พวกเขาบอกหรือไม่บอกให้เฉินเสียนกับซูเซี่ยนออกเดินทาง พวกเขาก็ลำบากทั้งขึ้นทั้งล่อง
ถ้าบอกให้ออกเดินทางก็จะไม่ดีสำหรับซูเจ๋อ แต่ถ้าไม่บอกก็จะขัดต่อคุณธรรมอันดีของขุนนาง
ดังนั้นทางออกที่ดีที่สุดก็คือการแกล้งทำเป็นเมาและไม่รับรู้อะไรเลย
ซูเซี่ยนกล่าวว่า “ที่ลุงเฮ่อกับลุงเหลียนทำก็เพื่องานราชการ ถ้ายังไม่สร่างเมาแล้วขึ้นเรือจะเมาเรือได้ง่ายๆ ปล่อยให้พวกเขาพักผ่อนก่อนเถอะพ่ะย่ะค่ะ รอจนพลบค่ำแล้วเราค่อยออกเดินทาง”
ถึงแม้จะเป็นการออกเรือในทะเล แต่ถ้าท้องฟ้ายามค่ำคืนปลอดโปร่งการออกเรือก็ย่อมทำได้
เฉินเสียนพยักหน้าและบอกว่า “กลับไปแล้วต้องส่งซุปแก้เมาค้างไปให้เสียหน่อย”
ซูเจ๋อถามอย่างไตร่ตรองว่า “วันนี้ท่านวางแผนจะทำอะไรหรือเปล่า”
เฉินเสียนคิดอยู่ครู่หนึ่งและตอบว่า “ยังไม่มีนะ”
“ร่างกายยังไหวใช่หรือไม่ ข้าจะพาท่านไปเดินเล่น”
เฉินเสียนแทบจะกัดฟันตอบ “แน่ละสิ ข้าไม่มีทางแข็งแรงไปมากกว่านี้อีกแล้ว!”
หลังจากนั้นนางกำนัลก็เข้ามาในเรือนและบอกว่าหมอผีกำลังรอให้ซูเจ๋อกลับไปตรวจร่างกาย ซูเจ๋อจึงกลับไปก่อนและจะกลับมาอีกครั้งเพื่อมารับเฉินเสียนออกไปจากราชนิเวศน์
ซูเจ๋อยังจำเป็นต้องกินยาหม้อที่เขาควรจะกิน เขาหยิบถ้วยยาขึ้นมาดื่มจนหมดภายในรวดเดียวราวกับดื่มน้ำเปล่า จากนั้นจึงวางถ้วยลงในถาดและบอกกับหมอหลวงว่า “เร็วนิดหนึ่งได้ไหม ข้ารีบ”
หมอผีเอ่ยว่า “ท่านอ๋องรีบเพราะมีนัดกับจักรพรรดิต้าฉู่หรือพ่ะย่ะค่ะ”
ซูเจ๋อเอนหลังพิงพนักเก้าอี้อย่างสบายอารมณ์ เขาเหลือบมองหมอผีนิดหนึ่ง แต่ไม่ตอบว่าใช่หรือไม่ใช่
ปกติหมอผีมีหน้าที่คอยดูแลสุขภาพร่างกายของซูเจ๋อ ดังนั้นทั้งสองคนจึงค่อนข้างสนิทสนมกัน
หมอผียิ้มและกล่าวว่า “ท่านอ๋องอย่าหาว่ากระหม่อมพูดมากเลยนะพ่ะย่ะค่ะ เรื่องของพวกท่านสองคน ตอนนี้เป็นที่รับรู้กันทั่วทั้งพระราชนิเวศน์แล้ว เกรงว่าแค่วันสองวันข่าวก็คงจะแพร่ไปถึงในเมืองชิงไห่”
ถึงอย่างไรก็ยากที่จะห้ามลมปากคน โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อผู้คนใช้ชีวิตอย่างอยู่เย็นเป็นสุขจนแทบจะไม่มีเรื่องซุบซิบมาหล่อเลี้ยงชีวิต การแลกเปลี่ยนเรื่องซุบซิบนินทาเป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้สำหรับให้ความบันเทิงแก่คนในโรงน้ำชาและโรงสุราหลังจากได้กินดื่มอย่างอิ่มหมีพีมัน
หมอผีวางมือหลังจากตรวจร่างกายให้ซูเจ๋อเสร็จแล้ว
ซูเจ๋อดึงชายเสื้อลงอย่างไม่ใส่ใจพลางฟังหมอผีเอ่ยอย่างมีนัยแฝงว่า “คอยดูแลสุขภาพร่างกายของท่านมาหนึ่งปี อาการคงที่ไม่ดีไม่ร้าย หลังจากผ่านไปหนึ่งคืนตอนนี้ดีขึ้นแล้ว ดูเหมือนการออกแรงอย่างพอเหมาะจะทำให้เลือดลมของท่านไหลเวียนดีขึ้น สัญชาตญาณของร่างกายถูกปลุกให้เริ่มฟื้นฟูตัวเองโดยไม่ต้องพึ่งยาหรือการรักษา นับเป็นความก้าวหน้าซึ่งเป็นสัญญาณที่ดีอย่างหนึ่ง”
เมื่อซูเจ๋อหวนคิดถึงเรื่องเมื่อคืน ริมฝีปากก็เหมือนจะปรากฏเป็นรอยยิ้ม เขาเลิกคิ้วและกล่าวว่า “ดูเหมือนการบำรุงร่างกายจะได้ผลดีเยี่ยมจริงอย่างว่า”
ทั้งยังรสชาติดีอีกด้วย
หมอผีกล่าวอย่างเคร่งขรึมอีกว่า “แต่ระวังอย่าให้กระชั้นถี่ ท่านอ๋องต้องใจเย็น อย่าให้เกิดความปรารถนามากเกินไป มิเช่นนั้นผลลัพธ์จะกลายเป็นตรงกันข้าม”
หลังจากหมอผีเก็บกล่องยาและเตรียมจะกลับไป ซูเจ๋อก็เอ่ยขึ้นมาว่า “ข้าอยากจะขอยาอย่างหนึ่งจากท่าน”
หมอผีจึงถามว่า “ยาอะไรหรือพ่ะย่ะค่ะ”
ซูเจ๋อไม่ตอบ
องค์หญิงจาวหยางยังเอ่ยอย่างไม่ลดละ “เฮอะ ต้องอยู่ด้วยกันสองต่อสองตลอดทั้งคืนแน่ๆ ช่างทำได้ดีเสียจริง! ไม่มีผู้หญิงคนไหนปฏิเสธผู้ชายที่ทำตัวพาลและเผด็จการแบบนี้ได้หรอก! เมื่อถึงเวลาต้องลากขึ้นเตียงอย่าได้มัวลังเล ลากขึ้นเตียงไปเลย ท่านพี่ ว่าแต่ท่านจะกลับไปต้าฉู่กับพระองค์เมื่อไหร่ วันนี้ใช่หรือไม่”
ซูเจ๋อหยุดฝีเท้าและหันกลับไปมองใบหน้าที่ตื่นเต้นคึกคักของเด็กสาวตรงหน้า จากนั้นจึงเอ่ยว่า “เจ้ายังไม่ได้ออกเรือน รู้ได้อย่างไรว่าผู้หญิงชอบผู้ชายที่พาลและเผด็จการ รู้ได้อย่างไรว่าเมื่อไรควรลากขึ้นเตียง”
องค์หญิงจาวหยางบิดชายเสื้อและหัวเราะคิกคัก “ข้ายังไม่ได้ออกเรือนก็จริง แต่ข้าเคยอ่านหนังสือในตลาดมาเยอะนะ”
ซูเจ๋อหันกลับและเดินต่อไปพลางบอกว่า “ตื่นได้แล้ว ถ้าดูอะไรไร้สาระพรรค์นั้นอีก ข้าจะบอกท่านพ่อของเจ้า”
องค์หญิงจาวหยางเบะปาก แต่ยังคงเดินตามเขาไปและถามว่า “ท่านตั้งใจจะไปต้าฉู่เมื่อไรหรือ”
“เรื่องนี้ดูเหมือนจะไม่เกี่ยวกับเจ้า”
“จะไม่เกี่ยวกับข้าได้อย่างไร ท่านพี่ไปต้าฉู่ ในฐานะน้องสาวข้าต้องไปส่งอยู่แล้ว”
เมื่อมาถึงเรือนของเฉินเสียนและได้ยินว่าซูเจ๋อจะพาเฉินเสียนออกไปเดินเล่น องค์หญิงจาวหยางจึงไม่มีเหตุผลที่จะตามไปอีก
นางทำได้เพียงต้องอยู่ที่นี่กับซูเซี่ยน แต่เมื่อได้ยินเฉินเสียนฝากฝังให้นางดูแลซูเซี่ยน องค์หญิงจาวหยางก็มีความสุขสุดขีด นางรีบรับปากและกล่าวว่า “พวกท่านไปเที่ยวเถอะ ข้าจะดูแลหลานชายให้อย่างดี”
แต่เมื่อสายตาอันเฉียบแหลมขององค์หญิงจาวหยางมองเห็นความผิดปกติบางอย่างของเฉินเสียน นางจึงถามตรงๆ ว่า “จักรพรรดิต้าฉู่ คอของพระองค์เป็นอะไรหรือเพคะ ดูแข็งทื่อชอบกล”
เฉินเสียนหน้าถอดสีและบอกไปว่า “ไม่มีอะไร สงสัยคงเป็นเพราะเมื่อคืนนอนตกหมอน”
องค์หญิงจาวหยางโพล่งออกมาว่า “ท่านพี่ก็อยู่ด้วย เหตุใดจึงปล่อยให้นอนตกหมอนได้นะ”
เฉินเสียน “...”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ข้าคือหงส์พันปี
ชอบมากเรื่องนี้...