คู่แฝดคู่ป่วน นิยาย บท 38

ยามซวี(19.00-20.59)เย่วฉีเดินมายังเรือนนอนของน้องสาว เขาเพิ่งทราบเรื่องที่นางได้ก่อเอาไว้ ใจหนึ่งก็สงสารที่นางโดนกักบริเวณใจหนึ่งก็สมน้ำหน้ายิ่งนักนางต้องโดนท่านปู่กำหลาบเสียบ้างถูกต้องแล้ว

เมื่อมาถึงบริเวณหน้าเรือนก็ได้ยินเสียงขลุ่ยดังแว่วออกมา มันช่างไพเราะยิ่งนักใครกันมาเป่าขลุ่ยแถวนี้หรือว่าจะเป็นอิงเอ๋อร์เพราะนางชอบดนตรี เย่วฉีเดินเข้ามาด้านในห้องก็พบว่าคนที่เป่าขลุ่ยคือน้องสาวตัวแสบของตนโดยมีน้องสาวผู้อ่อนหวานนั่งฟังอยู่ด้านข้าง

“พี่ไม่เคยรู้มาก่อนว่าเจ้าก็มีความสามารถเป่าขลุ่ยได้ไพเราะเช่นนี้” เย่วฉีเอ่ยชมน้องสาว

“ข้ามีความสามารถมากมายแต่ไม่อยากโอ้อวดเพียงเท่านั้น” เย่วซินเอ่ยบอกพี่ชายคนสนิท

“แล้วเจ้าเป็นอย่างไรบ้าง?” เย่วฉีเอ่ยถามด้วยความเป็นห่วง

“ข้าชิวมากเลยไม่เห็นหรือ มีเวลามานั่งเป่าขลุ่ยเช่นนี้” เย่วซินเอ่ยบอกขณะกำลังกึ่งนั่งกึ่งนอนอยู่บนเตียงด้วยท่าทีผ่อนคลาย

“แล้วนั่นเจ้าทำอะไรหรืออิงเอ๋อร์” เย่วฉีเอ่ยถามน้องสาวผู้อ่อนหวานตอนนี้นางไม่ได้ทาหน้าดำเพราะอยู่ที่เรือนนอน แต่เขาก็รู้ว่าเป็นนางเพราะกิริยาที่นุ่มนวลเรียบร้อย

“ร้อยพวงมาลัยเจ้าค่ะ ซินเอ๋อร์เป็นคนสอนข้าทำสวยหรือไม่เจ้าคะ” จิวอิงเอ่ยพร้อมหยิบพวงที่ทำเสร็จแล้วให้พี่ชายได้ดู

“สวยมาก และหอมมากด้วยพี่ไม่เคยเห็นที่ไหนมากก่อนเลย ซินเอ๋อร์เจ้าช่างเก่งยิ่งนักที่คิดได้เช่นนี้”

“ข้าบอกแล้วไงว่าข้าเก่งทุกอย่างแต่ข้าไม่อยากโอ้อวด” เย่วซินเอ่ยย้ำคำของตนเอง

“แล้วพวงนั้นทำไมดูเบี้ยวๆเช่นนั้น?” เย่วฉีมองอีกพวงที่วางเอาไว้ด้านข้าง

“พวงนี้ซินเอ๋อร์เป็นคนทำเจ้าค่ะ” จิวอิงเอ่ยบอกพร้อมยิ้มขำเล็กน้อย น้องสาวของนางเก่งเรื่องใช้หัวแต่ไม่เก่งเรื่องฝีมือเท่าใดนัก ดูอย่างที่นางสอนเรื่องผ้าปักแต่นางกลับปักผ้าไม่ได้เรื่องเสียอย่างนั้น

“ฮ่า ๆ ๆ แม่คนเก่ง ดีแล้วที่เจ้าไม่ชอบโอ้อวดน่ะ” เย่วฉีหัวเราะชอบใจจนน้ำตาเล็ด

เย่วซินถลึงตาใส่พี่ชายคนสนิทที่หัวเราะเยาะตนแล้วเอ่ยถาม “อาฉีถ้าจะมาหัวเราะเยาะข้าก็ออกไปเลยก่อนที่ข้าจะทุบท่าน”

“หยุดแล้ว ๆ พี่มีธุระสำคัญจะให้เจ้าช่วยเรื่องรักษาคนที่ถูกพิษน่ะ” เย่วฉีเอ่ยบอกเรื่องสำคัญของตน

“เล่ามาสิจะให้ข้าช่วยอย่างไร” เย่วซินเอ่ย

เย่วฉีเอ่ยเล่าเรื่องราวเกี่ยวกับที่ตนรู้มาทั้งหมดให้น้องสาวฟังอย่างละเอียดยิบเพราะว่ากลัวผิดพลาดแล้วหายนะจะเกิดอย่างแน่นอน ประมุขพรรคอินทรีย์เชียวนะใครบ้างไม่กลัวจะเป็นหรือตายตอนนี้อยู่ในกำมือน้องสาวของเขาแล้ว

“ผึ้งพิษหรือ?” เย่วซินเอ่ยทวนคำถาม ช่วงนี้ทำไมเจ้าผึ้งนี่มันออกอาละวาดนัก แต่ก็ดีถ้ารักษาหายอาจรู้ว่ามันเป็นของผู้ใด ชดเชยที่นางพลาดการรักษาให้ชายคนนั้น โทษกันไม่ได้นะต้องโทษท่านปู่ที่สั่งกักบริเวณนางต่างหาก แต่ที่เสียใจคือปิ่นปักผมคิดแล้วเย่วซินหน้าสลดลงทันที

“ใช่ เจ้าจะช่วยหรือไม่” เย่วฉีเอ่ยถามเมื่อเห็นว่าน้องสาวมีสีหน้าสลดลงเลยไม่แน่ใจว่านางจะช่วยหรือไม่

“ได้ข้าจะช่วย พอดีข้าปรุงยาถอนพิษเอาไว้แล้ว” เย่วซินเอ่ยพร้อมกับหยิบขวดยาถอนพิษที่นางปรุงเตรียมเอาไปช่วยชายคนนั้นส่งให้พี่ชายแล้วเอ่ยต่อ “เมื่อกินยาถอนพิษไปแล้วท่านก็ฝังเข็มกระตุ้นการเต้นของหัวใจและเปิดเส้นลมปราณให้เลือดไหลเวียน จากนั้นท่านก็ให้ยาบำรุงเขาไปอีกหน่อยแล้วกัน"

เย่วฉีรับขวดยามาเก็บเอาไว้และจดจำคำพูดที่น้องสาวเอ่ยบอกแล้วถามต่อ “เรื่องรักษาพิษที่ท่านประมุขจ้าวได้รับเล่าเจ้าจะว่าอย่างไร”

“ท่านประมุขหล่อไหมข้าอยากรู้” เย่วซินเอ่ยถามอย่างสงสัยใคร่รู้

“หล่อไม่หล่อมันเกี่ยวอันใดกับการรักษา?” เย่วฉีเอ่ยถามกลับอย่างสงสัยเช่นกัน

“นั่นสิมันเกี่ยวอันใดหรือ?” จิวอิงที่นั่งฟังก็อดที่จะถามไม่ได้ว่ามันเกี่ยวข้องอันใดกัน

“ไม่เกี่ยวหรอกแค่อยากรู้ แต่ให้เดาคงหล่อเหลาน่าดูถึงได้โดนวางยาพิษราตรีวสันต์ สตรีคงอยากร่วมเตียงกับเขาจนตัวสั่นเอ๊ะ...หรือว่าลีลาเด็ดกันนะ” เย่วซินเอ่ยพูดราวกับว่าเป็นเรื่องทั่วไปของดินฟ้าอากาศ

“เจ้าเป็นสตรีพูดจาเช่นนี้ได้อย่างไรกัน ท่านแม่ได้ยินเข้าคงได้เป็นลมเป็นแน่ซินเอ๋อร์” จิวอิงเอ่ยบ่นน้องสาวทันทีที่เอ่ยเรื่องบนเตียงอย่างไม่กระดากปาก

“อารมณ์ดีอะไรหรือ?” เย่วเทียนเอ่ยถามเขาสวนกับอิงเอ๋อร์ที่เดินหน้าแดงกล่ำออกไปแล้วเห็นนางนั่งยิ้มอยู่คนเดียว

“พี่เย่วเทียนข้าคิดถึงท่านที่สุดเลยเจ้าค่ะ” เย่วซินเอ่ยเอาใจคนหน้านิ่งพร้อมยิ้มสดใสไปให้แบบที่คิดว่าตัวเองน่ารักที่สุด

“ไม่ต้องมาปากหวานใส่เลย จะอ้อนเอาอะไรหรือ?” เย่วเทียนเอ่ยอย่างรู้ทันคนตัวเล็ก

เย่วซินบุ้ยหน้าให้คนรู้ทันพลางหยิบขลุ่ยหยกออกมาให้ส่งให้พี่ชาย “ขลุ่ยอันนี้ทำจากหยกเยื่อไผ่ในป่าหมอกมายา มันสามารถกักเก็บพลังปราณได้ท่านส่งพลังปราณเข้ามาให้หน่อยได้หรือไม่เจ้าคะ” เย่วซินเอ่ยบอกคนหน้านิ่ง พลังปราณของพี่เย่วเทียนนั้นนับว่าแข็งแกร่งมากพอตัว ขลุ่ยชิ้นนี้ถ้าได้พลังปราณไปมันต้องวิเศษมากแน่ๆ

“นับว่าเป็นของดีไม่น้อย เจ้าลองหยดเลือดลงไปสิมันอาจจะจดจำเจ้าเป็นเจ้าของเพียงผู้เดียวก็เป็นได้” เย่วเทียนเอ่ยบอกอย่างไม่แน่ใจนักว่ามันจะเหมือนดาบของเขาหรือไม่ เพราะเขาเองก็เพิ่งเคยเห็นมันเป็นครั้งแรกเช่นกัน

เย่วซินหยิบเข็มเล่มเล็กออกมาแล้วจิ้มลงบนนิ้วมือทันที ทันทีที่เลือดสีแดงหยดลงบนขลุ่ยหยกสีขาวนวลก็พลันเปลี่ยนเป็นลวดลายคล้ายเถาวัลย์สีดำพันรอบๆ

“โอ้...ช่างน่าประหลาดเหลือเชื่อโดยแท้” เย่วซินเอ่ยอย่างตื่นเต้นเพราะไม่เคยเห็นอะไรแบบนี้มาก่อน นางได้เปิดหูเปิดตาแล้วยุทธภพช่างกว้างไกลยังมีอะไรให้น่าค้นหามากมายนัก

เย่วเทียนเห็นเช่นนั้นก็ประหลาดใจไม่แพ้กันแต่ไม่ได้เอ่ยอะไรออกมา เพียงแต่หยิบขลุ่ยหยกมาแล้วส่งปราณของตนเข้าไปทันที เมื่อเสร็จเรียบร้อยก็ส่งคืนให้น้องสาว

“ขอบคุณเจ้าค่ะ” เย่วซินหยิบขลุ่ยหยกกลับมาแล้วลองเป่า นางเป่าได้อยู่เพลงเดียวคือเพลงในชาติก่อนที่โด่งดังเป็นอย่างมากคือเพลง มาย ฮาร์ท วิว โก ออน เป็นเพลงประกอบภาพยนต์ฟอร์มยักษ์ที่สร้างมาจากเค้าโคลงเรื่องจริง

เสียงขลุ่ยบรรเลงเย่วซินเป่าไปก็ให้ระลึกถึงความรักของคนสองคน นึกถึงตอนที่เรือชนกับภูเขาน้ำแข็ง และตอนที่ทั้งคู่ตกลงไปในน้ำที่เย็นจัดจนกลายเป็นน้ำแข็ง เย่วซินคิดว่ามันจะทรมานขนาดไหนถ้าเป็นตัวเองที่ตกลงไป คงทั้งหนาวและหวาดกลัวมากเป็นแน่ เย่วซินยังคงจมอยู่ในความคิดของตัวเองจนไม่ได้สังเกตคนที่นั่งอยู่ด้านข้าง

เย่วเทียนตอนแรกที่ได้ฟังเพลงบรรเลงจากขลุ่ยหยกมันช่างไพเราะยิ่งนักถึงแม้ว่าจะไม่เคยได้ยินเพลงนี้มาก่อน แต่ก็สามารถรับรู้ถึงความรักของคนสองคนผ่านบทเพลงนั้นอย่างน่าประหลาด แต่จู่ๆกลับรู้สึกหนาวเย็นและอึดอัดคล้ายคนจมน้ำหายใจไม่ออก รู้สึกหวาดกลัวคล้ายคนกำลังใกล้ตาย เย่วเทียนถึงแม้อยากจะสลัดหรือดิ้นรนก็ไม่สามารถทำให้อาการเหล่านี้หายไปได้

“พี่เย่วเทียน!!”

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: คู่แฝดคู่ป่วน