เย่วซินทำหน้าหงอยอยู่ในห้องส่วนตัวที่ประมุขจ้าวให้คนจัดเตรียมเอาไว้ให้ แถมยังมีกระดาษจดรายละเอียดงานสาวใช้มาให้อีก ที่น่าเศร้ากว่านั้นคือจางฮั่นและจางฮ่าวมาส่งข่าวให้ทราบเรื่องที่อิงอิงต้องเดินทางมาถึงล่าช้า ที่นี่มีแต่บุรุษแม้มันจะเจริญหูเจริญตามากแต่มันก็เหงาปากเพราะขาดคู่เม้าท์มอยอยู่ดี
“นี่ข้าต้องเข้าครัวด้วยหรือ?ไม่นะ..” เย่วซินอ่านข้อความบนกระดาษเมื่อรู้ว่าตนเองมีหน้าที่ทำอาหารให้ประมุขจ้าวก็เกิดอาการต่อต้านทันที
“ก๊อกๆๆ...” เสียงเคาะประตูดังขึ้นเย่วซินจึงเดินไปเปิดทันที
“ท่านซานจิ่นมีอะไรหรือเปล่าเจ้าคะ” เย่วซินเอ่ยถาม
“เอ่อ...คือว่า...ท่านประมุขให้คุณหนูเตรียมอาหารมื้อเย็นด้วยขอรับ” ซานจิ่นเอ่ยด้วยท่าทีลำบากใจและไม่เข้าใจเหตุใดท่านประมุขถึงต้องให้คุณหนูเย่วซินทำหน้าที่เป็นสาวใช้ด้วย แล้วอย่างนี้จะยิ่งทำให้คุณหนูเย่วซินไม่พอใจหรือ เพราะเท่าที่สังเกตทุกวันนี้ท่านประมุขและคุณหนูเย่วซินเจอกันทีไรต้องลับฝีปากกันทุกครา
“ตอนนี้เลยหรือข้ายังไม่ได้เตรียมตัวเตรียมใจเลย” เย่วซินเอ่ย
“คุณหนูอย่ากังวลทางห้องครัวจัดเตรียมทุกอย่างไว้เรียบร้อยแล้ว เชิญตามมาทางนี้เลยขอรับ” ซานจิ่นเอ่ยพร้อมเดินนำทางไปยังห้องครัว ที่ตอนนี้ไม่มีผู้ใดอยู่เลยเพราะท่านประมุขมีคำสั่งให้ทุกคนออกไปจากห้องครัวจนกว่าคุณหนูเย่วซินจะทำอาหารเสร็จสิ้น
“ข้าไม่ได้ห่วงเรื่องวัตถุดิบทำอาหาร แต่ข้าไม่เคยทำอาหารเกรงว่าจะไม่ถูกปากท่านประมุขจ้าว” เย่วซินเอ่ยขณะที่กำลังเดินตามคนสนิทของท่านประมุขมายังห้องครัว
“ข้าน้อยได้ข่าวว่าคุณหนูคิดค้นเมนูต่างๆของโรงเตี๊ยมจนโด่งดังเป็นที่กล่าวขาน” ซานจิ่นเอ่ยและตนก็เคยลิ้มลองมาแล้วเช่นกัน
“ข้าใช้หัวคิดแต่ไม่เคยลงมือทำเองเลยเจ้าค่ะเลยรู้สึกประหม่าเล็กน้อย” เย่วซินเอ่ย
“ท่านประมุขกินง่ายไม่เรื่องมากคุณหนูวางใจเถิด ถึงห้องครัวแล้วเชิญคุณหนูตามสบายต้นยามซวี(19.00-20.59)จะให้บ่าวมายกสำรับไปที่ห้องโถงข้าน้อยขอตัวขอรับ” ซานจิ่นเมื่อหมดหน้าที่ของตนก็เอ่ยลาและเดินจากไปทันที
เย่วซินมองไปรอบๆห้องพบว่าที่นี่มีอุปกรณ์เครื่องครัวครบครันพร้อมทั้งวัตถุดิบสำหรับปรุงอาหาร เย่วซินเมื่อชาติภพก่อนมีหน้าที่เป็นผู้ช่วยเชฟช่วยจัดเตรียมวัตถุดิบต่างๆในการปรุงอาหาร นางไม่เคยได้ลงมือปรุงเองเลยแต่ถึงอย่างนั้นก็ไม่ใช่เรื่องยากเพราะนางเฝ้ามองการปรุงอยู่ข้างเตาตลอดเวลา
ตลอดชีวิตของการทำงานในชาติภพก่อนนางเหน็ดเหนื่อยมาทั้งชีวิตผิดพลาดมาก็หลายครั้ง จึงตั้งใจเล่าเรียนเพื่ออนาคตที่สดใสจะได้ไม่ต้องลำบากอย่างที่เคย แต่ยังไม่ทันได้ถีบตัวเองออกมาจากห้องอาหารของโรงแรมก็ต้องมาตายเสียก่อน มาชาตินี้เย่วซินจึงไม่ค่อยได้เข้าครัวเท่าไรนักทำตัวราวกับว่าห้องครัวเป็นของต้องห้ามสำหรับตัวเองอย่างไรอย่างนั้น
“ได้...ข้าจะทำให้สุดฝีมือเลย” เย่วซินเอ่ยกับตัวเอง จากนั้นก็เตรียมลงมือทำอาหารง่ายๆสี่อย่างคือไข่เจียวหมูสับ ผัดผักรวมมิตร หมูสามชั้นทอดผัดพริกแห้งและต้มจืดแตงกวายัดไส้ เมื่อทำอาหารเสร็จก็มีบ่าวชายมารอรับอาหารไปทันที
เย่วซินเดินตามบ่าวชายมายังห้องอาหารเพราะหน้าที่ของนางยังไม่จบ ต้องคอยดูแลท่านประมุขยามทานมื้ออาหารอีก เมื่อบ่าวจัดโต๊ะเรียบร้อย เย่วซินรีบตัดข้าวสวยใส่ถ้วยให้คนที่นั่งรออยู่ทันที
“ตักของเจ้าด้วย” จ้าวไท่เหว่ยเอ่ย
“ไม่ดีกว่าข้ากินมาจากครัวแล้ว เชิญท่านประมุขตามสบายเจ้าค่ะ” เย่วซินเอ่ยปัด
“มื้อต่อไปมานั่งกินพร้อมกัน แม้ตอนนี้เจ้ามีหน้าที่รับใช้ข้าแต่อย่างไรเสียเจ้าก็ถือเป็นแขกของข้าเช่นกันข้าไม่อาจละเลยได้” จ้าวไท่เหว่ยเอ่ยสั่ง
“ขอบคุณที่เมตตาเจ้าค่ะ” เย่วซินกัดฟันเอ่ยอย่างว่าง่าย แต่ในใจราวกับมีไฟแผดเผา เป็นแขกอย่างนั้นหรือหึ..
จ้าวไท่เหว่ยมองอาหารที่วันนี้ดูน่ากินกว่าทุกมื้อ ไม่ผิดหวังจริงๆที่ให้นางเข้าครัว จ้าวไท่เหว่ยคิดในใจพร้อมกับคีบหมูสามชั้นขึ้นมาใส่ปาก เมื่อหมูเข้าปากก็ต้องชะงักอยากจะคายออกมาเสียตอนนั้น แต่เมื่อมองเห็นดวงตากลมโตที่มองมาอย่างยิ้มเยาะแล้วจำต้องกลืนหมูลงคอไป แล้วรีบตักต้มจืดขึ้นมาซดหวังจะให้มันดับความเผ็ดร้อน แต่ก็ต้องชะงักอีกครั้งเพราะต้มจืดมันไม่จืดอย่างที่คิดมันกลับเค็มจนแทบกลืนไม่ลง
ทางด้านเมืองหลวงจิวอิงในตอนนี้ไม่ได้ทาหน้าดำอย่างเคย เพราะใบหน้ายามนี้ก็ไม่ได้น่าพิศเท่าใดนักยามออกนอกจวนจึงใช้เพียงผ้าคาดปิดบังใบหน้าเพียงเท่านั้น ด้วยความเหมือนกันจนแยกไม่ออกจึงมีผู้คนด้านนอกเข้าใจผิดคิดว่านางคือเย่วซิน แต่กระนั้นจิวอิงก็ไม่เอ่ยอธิบายเพียงแต่ยิ้มรับเท่านั้น ที่จิวอิงไม่ได้ทาหน้าดำนั้นแท้จริงแล้วเพียงเพราะต้องการพิสูจน์บางอย่างเท่านั้น
ระหว่างที่จิวอิงเดินทางออกจากจวนไปยังร้านผ้าตามปกติอย่างเช่นเคยก็พลันมีวัตถุบางอย่างลอยผ่านผ้าม่านของรถม้าเข้ามาด้านในโชคดีทีนางหลบได้ทัน แต่ยังไม่ทันได้ตั้งตัวก็ได้ยินเสียงต่อสู้ดังอยู่ด้านนอกจิวอิงจึงเปิดผ้าม่านออกดูจึงเห็นหยวนเค่อกำลังต่อสู้กับชายชุดดำอยู่หลายคน
ปลายกระบี่พุ่งเข้ามาอย่างรวดเร็วจากคนร้ายแต่จิวอิงเบี่ยงหลบได้ทัน ไม่เพียงเท่านั้นยังมีกระบี่อีกเล่มปักเข้ามาภายในรถม้า จิวอิงรีบดีดกายออกจากรถม้าทันทีพร้อมดึงร่างของพี่เสี่ยวชิงออกมาด้วยเพราะขืนอยู่ภายในมีหวังโดนกระบี่เสียบร่างเป็นแน่
“คุณหนูระวังเจ้าค่ะ” เสี่ยวชิงเอ่ยเตือนด้วยน้ำเสียงสั่นเทา
“เจ้าค่ะ” จิวอิงตอบรับพร้อมยกกระบี่ในมือปัดป้องและสู้กลับด้วยกระบวนท่าที่ตนเองฝึกซ้อมมา จิวอิงทั้งรุกทั้งรับต่อสู้ได้อย่างดีเยี่ยมไม่ให้ครูฝึกต้องผิดหวัง
หยวนเค่อต่อสู้กับกลุ่มคนร้ายหลายจำนวนพวกมันฝีมือไม่ธรรมดา จึงอดเป็นห่วงผู้เป็นนายไม่ได้ครั้นเมื่อลอบมองมาเห็นร่างบางตวัดกระบี่อย่างคล่องแคล่วว่องไวก็พลันโล่งใจ เมื่อสบโอกาสหยวนเค่อจึงจุดพลุขอความช่วยจากคนของตนที่อยู่บริเวณใกล้เคียง เพราะคนร้ายมีจำนวนมากอย่างไรก็เสียเปรียบชีวิตของนายหญิงสำคัญที่สุด เพียงไม่นานคนของตนก็เข้ามาช่วยเหลืออย่างทันท่วงที คนร้ายเมื่อเห็นว่ามีคนเข้ามาช่วยเหลือพวกมันก็จุดควันพิษและอาศัยช่วงชุลมุนเร้นกายหายไปทันที
“คุณหนูบาดเจ็บตรงไหนหรือไม่ขอรับ” หยวนเค่อเอ่ยถามผู้เป็นนาย
“ไม่เป็นไรเจ้าค่ะ เรารีบไปกันเถิด” จิวอิงเอ่ยพร้อมกวาดสายตามองร่างชายชุดดำที่นอนแน่นิ่งจมกองเลือดอยู่จำนวนไม่น้อย
“คุณหนูอย่าได้กังวลข้าน้อยจะสั่งให้ตนเก็บกวาดอย่างดีและรีบแจ้งให้องค์ชายใหญ่รับรู้ขอรับ” หยวนเค่อเอ่ย
“ขอบใจท่านมาก” จิวอิงเอ่ยจบก็จูงมือพี่เสี่ยวชิงขึ้นรถม้าและเดินทางไปยังร้านผ้าของตนต่อทันที จิวอิงผ่านเรื่องราวการต่อสู้มาหลายครั้งจึงทำให้จิตใจเข้มแข็งและไม่รู้สึกหวาดกลัวเหมือนอย่างคราแรก จิวอิงตระหนักอยู่ตลอดเวลาว่าถ้านางได้รับบาดเจ็บน้องสาวก็ต้องได้รับบาดแผลนั้นด้วยเช่นกัน
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: คู่แฝดคู่ป่วน
รอนะคะ อัพต่อหน่อยค่า...