ข้าคือหงส์พันปี นิยาย บท 713

จักรพรรดิเป่ยเซี่ยตรัสว่า “เช่นนั้นข้าจะไม่เสียแค่หลานชาย แต่ยังต้องเสียลูกชายไปด้วยงั้นหรือ”

ซูเซี่ยนเอ่ยว่า “แต่ถ้าพระองค์ให้พ่อของข้าอยู่ที่นี่ ข้าก็จะต้องอยู่ที่ต้าฉู่โดยไม่มีพ่อ และเสด็จแม่จะต้องสูญเสียสวามี แต่ถ้าพระองค์เห็นแก่เรา เราทั้งหมดจะได้อยู่ด้วยกันที่นั่น ในภายภาคหน้าหากมีเวลาก็จะกลับมาเยี่ยมเยียนพระองค์ ถึงเวลานั้นบางทีข้าอาจจะมีน้อง ซึ่งพระองค์จะมีหลานเพิ่มขึ้นด้วย แบบนี้ไม่ดีหรือพ่ะย่ะค่ะ”

จักรพรรดิเป่ยเซี่ยมองซูเซี่ยน ทั้งรักทั้งโกรธเด็กชายซึ่งงดงามราวกับงานแกะสลักอันวิจิตรคนนี้ พระองค์ตรัสว่า “ข้ารู้ว่าเหตุใดเจ้าจึงมาหาข้าวันนี้ เจ้ามาเพื่อพูดแทนพ่อกับแม่ของเจ้า”

ซูเซี่ยนส่งไพ่ให้จักรพรรดิเป่ยเซี่ยและเอ่ยเรียบๆ ว่า “ต้องเป็นเช่นนั้นอยู่แล้วมิใช่หรือพ่ะย่ะค่ะ ไม่มีใครที่จะอยากให้พวกเขามีความสุขไปมากกว่าข้าอีกแล้ว ข้าเองก็อยากมีพ่อแม่คอยรักคอยดูแลเหมือนเด็กคนอื่นบ้าง แต่ในความทรงจำของข้า พวกเขาไม่เคยได้อยู่ด้วยกันอย่างแท้จริงเลยสักวัน ไม่มีวันไหนเลยที่ท่านพ่อจะยอมรับได้อย่างมีเกียรติว่าข้าคือลูกชายของเขา”

จักรพรรดิเป่ยเซี่ยนิ่งเงียบ

องค์หญิงจาวหยางถอดถอนใจด้วยความรักใคร่สงสาร “ช่างเป็นเด็กที่น่าสงสารอะไรเช่นนี้”

ซูเซี่ยนกระตุกมุมปากเล็กน้อยและเหลือบมององค์หญิงจาวหยาง ปกติท่านอาผู้นี้เป็นคนที่มักเอาแน่เอานอนไม่ได้และเป็นเพียงเด็กสาวคนหนึ่ง จึงค่อนข้างยากที่จะเชื่อสายตา เมื่ออยู่ๆ ความเป็นแม่ของนางก็ท่วมท้นขึ้นมา

ผ่านไปครู่ใหญ่ จักรพรรดิเป่ยเซี่ยทรงถอนพระทัยและตรัสว่า “ข้าตามหาพ่อของเจ้ามาหลายสิบปี อาเซี่ยน เจ้าช่วยเห็นใจข้าหน่อยไม่ได้หรือ”

ซูเซี่ยนก้มศีรษะและกล่าวว่า “เช่นนั้นพระองค์ยิ่งน่าจะเข้าใจความเจ็บปวดของการแยกจากมากกว่าข้า”

องค์หญิงจาวหยางรอแล้วรอเล่าทว่าไม่มีใครเรียกเจ้าบ้าน เมื่อเห็นว่าการเล่นไพ่พิชิตเจ้าของที่รอบนี้ท่าจะไม่สนุกเสียแล้ว นางจึงนั่งขัดสมาธิและยกถาดองุ่นมาหนึ่งถาด ปอกเปลือกองุ่นส่งให้จักรพรรดิเป่ยเซี่ยเสวย แต่พระองค์ไม่เสวย พอส่งให้อาเซี่ยน อาเซี่ยนก็ไม่กิน สุดท้ายนางจึงต้องกินเอง

ซูเซี่ยนลูบไพ่ในมือเบาๆ และกล่าวอีกว่า “เมื่อก่อนท่านปู่น้อยเคยเล่านิทานให้ข้าฟัง ว่ากันว่าตอนที่เป่ยเซี่ยเกิดสงครามกลางเมือง องค์จักรพรรดิกับเหล่าพระญาติได้แยกสองแม่ลูกออกไป นั่นคือเรื่องของท่านพ่อกับท่านย่าของข้า”

จักรพรรดิเป่ยเซี่ยชะงักไปนิดหนึ่งก่อนจะกล่าวอย่างเศร้าพระทัยว่า “ปู่น้อยเล่าเรื่องนี้ให้เจ้าฟังหรือ”

ซูเซี่ยนพยักหน้าและเอ่ยว่า “ท่านปู่บอกว่าพระองค์ไม่มีทางเลือก ต้องทิ้งท่านย่ากับท่านพ่อไว้และออกไปปราบกบฏ จนเมื่อพระองค์กลับมา พวกเขาก็ไม่ได้อยู่ในวังอีกแล้ว พระองค์ออกตามหาไปทั่วทุกหนแห่งแต่หาไม่พบ สุดท้ายพวกเขาก็ร่อนเร่ไปถึงต้าฉู่”

ซูเซี่ยนยังเอ่ยต่อไปว่า “ข้าเคยอาศัยอยู่ในหมู่บ้านเล็กๆ ที่ท่านย่าเคยอาศัยอยู่ ท่านพ่อท่านแม่เคยพาข้าไปเคารพที่หลุมศพของท่าน ท่านย่าคงจะรอให้พระองค์กลับไปหาพวกท่านอยู่ตลอด แต่สุดท้ายพระองค์ก็ไม่ไป”

เรื่องราวในอดีตพรั่งพรูขึ้นมาในพระทัยของพระองค์ ทำให้จักรพรรดิเป่ยเซี่ยทรงรู้สึกโดดเดี่ยวและอ้างว้างขึ้นมาอย่างฉับพลัน

“ทั้งหมดเป็นความผิดของข้า ข้าไม่ควรปล่อยให้พวกเขาสองแม่ลูกต้องร่อนเร่อยู่ข้างนอกอย่างไร้ที่พึ่งแต่เพียงลำพัง ข้ารู้สึกละอายใจพ่อของเจ้ามาโดยตลอด ต่อแต่นี้ไปข้าจึงอยากจะให้เขาอยู่เคียงข้างเพื่อชดเชยเรื่องในอดีต อาเซี่ยน เจ้าช่วยเข้าใจความรู้สึกของข้าหน่อยได้หรือไม่”

ผ่านไปครู่หนึ่งซูเซี่ยนจึงเงยหน้ามองพระองค์และเอ่ยว่า “แต่อะไรคือความแตกต่างระหว่างสิ่งที่พระองค์ทำอยู่ตอนนี้กับสิ่งที่เคยเกิดขึ้นในตอนนั้น... พระองค์กำลังทำให้ท่านพ่อของข้าต้องประสบกับความผิดพลาดซ้ำอย่างในอดีต

ถ้าเขาอยู่ที่นี่ ข้ากับท่านแม่จะโดดเดี่ยวไร้ที่พึ่ง แม่ของข้าจะรอเขาตลอดไป แต่สุดท้ายเขาจะไม่กลับมา

สุดท้ายก็เหลือเพียงความเสียใจและความรู้สึกผิดไว้ให้เขา เหมือนดั่งที่พระองค์รู้สึกอยู่ตอนนี้... และข้าต้องเดินไปบนเส้นทางเดียวกับที่ท่านพ่อเคยเดิน มีชีวิตวัยเด็กเหมือนกับท่านพ่อ

พระองค์ทรงคิดว่าข้าเป็นหลานของพระองค์จริงๆ หรือพ่ะย่ะค่ะ พระองค์จะยอมปล่อยให้ข้าต้องพบเจอกับประสบการณ์ที่เจ็บปวดเช่นเดียวกับที่ท่านพ่อของข้าเคยประสบได้อย่างไร”

ขอบตาของซูเซี่ยนเริ่มแดงก่ำ เขาเอ่ยกับจักรพรรดิเป่ยเซี่ยที่กำลังตกใจว่า “ในตอนที่ท่านพ่อกับท่านย่าต้องพึ่งพากันและกัน พวกท่านคงจะนึกโทษที่พระองค์ไม่ไปหา ต่อไปข้าเองก็คงจะโทษพ่อของข้า และข้าจะโทษพระองค์ด้วย เรื่องแบบเดียวกันจะเกิดขึ้นเป็นครั้งที่สอง พระองค์ทรงทราบดีว่าเขาต้องการอะไร และพระองค์ก็ทรงทราบว่าอะไรคือวิธีชดเชยที่ดีที่สุด แต่พระองค์แค่ไม่คิดที่จะช่วยให้เขาสมหวังเท่านั้น”

หลังจากนั้นความเงียบก็เข้าปกคลุมท้องพระโรง

องค์หญิงจาวหยางกินองุ่นลูกสุดท้ายเงียบๆ จากนั้นจึงเอ่ยเบาๆ ว่า “เสด็จลุงเพคะ ข้าคิดว่าที่อาเซี่ยนพูดก็มีเหตุผล”

“ซูเจ๋อ”

“หืม?” เขาขานรับสั้นๆ อย่างเรียบเรื่อยผ่อนคลาย น้ำเสียงอ่อนโยนและแผ่วเบาราวกับขนนก กระทบใจคนฟัง

เฉินเสียนยืนขึ้นบนหลังวัว เธอกล่าวว่า “ท่านรับข้านะ”

พูดจบเธอก็ทิ้งตัวลงไปทางซูเจ๋อ เขาเบี่ยงตัวและกางแขนรับเธอไว้ แต่ถูกเธอโถมตัวเข้าใส่จนลงไปนอนราบอยู่บนพื้น ทั้งสองกลิ้งลงไปบนผืนหญ้าสีเขียวขจี เฉินเสียนโผตัวเข้าสู่อ้อมกอดของเขา ฝังศีรษะไว้แนบแผงอก สูดลมหายใจเข้าลึกๆ และหัวเราะเสียงดัง

เฉินเสียนลูบไล้ปกเสื้อของเขาและบอกว่า “การได้อยู่ร่วมชีวิตเป็นสามีภรรยากับท่าน ต่อให้ต้องวุ่นวายไปอีกครึ่งค่อนชีวิตก็นับว่าคุ้มค่ายิ่งนัก”

ดวงอาทิตย์เริ่มคล้อยต่ำ เฉินเสียนได้นั่งชมพระอาทิตย์ตกดินซึ่งเธอคิดว่างดงามที่สุดกับซูเจ๋อ

ท้องฟ้ายามเย็นเต็มไปด้วยปุยเมฆสีสันสวยงาม พระอาทิตย์ค่อยๆ ลาลับไปหลังลูกคลื่นของเนินเขาซึ่งอยู่ไกลออกไป เฉินเสียนเอียงศีรษะซบไหล่ซูเจ๋อ แสงอาทิตย์สีเหลืองอมแดงสาดส่องจนท้องฟ้ากลายเป็นสีทองอมชมพู

หลังจากนั้นจันทร์กระจ่างก็โผล่พ้นขอบฟ้าขึ้นมาที่กลางทะเล ดวงดาวเริ่มปรากฏอยู่บนท้องฟ้า สะท้อนลงมาบนท้องสมุทรอันกว้างใหญ่

เฉินเสียนรู้สึกว่าวันนี้เป็นวันที่เต็มไปด้วยความสุข จนกระทั่งความมืดย่างกรายจึงเริ่มรู้สึกถึงความอ้างว้าง

เรือที่ชายฝั่งเตรียมพร้อมจะออกเดินทางแล้ว ซึ่งนั่นหมายความว่าเธอกำลังจะจากไป

เฉินเสียนกระซิบว่า “ซูเจ๋อ ข้าจะต้องไปแล้วใช่ไหม” น้ำเสียงนั้นไม่อาจซ่อนความโศกเศร้าเอาไว้ได้

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ข้าคือหงส์พันปี