คู่แฝดคู่ป่วน นิยาย บท 70

“ความจริงเจ้าไม่ต้องลำบากมากับข้าก็ได้ลู่ซือ” จ้าวไท่เหว่ยเอ่ยขณะกำลังเดินดูธารน้ำตกว่ามีสิ่งผิดปกติหรือไม่ เพราะอาการป่วยของชาวบ้านไม่น่าจะใช่โรคติดต่อ เพราะเหล่าลูกพรรคและหมอที่มาช่วยนั้นต่างก็ไม่ได้ติดเชื้อเหล่านั้น

“ข้าไม่ลำบากเลย... ท่านยังไม่ให้อภัยข้าอีกหรือ?” กวนลู่ซือเอ่ยถามชายที่เคยเป็นคนรักถ้าไม่ใช่เพราะความหลงผิดชั่ววูบป่านนี้ก็คงจัดงานมงคลกันไปแล้ว แต่มันยังคงไม่สายไท่เหว่ยเองก็ยังไม่มีสตรีใดแสดงว่าเขายังไม่ลืมความรักที่มีให้กับตนเอง

“ข้าไม่เคยโกรธเจ้า” จ้าวไท่เหว่ยเอ่ยเพียงสั้นๆพลางสอดส่ายสายตามองหาสิ่งผิดปกติไปเรื่อย เมื่อหลายปีก่อนเขาและนางเคยมีใจต่อกันตอนนั้นเขายังไม่ได้สืบทอดตำแหน่งประมุขพรรค บิดาของนางอยากให้บุตรสาวคบหากับคนที่ดีที่สุดจึงจัดการหมั้นหมายนางกับประมุขพรรคกิเลน แต่เมื่อไม่นานมานนี้ได้ข่าวว่านางถอนหมั้นแล้ว

“เช่นนั้นเรากับมาเป็นเหมือนเดิมได้หรือไม่” กวนลู่ซือเอ่ย

จ้าวไท่เหว่ยชะงักเท้าเมื่อได้ยินที่ลู่ซือเอ่ย เมื่อตอนที่นางบอกเขาว่าได้หมั้นหมายกับชายอื่นตอนนั้นเขาเสียใจเป็นอย่างมาก เขาและนางรู้จักกันมาตั้งแต่เล็กผูกพันธ์กันมานาน แม้นางจะหมั้นหมายกับชายอื่นแต่ความรักความห่วงใยยังมีให้นางไม่เปลี่ยนเพียงแต่ในฐานะพี่น้องเพียงเท่านั้นไม่ใช่ความรักแบบชายหญิงอีกต่อไปแล้ว

“ข้ายังรักและห่วงใยเจ้าเหมือนเดิมเพียงแต่ความรักของชายหญิงข้าไม่อาจให้เจ้าได้อีก” จ้าวไท่เหว่ยเอ่ยเสียงเรียบ

“เพราะเหตุใดกัน หรือว่าท่านมีคนรักแล้ว” กวนลู่ซือเอ่ยถามรู้สึกเสียใจแต่ก็ยังไม่ยอมแพ้ตลอดเวลานางติดตามข่าวคราวของเขาตลอดจึงรู้ว่าเขายังไม่มีใครข้างกาย

“ใช่...ข้ามีคนรักแล้ว” จ้าวไท่เหว่ยเอ่ยแบบส่งๆเพื่อให้นางตัดใจเลิกยุ่งกับเขาอีก

“โกหก ท่านยังไม่มีใครอย่ามาหลอกข้าดีกว่า” กวนลู่ซือเอ่ยด้วยความมั่นใจ

“ตามใจ” เอ่ยจบจ้าวไท่เหว่ยก็เร่งฝีเท้ากระโดดขึ้นไปยังต้นน้ำด้านบนสุด และเมื่อค้นหาโดยรอบก็พบบางอย่างที่ผิดปกติจึงรีบเก็บกลับไปตรวจสอบทันที

เมื่อกลับมายังหมู่บ้านเห็นกระโจมใหญ่เพิ่มขึ้นมาอีกสองหลังและมีการขนย้ายคนป่วยดูทุกคนวุ่นวายไปหมด แต่สายตาพลันสะดุดกับร่างเล็กที่เดินไปมามันช่างคุ้นเคยยิ่งนักแต่นางจะมาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร จ้าวไท่เหว่ยก้าวเท้าเดินเข้าไปใกล้ๆเพื่อตรวจดูความแน่ใจ

“เย่วซิน?” จ้าวไท่เหว่ยเอ่ยเรียก

“อ้าว...ท่านประมุขจ้าว ท่านมาอยู่ที่นี่ด้วยหรือ?โลกกลมจัง” เย่วซินหันมาตามเสียงเรียกก็พบว่าเป็นประมุขจ้าวผู้บ้าอำนาจนั่นเอง ที่เขาบอกว่ามีงานด่วนคือเรื่องนี้นี่เองแล้วเหตุใดจึงไม่ยอมชวนนางมาด้วยนะ เย่วซินคิดพลางเหลือบตามองเห็นสตรีหน้าตางดงามผู้หนึ่งกำลังเดินเข้ามาใกล้ๆพอดี อ้อ...เป็นเช่นนี้นี่เองร้ายไม่เบาเลยนะ

“ท่านรู้จักนางด้วยหรือ?” กวนลู่ซือเอ่ยถามสายตากวาดมองสตรีตรงหน้าแต่นางคาดผ้าปิดบังใบหน้าเอาไว้จึงไม่อาจรับรู้ได้ว่าภายใต้ผ้าผืนนั้นนางงดงามหรือไม่ แต่เท่าที่มองผ่านๆนางนับว่างดงามพอได้

“นางคือคนรักของข้าเอง” จ้าวไท่เหว่ยเอ่ยบอกลู่ซือด้วยน้ำเสียงราบเรียบ ฉุกคิดแผนการได้อย่างกะทันหัน

“เอ่อ...เดี๋ยวนะ...ใครคือ” เย่วซินเอ่ยน้ำเสียงติดขัดเพราะไม่แน่ใจว่าตนเองฟังผิดหรืออย่างไรแต่ยังไม่ทันได้เอ่ยจบประมุขจ้าวก็เอ่ยแทรกขึ้นมาเสียก่อน

“ข้าขอตัวก่อนนะลู่ซือ” จ้าวไท่เหว่ยเอ่ยเพียงเท่านั้นก็คว้าแขนของเย่วซินฉุดรั้งมาตามแรงแล้วเดินหลบมาอีกด้านหนึ่งที่ปลอดผู้คน

“ท่านประมุขท่านเล่นอะไรของท่านอีกเนี่ย...ข้าตามไม่ทันแล้วนะ” เย่วซินเอ่ยเสียงดังโวยวายทันทีที่เขาหยุดเดิน

“ช่วยแกล้งเป็นคนรักของข้าหน่อย” จ้าวไท่เหว่ยเอ่ยขอร้อง

“ไม่เอา!!” เย่วซินกอดอกเชิดหน้าตอบทันที

จ้าวไท่เหว่ยหยิบปิ่นหยกขาวออกมาจากแหวนจัดเก็บทันที “เจ้าไม่ต้องการมันแล้วหรือ?”

“คืนมันมาให้ข้าก่อน” เย่วซินเอ่ยต่อรองเมื่อเห็นว่าครั้งนี้ตนเองเป็นต่อ

“เจ้าแน่ใจนะว่าถ้าคืนแล้วจะไม่เบี้ยวข้า” จ้าวไท่เหว่ยลังเลไม่เชื่อใจในความแสบของคนตรงหน้า

“ท่านเห็นข้าเป็นคนอย่างไรกัน”

“เจ้ามันตัวแสบไว้ใจไม่ได้นะสิ” จ้าวไท่เหว่ยเอ่ยตามความจริง

“เถอะน่า...ข้ายังมีสัจจะอยู่บ้าง คืนมาเดี๋ยวนี้เลยเร็วๆ” เย่วซินแบมือเตรียมรอรับของสำคัญอย่างใจจดใจจ่อ พร้อมเร่งเร้าให้เขารีบตัดสินใจ

จ้าวไท่เหว่ยไม่มีทางเลือกจึงตัดสินใจส่งปิ่นหยกคืนเจ้าของ เย่วซินรับปิ่นหยกมาก็รีบสำรวจพร้อมกอดแนบอกอย่างรักใคร่จากนั้นก็มองตาขวางใส่คนร่างสูงทันที

“มองข้าแบบนี้หมายความว่าอย่างไรหรือว่าจะเบี้ยว...” จ้าวไท่เหว่ยเอ่ยเมื่อมองหน้าคนร่างเล็กที่จ้องมองเขาด้วยสายตาโกรธเคือง

“ใช่นะสิ.ง.” เย่วซินเอ่ยจบเตรียมก้าวเท้าเดินหนี แต่ก็ยังช้ากว่าคนร่างสูงที่เอื้อมมือมาฉุดรั้งแขนนางเอาไว้อย่างแรงจนร่างเซเข้าไปปะทะอกของเขาเต็มแรง

จ้าวไท่เหว่ยกอดรัดคนร่างเล็กเอาไว้แน่นไม่ให้นางหนีเขาไปได้ ยายตัวแสบจอมหลอกลวงคิดจะหนีเขาพ้นหรือ

“ปล่อยข้าก่อนข้าหายใจไม่ออก” เย่วซินดิ้นไปมาแต่แขนของเขาแข็งแรงเกินไปดิ้นเท่าไรก็ไม่ขยับเลยสักนิด

“เจ้าหลอกลวงข้าหรือ? ถ้าไม่ยอมช่วยเหลือข้าก็ไม่ปล่อยจะกอดเอาไว้อย่างนี้แหละ” จ้าวไท่เหว่ยเอ่ยพร้อมกระชับวงแขนแน่นขึ้นอีก

“ยอมแล้วๆปล่อยๆข้าจะตายอยู่แล้ว” เย่วซินเอ่ยเสียงดัง เมื่อร่างกายถูกคลายจากความอึดอัดก็พลันโล่งใจรีบหายใจเข้าปอดรัวเร็ว

“ท่านไม่ชอบนางก็บอกไปตามตรงสิ เหตุใดต้องหาข้ออ้างมาหลอกนางด้วยเล่า” เย่วซินเอ่ยถามด้วยความสงสัย

“ถ้าข้ายังไม่มีคนรักข้างกายนางคงไม่ยอมเลิกราง่ายๆหรอกนางดื้อรั้นยิ่งนัก” จ้าวไท่เหว่ยเอ่ย

“ดูท่าทางท่านจะรู้ใจนางมากเลยนะ” เย่วซินเอ่ยถามแต่ท่าทีของประมุขจ้าวไม่ค่อยให้ความร่วมมือเท่าใดนักยืนนิ่งไม่ยอมตอบ “ถ้าท่านไม่เล่าให้ข้าฟังเช่นนั้นก็ตัวใครตัวมันละกัน”

“นางคือคนรักเก่าของข้า แต่เราเลิกรากันไปนานแล้ว...” จากนั้นจ้าวไท่เหว่ยก็เอ่ยเล่าเรื่องราวของตนกับลู่ซือให้เย่วซินรับรู้ไม่เช่นนั้นนางก็ไม่ยอมร่วมมือกับเขา

“เจ้าทำอันใดหรือ?” หยางปิงเอ่ยถามอย่างสงสัยเมื่อเห็นสิ่งแปลกตาตรงหน้า

“หม่อมฉันทำงานอยู่ งานด่วนด้วย” เย่วซินเอ่ย

“แต่เจ้าต้องกินอะไรบ้างถ้าล้มป่วยไปพี่ชายของเจ้าเล่นงานข้าตายแน่” หยางปิงเอ่ย

“หม่อมฉันก็นึกว่าพระองค์ห่วงใยที่แท้ก็กลัวโดนพี่เย่วเทียนเล่นงานนี่เอง”

“นั่นก็ส่วนหนึ่ง ถ้าเจ้าไม่ออกไปข้าจะให้คนยกอาหารมาให้ก็แล้วกัน” หยางปิงเอ่ยบอก เมื่อเห็นว่านางกำลังตั้งใจก็ไม่อยากรบเร้า

“ขอบพระทัยล่วงหน้าเพคะ”

เสียงฝีเท้าขององค์ชายลั้นลาหยางปิงออกไปได้เพียงครู่ก็ได้ยินฝีเท้าของคนใหม่เข้ามาสงสัยองค์ชายลั้นลาให้คนยกอาหารมาให้ เย่วซินจึงเอ่ยบอกทันทีโดยที่ไม่ได้เงยหน้าขึ้นมามอง

“เอาอาหารวางไว้บนโต๊ะเลยเจ้าค่ะ ขอบคุณมาก” เย่วซินเอ่ย

“ยุ่งขนาดที่ไม่ยอมกินข้าวสงสัยข้าคงต้องป้อนเจ้าแล้วกระมัง” จ้าวไท่เหว่ยเอ่ยพร้อมก้าวเท้ามายืนด้านหลังเพื่อมองให้ชัดเจนว่านางกำลังทำอะไร เมื่อเห็นข้าวของบนโต๊ะมากมายก็แปลกใจ

“ของพวกนี้เจ้าซื้อมาจากเรือสินค้าหรือ?” จ้าวไท่เหว่ยเอ่ยถาม

“เจ้าค่ะมันช่วยให้ข้าทำงานง่ายขึ้นมาก” เย่วซินตอบพร้อมเงยหน้ามองไปยังคนตัวสูงที่ยืนอยู่ด้านหลัง

“เจ้าใช้ประโยชน์จากสิ่งของพวกนี้คล่องแคล่วนัก แล้วยังภาษาที่สื่อสารกับพวกเขาอีกจึงทำให้ข้าประหลาดใจยิ่งนัก แล้วใบหน้าของเจ้าหายดีแล้วหรือ?” จ้าวไท่เหว่ยเอ่ยถามด้วยความสงสัยเป็นอย่างยิ่ง เพราะก่อนหน้าใบหน้าของนางยังมีรอยแดงอยู่

“ใบหน้าของข้าเพียงทาครีมของปีเตอร์ปกปิดเอาไว้ ส่วนเรื่องของข้าข้ามีเรื่องให้ท่านประหลาดใจอีกมากเจ้าค่ะ จบงานนี้แล้วท่านพาข้าไปท่าเรืออีกได้หรือไม่” เย่วซินเอ่ยถามด้วยใบหน้ายิ้มพร้อมกระพริบตาปริบๆเพื่ออ้อนวอน

“ขึ้นอยู่กับความพึงพอใจของข้า ถ้าเจ้าไม่ดื้อข้าย่อมตามใจ” จ้าวไท่เหว่ยเอ่ยด้วยน้ำเสียงเป็นต่อ จะปราบเด็กแสบมันต้องมีข้อต่อลองกันสักหน่อย

“ชิ...ข้าไม่ง้อท่านก็ได้คนอื่นมีเยอะแยะ” เย่วซินหน้างอบ่นอุบอิบ แล้วลุกขึ้นไปนั่งทานอาหารที่ประมุขจ้าวเป็นคนยกมาให้และเขาก็นั่งกินด้วยเช่นกัน

“ท่านแน่ใจนะว่าจะให้ข้าแกล้งเป็นคนรักของท่าน ใบหน้าข้าสิอัปลักษณ์เช่นนี้ท่านไม่อายคนอื่นหรือ?” เย่วซินเอ่ยถามอีกครั้งเพื่อความแน่ใจ

“ข้าไม่สน ใบหน้าเจ้าก็ไม่ได้น่าเกลียดสักหน่อย”

“ตามใจ แล้วอย่ามาโทษข้าว่าไม่เตือนแล้วกัน”

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: คู่แฝดคู่ป่วน