บนห้องส่วนตัวของผู้ดูแลโรงเตี๊ยมมีร่างบางของสตรีใบหน้าเรียวเล็กจิ้มลิ้มแต่มีดวงตากลมโตพราวระยับหวานซึ้งในอาภรณ์สีชมพูอ่อนปักลายดอกไม้สวยงามแปลกตา นั่งรอบุคคลสำคัญที่นัดแนะกันเอาไว้อย่างใจจดใจจ่อ เพียงไม่นานร่างบุรุษวัยกลางคนก็เปิดประตูเข้ามา
“ท่านลุง!” จิวอิงดีใจยิ้มจนแก้มปริรีบลุกเดินเข้าไปสวมกอดร่างสูงใหญ่ของผู้เป็นลุงอย่างที่เคยทำยามเป็นเด็กท่านลุงใจดีกับนางเสมอ
“อิงเอ๋อร์!..”ซูหลวนซานตกใจ ดีใจจนไม่สามารถเอื้อนเอ่ยคำใดออกมา ได้แต่ยืนกอดร่างเล็กของหลานสาวเอาไว้ด้วยความคิดถึง ซูหลวนซานขอบตาแดงก่ำเมื่อหวนนึกถึงอดีต เขาเดินทางไปประจำที่ค่ายบูรพานานครั้งจะได้กลับจวนสักครา เมื่อกลับมาเขาก็ไม่ลืมที่จะมาหาหลานสาวที่เรือนท้ายจวนและมอบเงินไว้ให้ใช้ยามจำเป็น ตลอดหลายปีก็ไม่เคยเกิดเรื่องร้ายแรงและเขาคิดว่าพวกนางอาศัยอยู่ในรั้วกำแพงจวนแม่ทัพย่อมปลอดภัยกว่าออกไปอาศัยอยู่ด้านนอก แต่เมื่อครั้งล่าสุดที่เขากลับมาไม่คิดว่าจะได้รับรู้เรื่องราวเลวร้ายที่เกิดขึ้นกับหลานสาวผู้น่าสงสารผู้นี้
“อิงเอ๋อร์เหตุใดเจ้าถึงได้มาอยู่ที่นี่ เจ้าลำบากมากหรือไม่ลุงให้คนออกตามหาเจ้าไปทั่ว” ซูหลวนซานเมื่อตั้งสติได้ก็เอ่ยถามหลานสาวทันที
“ท่านลุงหลานสบายดีเจ้าค่ะ เชิญท่านลุงนั่งลงก่อนยังมีเรื่องราวอีกมากมายที่ต้องพูดคุยเจ้าค่ะ” จิวอิงเอ่ยพลางจูงมือใหญ่หยาบกร้านเดินมานั่งลงที่โต๊ะอาหารกลางห้อง
“คาราวะเจ้าค่ะท่านแม่ทัพ” เสี่ยวชิงย่อกายเคารพผู้เป็นนายอย่างนอบน้อม
“ขอบใจเจ้ามากที่ดูแลหลานของข้าเป็นอย่างดี ข้าละอายใจต่อเจ้ายิ่งนัก” ซูหลวนซานเอ่ยพลางนึกว่าตัวเขาเองเป็นลุงของนางแต่ไม่สามารถดูแลปกป้องหลานสาวได้ แต่เสี่ยวชิงเป็นแค่สาวใช้นางกลับดูแลปกป้องหลานสาวของเขาอย่างไม่เสียดายชีวิตตนเองเขาละอายต่อเสี่ยวชิงสาวใช้ผู้นี้ยิ่งนัก
“ท่านแม่ทัพอย่าคิดมากเลยเจ้าค่ะบ่าวเต็มใจดูแลรับใช้คุณหนูเจ้าค่ะ” เสี่ยวชิงเอ่ยด้วยน้ำเสียงจริงใจ
“อิงเอ๋อร์เจ้าเล่าให้ลุงฟังอย่างละเอียดอีกครั้งได้หรือไม่ว่าเรื่องราวมันเป็นมาอย่างไร” ซูหลวนซานเอ่ยถามหลานสาว แต่จริงๆแล้วเขารับรู้เรื่องราวคร่าวๆมาจากบ่าวที่สนิทสนมกับเสี่ยวชิง และเขาคาดคั้นคนสนิทของบุตรชายและบุตรสาวมาก่อนแล้ว และได้ให้บทลงโทษแก่บุตรทั้งสองเป็นที่เรียบร้อยด้วยเช่นกัน
“ได้เจ้าค่ะเรื่องเกิดจาก...” จากนั้นจิวอิงก็เล่าเรื่องราวต่างๆที่เกิดให้ท่านลุงของตนเองฟังอย่างไม่มีปิดบัง และเล่ามาถึงเรื่องบังเอิญที่พบกับน้องสาวฝาแฝดดูท่านลุงตกใจเป็นอย่างมากที่ได้รับรู้เรื่องนี้รวมถึงเรื่องที่นางไปขุดหลุมฝังศพท่านแม่แล้วนำกระดูกของท่านแม่มาฝังไว้ที่จวนด้วย
“แล้วตอนนี้นางอยู่ที่ใดหรือ?” ซูหลวนซานเอ่ยถามหลานสาว เขาเองตกใจมากที่ได้รับรู้เรื่องราวต่างๆ และที่ตกใจมากกว่านั้นคือเขามีหลานสาวอีกหนึ่งคน โชคชะตาช่างเล่นตลกยิ่งนักพี่น้องต้องแยกจากกันมานานถึงสิบห้าปีแต่ก็ถือว่าไม่โหดร้ายจนเกินยังพาให้ทั้งคู่กลับมาพบกันอีกครั้ง
“ประเดี๋ยวนางก็มาเข้ามาเจ้าค่ะ ตอนนี้คงกำลังสั่งคนให้ยกอาหารขึ้นมา นางกลัวว่าท่านลุงจะตกใจเลยให้หลานพูดคุยกับท่านลุงก่อนเจ้าค่ะ”
เอ่ยจบเสียงเคาะประตูก็ดังขึ้นและตามมาด้วยร่างบางที่มีใบหน้าเรียวเล็กจิ้มลิ้มดวงตากลมโตพราวระยับสดใสสวมใส่อาภรณ์สีฟ้าอ่อน เย่วซินให้อิงอิงขึ้นมายังห้องพักส่วนตัวของนางเพื่อล้างหน้าดำออกและพูดคุยให้ท่านลุงทราบล่วงหน้าก่อน เพราะกลัวว่าท่านจะตกใจถ้าได้เห็นนางและอิงอิงพร้อมกัน
ที่นางใช้ห้องส่วนตัวได้เพราะว่าคนบ้าอำนาจไม่ได้พักอยู่อย่างที่เขาพูด เขาแค่กวนประสาทนางเพียงเท่านั้น แต่ก่อนไปยังดีที่ทิ้งจดหมายเอาไว้ให้และหยิบเอาพวงมาลัยมะลิไปด้วยเขาคงชอบกลิ่นของมันจริงๆ
ซูหลวนซานมองผู้เข้ามาใหม่อย่างตกตะลึงแล้วหันหน้ามามองร่างเล็กที่นั่งอยู่ด้านข้าง แล้วหันกลับไปมองร่างเล็กที่เข้ามาใหม่อีกครั้งเพื่อความแน่ใจ เขาไม่คิดว่าพวกนางจะเหมือนกันได้ขนาดนี้ นี่คงเป็นอีกหนึ่งเหตุผลที่อิงเอ๋อร์บอกว่าต้องทาหน้าดำเพื่อผู้คนจะได้จำไม่ผิดคน
“คาราวะท่านลุงเจ้าค่ะ” เย่วซินย่อกายเคารพท่านลุงแท้ๆของตนเองอย่างอ่อนน้อมงดงาม ท่านลุงแม้จะดูมีอายุมากแล้วแต่ท่านก็ยังดูหล่อเหลาเหมือนคนวัยสามสิบปลายๆเพียงเท่านั้น
“มาใกล้ๆลุงสิซินเอ๋อร์ ลุงขอกอดเจ้าหน่อยได้หรือไม่” ซูหลวนซานลุกยืนขึ้นแล้วเอ่ยถามหลานสาวที่เพิ่งได้พบเป็นครั้งแรก แต่ความรู้สึกรักใคร่เอ็นดูกลับมีมากล้นเขาไม่เคยได้สัมผัสและอยู่ใกล้หลานสาวคนนี้ แม้เพิ่งได้มีวาสนาพบกันแต่เขาก็อยากโอบกอดหลานสาวสักครั้งหนึ่ง
เย่วซินที่ได้ยินเช่นนั้นก็ไม่อิดออดก้าวเท้าเข้าหาท่านลุงด้วยหัวใจอุ่นซ่าน นางเห็นดวงตาคมดุสั่นระริกแววตาคู่นั้นนางสัมผัสได้ถึงความรักความอบอุ่นที่ออดมองมา เย่วซินสวมกอดร่างสูงใหญ่พร้อมซุกซบใบหน้าเข้าอกแกร่ง น้ำตาแห่งความตื้นตันใจดีใจไหลออกมาอย่างห้ามไม่อยู่
จิวอิงลุกขึ้นยืนแล้วสวมกอดซบอิงแอบแนบแก้มกับอกแกร่งที่ยังว่างอยู่เช่นกัน พร้อมกับน้ำตาแห่งความดีใจก็พลันไหลออกมาเช่นกัน ไม่ต่างกับเสี่ยวชิงที่ตอนนี้ร้องไห้แถมสะอึกสะอื้นเพราะความตื้นตันใจอย่างสุดซึ้งกับภาพตรงหน้า
มือหนาหยาบกร้านลูบศีรษะทุยเล็กทั้งสองที่แอบอิงอยู่บนอกแกร่งอย่างเบามือ ใบหน้าคร้ามแดดดุดันตอนนี้ดูเศร้าหมองแต่ก็ยังมีริ้วรอยแห่งความสุขพาดผ่านเช่นกัน
“ลุงขอโทษที่ไม่อาจดูแลปกป้องพวกเจ้าได้ ลุงของพวกเจ้าช่างไร้ค่ายิ่งนัก” เสียงทุ้มเครือเอ่ยออกมาด้วยความเจ็บปวดรวดร้าวใจที่มีต่องร่างเล็กของหลานสาวทั้งสอง
หลังจากร่ำลาและแยกย้ายกันเรียบร้อยจิวอิงก็หยิบครีมไข่มุกของท่านปู่ออกมาทาเช่นเดิม ส่วนเย่วซินก็จัดการงานที่โรงเตี๊ยมอีกนิดหน่อยก็เดินทางกลับจวนพร้อมกับพี่เย่วเทียนที่มารอรับตั้งแต่ตอนเย็นจนตอนนี้แสงจากดวงอาทิตย์ได้ลับไปแล้ว
กลางยามโฉว่(01.00-02.59) จวนแม่ทัพใหญ่ยามผู้คนในจวนต่างหลับใหลมีเพียงทหารเฝ้ายามและเหล่าผู้คุ้มกันเพียงเท่านั้นที่ยังทำหน้าที่ดูแลความปลอดภัยกันอย่างขันแข็ง จู่ๆก็เกิดมีแมลงฝูงใหญ่บินว่อนมายังจวนแม่ทัพใหญ่อย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย
ทหารบางคนไม่ทันได้ตั้งตัวก็ถูกแมลงบินพวกนั้นพุ่งเข้าใส่แล้วเป็นอันต้องล้มลงสิ้นใจอย่างง่ายดาย เหล่าทหารและคนคุ้มกันรับรู้ว่าแมลงบินพวกนี้มีพิษโดยสังเกตจากเหล่าทหารที่ล้มลงดวงตาเบิกค้างริมฝีปากยังเป็นสีม่วงคล้ำ ผู้คุ้มกันส่วนหนึ่งรีบเข้าไปแจ้งแก่ประมุขของจวนและคนอื่นๆภายในจวนให้รับรู้ อีกส่วนหนึ่งก็หยิบกระบี่ของตนเข้ากวัดแกว่งต่อสู้กับเจ้าแมลงร้ายไม่ให้เข้ามาทำร้ายตัวเองได้
“เรียนท่านแม่ทัพใหญ่มีฝูงแมลงพิษบินเข้ามาภายในจวนโปรดระวังตัวด้วยขอรับ” เสียงของคนคุ้มกันฝีมือดีของจวนแม่ทัพดังอยู่หน้าประตูห้องนอนประมุขของจวน
แม่ทัพใหญ่ผู้เกรียงไกรฝึกวิชามากล้าแกร่งย่อมต้องได้ยินคำพูดของคนคุ้มกันเป็นอย่างดี จึงลุกขึ้นจากเตียงนอนแล้วเดินไปหยิบเสื้อมาคลุมกายให้เรียบร้อย จากนั้นก็รีบเรียกภรรยาที่นอนข้างกายให้ตื่นแล้วให้นางอันเป็นที่รักหลบซ่อนกายอยู่ภายในตู้ทึบใส่อาภรณ์ที่ทำจากไม้ แม้จะอึดอัดเสียหน่อยแต่ก็ยังดีกว่าต้องเผชิญหน้ากับฝูงแมลงพิษพวกนั้น
“ท่านพี่ระวังตัวด้วยนะเจ้าคะฝากดูแลหนี่เอ๋อร์ด้วย” เสียงสตรีเอ่ยบอกสามีด้วยความเป็นห่วงปนกังวลและเอ่ยฝากฝังบุตรสาวที่นอนอยู่อีกเรือนแม้จะกังวลมากเพียงใดแต่ก็ไม่อยากให้สามีต้องพะว้าพะวงจึงได้แต่ทำตามคำสั่งของสามีแต่โดยดี
แม่ทัพใหญ่พยักหน้าตอบรับแล้วรีบปิดบานประตูตู้ทึบ จากนั้นก็หยิบกระบี่ของตนเดินออกจากเรือนมุ่งหน้าไปยังเรือนนอนของบุตรสาว เมื่อออกจากเรือนนอนของตนมาก็พบว่ามีฝูงแมลงบินเริ่มเข้ามาภายในจวนบ้างแล้ว
ทางด้านจิ้นฝานเมื่อได้ยินว่ามีฝูงแมลงพิษบินเข้ามาภายในจวนก็รีบลุกขึ้นสวมใส่เสื้อคลุมกายให้มิดชิดแล้วรีบออกมายังด้านนอก เขาหยิบกระบี่ขึ้นมาปัดป้องตนเองจากเหล่าแมลงร้ายและสังเกตเห็นทหารเฝ้ายามบางส่วนถูกพิษของพวกแมลงล้มตายกันบางส่วนจึงเอ่ยสั่งคนคุ้มกันคนสนิท
“เจ้าไปแจ้งแก่คุณชายเย่วฉีที่จวนตระกูลหมิงว่าจวนท่านแม่ทัพถูกแมลงพิษอาละวาดต้องการหมอมาดูอาการอย่างเร่งด่วน”
“ขอรับ” สิ้นเสียงคำสั่งคนคุ้มกันคนสนิทก็รีบทะยานขึ้นที่สูงแล้วใช้วิชาตัวเบาเร่งเดินทางไปยังที่หมายทันที
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: คู่แฝดคู่ป่วน
รอนะคะ อัพต่อหน่อยค่า...