“พาข้าไปเดี๋ยวนี้”
กู้ชูหน่วนพยุงนักฆ่าโลหิตขึ้น ราวกับจะลากเขาไปทันที
ความเร็วของนางนั้นเร็วมาก เร็วจนนักฆ่าโลหิตไม่อาจลืมตาได้เนื่องจากลมแรง
ไม่รู้ว่าวิ่งมานานแค่ไหน ในที่สุดพวกเขาก็มาหยุดอยู่ใต้หน้าผาแห่งหนึ่ง
นักฆ่าโลหิตกล่าวออกมาว่า “นายท่านได้สร้างค่ายกลล้อมรอบที่แห่งนี้ไว้ ข้าไม่อาจเข้าไปด้านในได้”
กู้ชูหน่วนมองไปรอบ ๆ พยายามสัมผัสถึงการผันผวนของค่ายกล แต่กลับสัมผัสอะไรไม่ได้เลย
นางเชื่อ นักฆ่าโลหิตกล่าวว่าที่นี่มีค่ายกล ที่นี่จะต้องมีค่ายกลอย่างแน่นอน
อาม่อมีนิสัยแปลกประหลาด ปกติแล้วคนที่อยู่ข้างกายเขาก็มีเพียงนักฆ่าโลหิตเท่านั้น
“คุณหนูสาม ท่านสามารถทำลายค่ายกลได้หรือไม่?”
คำถามนี้เป็นคำถามที่กู้ชูหน่วนไม่อาจให้คำตอบได้
แม้แต่การผันผวนของค่ายกลนางยังสัมผัสไม่ได้ เช่นนั้นนางจะทำลายมันได้อย่างไร
และทักษะในเรื่องค่ายกลของอาม่อนั้นพัฒนาขึ้นเป็นอย่างมาก
กู้ชูหน่วนแตะกำแพงหินตลอดทาง หลับตาและครุ่นคิด ในที่สุดนางก็นั่งลง ใช้หัวใจสัมผัสระหว่างสิ่งแวดล้อมที่เป็นช่องว่างระหว่างกำแพงและหน้าผา
ทันใดนั้นนางก็ลืมตาขึ้น และอดที่จะหัวเราะออกมาไม่ได้
“ไม่แปลกเลยว่าเหตุใดจึงไม่สามารถสัมผัสได้ถึงการผันผวนของค่ายกลนี้”
นักฆ่าโลหิตถามออกมาด้วยความดีใจ “คุณหนูสาม ท่านพบหนทางในการทำลายค่ายกลแล้วอย่างนั้นหรือ?”
พวกเขาสงสัยว่านายท่านจะอยู่ด้านในของค่ายกลกระบวนนี้ หาหนทางมากมายในการทำลายมัน แต่ไม่ว่าจะทำเช่นไรก็ไม่อาจทำลายมันได้
ไม่เพียงแค่พวกเขา แม้แต่ยอดฝีมือขั้นสูง รวมถึงผู้แข็งแกร่งแห่งรัฐฉู่และบุคคลลึกลับที่อยู่เบื้องหลังของรัฐฉู่ผู้นั้นก็ยังไม่รู้สึกว่าที่นี่มีค่ายกลอยู่
กู้ชูหน่วนส่ายหน้า “ไม่มี”
ใบหน้าแห่งความดีใจของนักฆ่าโลหิตแข็งทื่อในทันใด
“แต่ หากค่ายกลกระบวนนี้ แม้แต่ข้ายังไม่สามารถทำลายมันได้ เช่นนั้นก็ไม่มีใครสามารถทำลายมันได้แล้ว”
ความหวังของนักฆ่าโลหิตเปล่งประกายขึ้นมาอีกครั้ง
“คุณหนูสาม ท่านมีวิธีการทำลายมันหรือไม่”
“ไม่มี”
“คุณหนูสาม นี่มันเวลาไหนแล้ว เหตุใดท่านยังคงเหมือนเดิมไม่เคยเปลี่ยน ชอบหยอกล้อข้าเหมือนเมื่อก่อน”
กู้ชูหน่วนชักมีดออกมาจากเอวของนาง และกรีดไปที่ข้อมือของตนเอง
น้ำเลือดหลั่งไหลออกมา กู้ชูหน่วนหยดเลือดเหล่านั้นไว้บนหน้าผา
“คุณหนูสาม นี่ท่าน......”
ด้วยการหลั่งเลือดของนาง หน้าผายังคงไม่มีการเปลี่ยนแปลงแต่อย่างใด และไม่มีการเคลื่อนไหวเลยแม้แต่น้อย
หัวใจของนักฆ่าโลหิตจมไปถึงกระดูกดำ
เขาคิดว่ามีเพียงเลือดของคุณหนูสามเท่านั้นที่สามารถทำลายค่ายกลได้ แต่เมื่อลองดูจากสถานการณ์ที่เกิดขึ้น ดูเหมือนว่าจะไม่ได้ผล
เขาคิดผิดไปแล้ว
ค่ายกลของนายท่าน คนทั่วไปในใต้หล้าไม่อาจทำลายมันได้
ต่อให้เป็นคุณหนูสามกู้ก็ไม่อาจทำลายมันได้
เขากำลังคาดหวังกับอะไรลม ๆ แล้ง ๆ
ในตอนที่นักฆ่าโลหิตคิดว่าเลือดของกู้ชูหน่วนไม่อาจทำลายค่ายกลได้ เขาก็เห็นกู้ชูหน่วนท่องคาถาอย่างเงียบ ๆ ใช้วิชาลับเฉพาะของนางเพื่อผสมผสานกับรูปแบบ จากนั้นแสงสีแดงก็เปล่งประกายออกมา หน้าผาอันหนาทึบก็กลายเป็นโปร่งใสทันที
กู้ชูหน่วนดึงเขาเข้าไปในหน้าผา
ความมืดมิดเข้ามาในสายตาของพวกเขาทันที
นักฆ่าโลหิตก้าวออกมาด้านหน้าของกู้ชูหน่วน ชักมีดออกมาเพื่อปกป้องนาง และมองไปรอบ ๆ อย่างระมัดระวัง
กู้ชูหน่วนกล่าวออกมาว่า “ค่ายกลนี้ถูกสร้างขึ้นมาจากความคิดของอาม่อ จำเป็นต้องใช้เลือดของข้าถึงสามารถเปิดการทำงานของค่ายกลได้ นอกจากเลือดของข้า ยังจำเป็นต้องใช้วิชาเฉพาะตัวของข้าด้วย รวมถึง......ความคิดและความทรงจำของข้า สามารถบอกได้ว่า ขอแค่ข้าไม่ต้องการเปิดค่ายกลก็ไม่มีใครสามารถเปิดค่ายกลนี้ได้ทั้งนั้น และไม่มีใครในใต้หล้านี้สามารถทำลายมันได้”
นางไม่รู้ว่าทักษะในเรื่องค่ายกลของซือม่อเฟยนั้นแข็งแกร่งถึงเพียงใด
แต่นางก็สามารถผสมผสานความคิดและเลือดของนางด้วยวิชาลับได้
หากเป็นทางอื่น บางทีนางอาจจะรู้สึกกังวล
แต่สำหรับที่นี่ นางไม่กังวลเลยแม้แต่น้อย
เนื่องจากอาม่อสามารถทำร้ายทุกคนในใต้หล้า แต่เขาไม่มีทางทำร้ายนางเป็นอันขาด
เดินมาพักหนึ่ง ในที่สุดกู้ชูหน่วนและนักฆ่าโลหิตก็เดินออกมาจากหน้าผาอันมืดมิด
เงยหน้าขึ้น ทั่วทั้งภูเขาเต็มไปด้วยดอกพุดซ้อนสีขาว
ดอกพุดซ้อนหญ้าเขียวขจีก่อให้เกิดทัศนียภาพอันสวยงาม
ดอกพุดซ้อนหล่นลงพื้น เรียงตัวกันเป็นแนวทอดยามไปทั่วทั้งภูเขา ลูกแล้วลูกเล่า ลมพัดโชย กลิ่นหอมของดอกไม้พัดเข้ามา ราวกับเป็นเซียนบนท่ามกลางสรวงสวรรค์
เมื่อเห็นฉากนี้
ไม่ว่ากู้ชูหน่วนตะโกนออกไปอย่างไร ไม่ว่ากู้ชูหน่วนจะตามหาอย่างไร ซือม่อเฟยก็ไม่ปรากฏตัวออกมา
กู้ชูหน่วนกัดฟันแน่น นางหยิบมีดขึ้นมาและแทงเข้าไปยังร่างกายของตนเองอย่างรุนแรง
เลือดสาดกระเซ็น ของเหลวสีแดงกระจายไปทั่วดอกพุดซ้อน
“ข้าให้เวลาเจ้าสิบห้านาที หากเจ้ายังไม่ออกมา ข้าจะแทงตัวเองอีกหนึ่งครั้ง และหากยังไม่ออกมาอีก ข้าจะฆ่าตัวตาย อย่างไรชีวิตนี้ของข้า เจ้าก็เป็นคนช่วยมันเอาไว้ หากข้าตาย เจ้าก็จะไม่ต้องรู้สึกต้อยต่ำอีกต่อไป”
กู้ชูหน่วนแอบได้ยินเสียงลมหายใจแห่งความร้อนรน
และพอจะรู้ตำแหน่งของอีกฝ่ายคร่าว ๆ
แต่นางรู้ หากนางไล่ตามต่อไป ซือม่อเฟยก็จะวิ่งหนีต่อไปเป็นแน่
หากหยุดเขาไว้ไม่ได้ หากนางเผลอขึ้นมา เขาก็จะหนีไปอีกครั้ง
นางทำได้เพียงรออย่างสงบ
สิบห้านาทีผ่านไป ในป่าพุดซ้อนยังคงไม่มีแม้แต่เงาของซือม่อเฟย
กู้ชูหน่วนไม่พูดอะไร ดึงมีดที่ปักอยู่บนร่างกายของตนเองออกมา และแทงมันกลับเข้าไปอีกครั้ง
เจือก......
ร่างของใครบางคนปรากฏออกมา กุมบาดแผลที่เต็มไปด้วยเลือดของนางไว้แน่น
เสียงแห่งความโกรธดังขึ้น “เจ้าไม่รักชีวิตแล้วหรือไง เอาแต่ทำร้ายตัวเองอยู่ได้ ไม่เจ็บบ้างหรือไง?”
กู้ชูหน่วนยิ้มออกมา รอยยิ้มของนางสดใสร้าวกับดอกไม้นับพัน
นางโอบกอดซือม่อเฟยไว้แน่น กลัวว่าหากปล่อยให้หลุดมือ เขาอาจจะหายไปตลอดกาล
ร่างกายของจอมมารแข็งทื่อ ช่วยนางพันแผลอย่างเงียบ ๆ ทุกการเคลื่อนไหวอ่อนโยนและนุ่มนวล เกรงว่าตนเองจะทำให้นางเจ็บ
เขาแตกต่างจากเมื่อก่อนมาก เวลานี้ร่างกายของเขาเป็นสีดำ แม้แต่ใบหน้าก็ดูดำลงเล็กน้อย มีเพียงดวงตาเท่านั้นที่เปิดเผยให้เห็นอย่างชัดเจน
“เสร็จแล้ว สองสามวันหลังจากนี้ห้ามโดนน้ำเป็นอันขาด”
กู้ชูหน่วนยังคงกอดเขาไว้ ไม่เต็มใจที่จะปล่อย
จากนั้นก็ได้ยินคำดุแห่งความโกรธและความห่วงใยของจอมมาร
“หลังจากนี้ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น เจ้าห้ามทำร้ายตนเองเช่นนี้อีกเป็นอันขาด”
“เช่นนั้นเจ้าก็ปกป้องข้าไปตลอดชีวิต ข้าจะได้ไม่อยู่ห่างจากสายตาของเจ้า และข้าก็ไม่มีวันทำร้ายเจ้า”
“อะ......อะไรนะ......”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กู้ชูหน่วนสตรีอัปลักษณ์
สนุกมากค่ะ ขอบคุณที่แปลให้อ่านนะคะ อ่านถึง 1174 แล้วรอตอนต่อไปอยู่ค่ะ...
ไม่อัพจบเหรอคะ...
เป็นนางเอกที่นิสัยแย่ที่สุดตั้งแต่เคยอ่านมา...
คือตัวเองไม่มีเงิน แต่คิดจะเอาทุกอย่างด้วยราคาสูงเสียดฟ้า แล้วก็หาคำพูดให้คนอื่นจ่ายแทน ตัวเองหาประโยชน์จากคนใกล้ตัวแต่กลับเอาใจให้คนอื่นตลอดเนี่ยนะ...
แม่นางกู้เกินเยียวยาแล้วเด้อ 555...
เยี่ยเฟิงเป็นคนดีมาก แต่เขาทนงตัวเกินไป ชีวิตที่ผู้อื่นฝ่าฟันเพื่อแย่งชิงลมหายใจเขาไว้ แต่เขาก็ดิ้นรนกลับไปหาความตายอยู่เรื่อย...
ท่านอาจารย์พูดให้คิดดีมากเลย แต่อาหน่วนจะเข้าใจไหม นางดูมั่นหน้า มั่นใจเกิตเหตุแบบไม่สนสี่สนแปดใดใดเลย...
อยากให้กลับมาอัพเดทไวๆนะคะ ขอบคุณมากค่ะ...
สรุปเรื่องนี้มีตอนจบมั้ยค่ะ...
รอตอนจบอยู่นะคะ ใจบางไม่ไหวแล้วทรมาน...