กลางยามฉวี(19.00-20.59)เย่วซินหลังทานมื้อเย็นเสร็จก็เดินมาที่ห้องปรุงยาที่ท่านปู่สร้างเอาไว้ให้เมื่อหลายปีก่อน เพราะสมุนไพรของนางนั้นกว่าครึ่งมันเป็นสมุนไพรอันตรายเสียมากกว่าและยังมีพิษจากสัตว์ที่สกัดเอาไว้อีกหลายชนิด
เย่วซินมารู้ทีหลังว่าท่านย่าก็ชื่นชอบการปรุงยาพิษและศึกษาเรื่องพิษเช่นกัน แต่เกิดการผิดพลาดตอนหลอมตัวยาจึงส่งผลให้สูดควันพิษเข้าไป แล้วมันทำลายอวัยวะภายในร่างกายจนทำให้ท่านถึงแก่ชีวิต นั่นเป็นเหตุผลที่ท่านปู่ไม่ยินยอมให้นางศึกษาเรื่องพิษในตอนแรก นางจึงต้องแอบศึกษาเรียนรู้อยู่หลายปีกว่าท่านจะทราบเรื่องและเป็นอย่างที่รู้กันนางถูกกักบริเวณนานหลายเดือน
การผสมยาพิษนั้นใช่ว่าจะไม่เกิดข้อผิดพลาดแต่นางเริ่มจากปรุงยาพิษที่มีฤทธิ์อ่อนก่อน และเริ่มกรอกยาพิษเข้าสู่ร่างกายทีละน้อยๆ เมื่อร่างกายเริ่มชินชาก็ค่อยเพิ่มความรุนแรงขึ้นจนร่างกายต้านพิษมาได้อย่างทุกวันนี้ นางเคยผสมพิษแล้วเกิดควันลอยฟุ้งขึ้นมาเช่นกันแต่โชคดีที่ร่างกายต้านพิษได้แล้ว ไม่เช่นนั้นคงได้ไปเยือนปรโลกตามท่านย่าไปแล้วเป็นแน่
เย่วซินหยิบตำราพิษออกมาดูวันนี้นางจะทดลองปรุงพิษตัวใหม่ขึ้นมาโดยใช้ผึ้งพิษพวกนี้เป็นส่วนผสมด้วย มันอยากทำท่านปู่เจ็บมันต้องโดนจัดการ นางไม่ใช่คนเจ้าคิดเจ้าแค้นจริง ๆ นะ
เย่วซินจัดการรีดพิษผึ้งออกมาเป็นส่วนผสมยาพิษตัวใหม่และเป็นยาถอนพิษอีกส่วนหนึ่งทำอยู่เพียงครู่ก็สำเร็จ การปรุงพิษขึ้นอยู่กับผู้ปรุงว่าจะผสมพิษอะไรลงไปบ้างและผลลัพธ์จะออกมาเป็นเช่นไร ต้องใช้อะไรบ้างในการถอนพิษ นั่นจึงเป็นเหตุที่ว่าผู้ที่ปรุงพิษเท่านั้นถึงสามารถถอนพิษได้
“ซินเอ๋อร์เจ้าทำอะไรอยู่หรือ?” เย่วฉีหลังกลับมาจากโรงหมอเห็นห้องปรุงยาของน้องสาวมีแสงไฟสว่างอยู่จึงเดินเข้าดู
“อ้าวอาฉีมานี่เร็ว ๆ ข้ามีอะไรให้ดู” เย่วซินกวักมือเรียกพี่ชายคนสนิทอย่างตื่นเต้นดีใจหลังจากที่ไม่ค่อยได้เจอกันเท่าไรนัก พี่เย่วเทียนอีกคน
“มีอะไรหรือ ดูท่าทางตื่นเต้นเชียว” เย่วฉีเดินเข้ามานั่งลงด้านข้างน้องสาวตัวแสบ
“ข้าปรุงยาพิษตัวใหม่...” เย่วซินเอ่ยบอกแต่ยังไม่ทันได้เอ่ยจบประโยคก็โดนขัดขึ้นมาเสียก่อน
“ซินเอ๋อร์พี่ไม่เป็นหนูทดลองให้เจ้าเด็ดขาด” เย่วฉีโวยวายขึ้นมาทันทีเมื่อได้ยินว่าปรุงยาพิษตัวใหม่ เพราะเข็ดหลาบจากวัยเด็กจนจำฝังใจ
“ใครบอกว่าจะให้ท่านเป็นหนูทดลองลองกันเล่า ข้ายังอยากมีพี่ชายอยู่นะ” เย่วซินโคลงศีรษะอย่างหน่ายใจ แต่จะโทษเขาก็ไม่ได้ เมื่อก่อนนี้เป็นนางที่แกล้งเอาพิษชนิดอ่อนทดลองกับเขาอยู่บ่อย ๆ จนเขาต้องหนีเข้าสำนักศึกษา
“ร้ายแรงขนาดนั้นเลยหรือ?”
“อื้ม...หรือท่านอยากจะลองก็ได้นะ เพราะข้าปรุงยาแก้พิษเอาไว้แล้วไม่ตายแน่นอน”
“นี่แน่ะ...ใครเขาอยากจะลองตายกันห๊ะ” เย่วฉียื่นมือดีดหน้าผากน้องสาวอย่างไม่ออมแรงเท่าใดนัก
“อูย...อาฉีดีดแรงเกินไปแล้ว” เย่วซินลูบหน้าผากปรอย ๆ มันเจ็บจี๊ดแล่นไปทั้งหัวเลยจริง ๆ
“สมน้ำหน้า...ปรุงยาเสร็จเรียบร้อยหรือยัง เดี๋ยวพี่จะเดินไปส่งที่เรือน”
“บุ๊ย...ใครเขาอยากให้ท่านไปส่งกัน” เย่วซินเอ่ยพร้อมกับทำปากยื่นใส่พี่ชายอย่างเสียกิริยาแต่ทว่าคนมองกลับนึกเอ็นดูยิ่งนักกับท่าทางเช่นนั้น
“ตามใจจะหาว่าพี่ชายใจดำไม่ได้นะ ไปดูอิงเอ๋อร์ซ้อมกระบี่ดีกว่าหึ...”เย่วฉีรู้สึกสดชื่นขึ้นมาหลังจากได้ลับฝีปากกับน้องสาวแล้วรีบเดินออกไปยังลานฝึกทันทีอย่างอารมณ์ดี
เย่วซินหันมาสนใจตัวยาชั้นเลิศต่ออย่างพออกพอใจไม่ต้องทดลองก็รูว่ามันต้องได้ผลดีเยี่ยมอย่างแน่นอน แต่เอ...ลองหน่อยก็ดีเหมือนกันแฮะรู้สึกเปรี้ยวปากอยากลองของ และจะได้รู้ว่าร่างกายของนางจะรับยาแรงขนาดนี้ได้หรือไม่
เมื่อคิดได้ดังนั้นมือบางขาวเนียนดุจหยกชั้นดีก็หยิบขวดยาพิษชนิดน้ำที่นางแบ่งใส่ขวดเล็กเอาไว้ ได้ประมาณห้าขวดหยิบขึ้นมาซดลงคอทันทีรวดเดียวหมดขวดอย่างไม่กลัวตาย ยาพิษไร้สี ไร้กลิ่นเหมือนกินน้ำเปล่าจริง ๆ เย่วซินคิดอย่างพึงพอใจ
“อื้ม...” เย่วซินเริ่มรู้สึกว่าท้องไส้เริ่มปั่นป่วนมวลไปหมด และเริ่มทวีความรุนแรงเพิ่มมากขึ้นจนนางต้องลงไปนอนขดตัวงออยู่กับพื้น อ่า...มันช่างรุนแรงถูกใจนางยิ่งนัก เย่วซินคิดในใจ
เย่วเทียนเมื่อร่างเล็กหลับไปแล้วเขาก็หาผ้าชุบน้ำซับตามกรอบหน้าและลำคอเพื่อให้นางรู้สึกสบายยิ่งขึ้น แล้วนั่งเฝ้าร่างเล็กด้วยความเป็นห่วงว่ากลางดึกจะเกิดอาการไม่ดีขึ้นมาอีกจนกระทั้งเกือบรุ่งสางจึงเดินกลับเรือนของตนไป
เช้าวันรุ่งขึ้น “อ้าวอาเทียนวันนี้เจ้าอยู่กินมื้อเช้าด้วยหรือ” ฮุ่ยฉินเอ่ยถามหลานชาย แล้วหันไปถามหลานสาวต่อ “วันนี้ซินเอ๋อร์เหตุใดจึงยังไม่มาอีก”
“นางไม่สบายเจ้าค่ะท่านปู่ หลานทำโจ๊กเอาไว้ให้นางแล้วประเดี๋ยวนางตื่นค่อยยกไปให้นางที่เรือนเจ้าค่ะ” จิวอิงเอ่ยบอกท่านปู่ด้วยใบหน้าซีดเซียวเล็กน้อย
“เป็นอะไรมากหรือไม่ปกตินางก็แข็งแรงจะตายไปป่วยได้อย่างไรกัน” ฮุ่ยฉินเอ่ยอย่างเป็นห่วงและสงสัย
“สงสัยคงทำงานมากเกินไปหรือป่าวเจ้าคะท่านพ่อ ปกติซินเอ๋อร์อยู่แต่ในจวนและไม่ค่อยได้ออกไปไหน”จูเซียนเอ่ยถามบิดาของสามี
“อีกไม่กี่วันคณะทูตก็จะเดินทางมาถึงแล้วและทางวังหลวงได้จัดงานเลี้ยงต้อนรับ พวกขุนนางก็ต้องพาครอบครัวเข้าร่วมงานเช่นเคย แต่คราวนี้ฮ่องเต้ทรงรับสั่งให้หลานสาวท่านพ่อขึ้นแสดงบรรเลงกู่เจิงด้วยเครื่องดนตรีที่ไท่ซ่างหวงพระราชทานให้นะขอรับ” อวี้หลางเอ่ยบอก
“เป็นเจ้าที่ต้องขึ้นไปแสดงอีกแล้วนะอิงเอ๋อร์ โทษใครไม่ได้ฝีมือบรรเลงเพลงของเจ้าช่างร้ายกาจยิ่งนัก ฮ่า ฮ่า” ฮุ่ยฉินอย่างชอบใจ
“เช่นนั้นหลานคงต้องซ้อมให้น้อยลงเสียหน่อยแล้วกระมังเจ้าคะ” จิวอิงเอ่ยด้วยใบหน้าเจื่อนลงเล็กน้อย
ทั้งหมดยิ้มรับกับคำพูดของร่างเล็กที่ทาใบหน้าดำอย่างเอ็นดู วันนี้เย่วฉีไม่ได้มาร่วมมื้อเช้าด้วยเพราะต้องรีบออกไปโรงหมอแต่เช้าและเป็นเช่นนี้อยู่บ่อยครั้ง
# โถ่..อีน้องซนจริงๆ
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: คู่แฝดคู่ป่วน
รอนะคะ อัพต่อหน่อยค่า...