บทที่ 641 ยิ่งใหญ่เอิกเกริก
พวกก่วนหนานเทียนทั้งสามคนตอบรับตามๆกัน ใบหน้าของก่วนหนานเทียนมีรอยยิ้ม ดูเป็นมิตรเข้าหาง่าย ทางด้านรองประมุขสหพันธ์บูโดหางโจวท่าทางเกรงใจเป็นอย่างมาก
แม้ว่าเขาจะเป็นถึงรองประมุขของสหพันธ์ แต่เมื่อเทียบกับพวกปรมาจารย์คงเหมิงปรมาจารย์ศิลปะการต่อสู้แล้ว ฐานะ ตำแหน่งไม่อาจเทียบเท่าได้
สำหรับอู่จื่อโจว....เขาเพียงแค่พยักหน้าให้กับทุกคนเล็กน้อย จากนั้นเดินไปยังดาดฟ้าบนเรือ มองไปที่ทางขึ้นเรือ คล้ายว่ากำลังรอการมาของผู้สืบทอดตระกูลจิ่งและเฉินเฟิง
"ท่านประมุขก่วน คนของตระกูลจิ่งจะมาเมื่อไหร่?" หลังจากอู่จื่อโจวเดินไป จ้าวอู๋เต้าถามก่วนหนานเทียน
"ก่อนหน้านี้พวกเขาได้ติดต่อมาหาฉัน บอกว่าจะมาถึงที่นี่ตอนเที่ยง น่าจะใกล้ถึงแล้ว" ก่วนหนานเทียนตอบ
"คนของตระกูลจิ่งมาแล้ว!”คล้ายกับว่ายืนยันคำพูดของก่วนหนานเทียน สิ้นเสียงของเขา หางตาของเจ้าสำนักอู่ตังจางเทียนซือ เห็นจิ่งหยุนเฟิงซึ่งเป็นหัวหน้าครอบครัวตระกูลจิ่ง เขาพาพ่อลูกจิ่งเถิงเดินมุ่งหน้ามาทางขึ้นเรือ
ทางด้านเฉินอี๋ซือไท่เจ้าสำนักเอ๋อร์เหมยพาศิษย์สำนักเอ๋อร์เหมยมาสองคน พวกคนเดินตามหลังคนตระกูลจิ่ง คล้ายกับว่าเป็นผู้ติดตามของตระกูลจิ่ง
"ตระกูลจิ่งมาอย่างยิ่งใหญ่เอิกเกริกจริงๆ!”
เมื่อเห็นภาพนี้ แทบจะทุกคนต่างมีความคิดนี้ขึ้นในใจ
สำนักเอ๋อร์เหมยเคยเป็นสำนักใหญ่เช่นเดียวกับเส้นหลิน สำนักอู่ตัง ถือเป็นตัวอย่างของบูโดหวาเซี่ย ถึงแม้ในตอนหลังจะย่ำแย่ลงไปบ้าง แต่อูฐที่ผอมแห้งก็ตัวใหญ่กว่าม้า นอกจากสำนักอู่ตังและเส้นหลินแล้วนั้น แม้แต่สำนักปากั้วก็ยังไม่กล้าพูดว่าสามารถข่มสำนักเอ๋อร์เหมยได้
ภายใต้สถานการณ์แบบนี้ เจ้าสำนักเอ๋อร์เหมยเฉินอี๋ซือไท่กลับทำตัวเหมือนผู้ติดตาม คนเดินอยู่ด้านหลังคนตระกูลจิ่ง ทำให้คนอดไม่ได้ที่จะบอกว่าคนตระกูลจิ่งมาด้วยความยิ่งใหญ่เอิกเกริก ยากที่จะได้เห็น
"หัวหน้าตระกูลจิ่งจิ่งหยุนเฟิงมาถึง!”
“เจ้าสำนักเอ๋อร์เหมยเฉินอี๋ซือไท่มาถึง!”ตามด้วย ตอนที่จิ่งหยุนเฟิงเดินมาถึงสถานที่ปิดล้อม พนักงานร้องตะโกนชื่อและตำแหน่งของพวกเขาออกมาเสียงดัง
สำหรับสิ่งนี้ ไม่ว่าจะเป็นจิ่งหยุนเฟิงและจิ่งเซ่อเหมิง พ่อลูกจิ่งเถิง หรือว่าเฉินอี๋ซือไท่ก็ไม่แม้แต่จะปรายตามองพนักงาน พวกเขาเดินตรงเข้ามาในสถานที่ปิดล้อม
พนักงานคนนั้นไม่เพียงแต่ไม่เดินเข้าไปขวางหน้า ในทางกลับกันพวกเขากลับถอยหลังหนีเพราะรังสีความน่ากลัวที่แผ่ออกมา พนักงานคนนั้นถอยหลังจนเกือบจะล้มลงกับพื้น เขาแทบจะทรุดลงไป
เมื่อเห็นภาพนี้ อู่จื่อโจวที่ยืนอยู่ตรงดาดฟ้าเรือขมวดคิ้วเล็กน้อย ทางด้านพวกก่วนหนานเทียนมองหน้ากัน แล้วพากันส่ายหน้า
จากบันทึกของบูโดหวาเซี่ย ทุกครั้งที่ตระกูลจิ่งออกมาล้วนทำให้บูโดหวาเซี่ยสั่นสะเทือน สร้างเรื่องใหญ่ ครั้งนี้ก็ไม่เป็นข้อยกเว้น ใช้อำนาจของตนเองมาข่มคนอื่น!
"ปรมาจารย์จิ่ง ไม่ได้เจอกันนาน"
ตามด้วย หลังจากที่จิ่งหยุนเฟิงและคนของเขาขึ้นมาบนเรือ ก่วนหนานเทียนลุกขึ้น เดินไปกล่าวทักทายจิ่งหยุนเฟิงก่อน
"หนานเทียน พวกเราไม่ได้เจอกันหลายปีแล้ว"
จิ่งหยุนเฟิงพยักหน้า ไม่ได้พูดยศนำหน้าชื่อของก่วนหนานเทียน จากนั้นชำเลืองมองปรมาจารย์คงเหมิง จางเทียนซือและจ้าวอู๋เต้าทั้งสามคน แล้วพูดขึ้น:“แต่ฉันกับคงเหมิง จางเทียนซือและจ้าวอู๋เต้าทั้งสามคนเคยเจอกันเมื่อหกปีก่อน"
"อาจารย์ของคุณไม่เคยสอนให้คุณเคารพผู้อาวุโสหรอ?"
ไม่เพียงแต่จิ่งเซ่อเหมิง จิ่งหยุนเฟิงเองก็พูดขึ้นมา เขาขมวดคิ้วเป็นปม ตัวของเขาแผ่รังสีที่แสนน่ากลัวออกมา รังสีทั้งตัวจับจ้องมาที่อู่จือโจว หัวเราะในลำคอแล้วพูด:“คำพูดเมื่อกี้ ท่านอาจารย์ของนายพูดก็ยังพอได้ สำหรับนาย นายมันเป็นแค่อะไร? ถึงกล้าชี้หน้าสั่งต่อหน้าท่านผู้อาวุโส?"
"ฉันมาในนามตัวแทนของท่านอาจารย์และสหพันธ์สงคราม คำพูดของฉันก็คือคำพูดของท่านอาจารย์ และเป็นท่าทีของสหพันธ์สงคราม!” อู่จื่อโจวพยายามข่มความแข็งแกร่งของจิ่งหยุนเฟิง พูดอย่างไม่แข็งกร้าวและไม่ถ่อมตนจนเกินไป เพราะถึงอย่างไรจิ่งหยุนเฟิงก็เป็นชั้นครึ่งปรมาจารย์แล้ว ทุกคนที่อยู่ที่นี่ แม้ว่าจะเป็นก่วนหนานเทียน ก็ยังไม่ใช่คู่ต่อสู้ของจิ่งหยุนเฟิง
"หึ......ท่านอาจารย์ของนายสอนลูกศิษย์ที่หยิ่งผยองจริงๆ"
จิ่งหยุนเฟิงหัวเราะในลำคอ ไม่ได้ใช้ฐานะของผู้อาวุโสและหัวหน้าครอบครัวตระกูลจิ่งในการข่มอู่จื่อโจว
ด้านหนึ่ง เขาดูออกว่าอู่จื่อโจวเป็นคนหัวรั้นมาก อีกด้านหนึ่ง เขากลัวท่านอาจารย์ของอู่จื่อโจวและสหพันธ์สงครามไม่มากก็น้อย
เพราะถึงอย่างไร ท่านอาจารย์ของอู่จื่อโจวก็ก้าวเข้าไปในแดนชั้นครึ่งปรมาจารย์ วรยุทธ์ของเขาลึกล้ำไม่สามารถคาดการณ์ได้ แม้ว่าเขายังไม่มีความมั่นใจว่าจะเอาชนะได้ ส่วนสหพันธ์สงครามก็เป็นตัวแทนอำนาจของประเทศ เป็นหนึ่งในองค์กรจอมยุทธ์ทั้งสามของหวาเซี่ย
ในสถานการณ์แบบนี้ ถ้าตระกูลจิ่งเล่นไม้แข็งกับสหพันธ์สงคราม เท่ากับหาเรื่องอำนาจของประเทศ ซึ่งไม่ใช่เรื่องที่ดีกับตระกูลจิ่ง
"แน่นอนว่าฉันไม่มีทางทำอะไรไอ้คนขี้ขลาดนั่น" ในเวลานี้เอง จิ่งเถิงที่เงียบมาโดยตลอดก็พูดขึ้น น้ำเสียงของเขาเคล้าไปด้วยความหยิ่งผยอง เมื่อเทียบกับจิ่งหยุนเฟิง จิ่งเซ่อเหมิงพ่อลูกทั้งสองคนแล้ว มีแต่จะเหนือกว่า อธิบายความหมายของคำว่าชายหนุ่มบ้าคลั่งทั้งสี่คำนี้ได้ดี "แต่ถ้าไอ้ขี้ขลาดคนนั้นคลุ้มคลั่งขึ้นมาจะรับคำท้า เช่นนั้นต่อให้ผมทำร้ายมันจนกลายเป็นหมาตาย หรือว่าเอาตัวมันหั่นเป็นชิ้นๆแล้วเลี้ยงปลาในทะเลสาบตะวันตก ก็ห้ามมีใครเข้ามายุ่ง สหพันธ์สงครามก็ไม่ได้!”
อู่จื่อโจวฟังในสิ่งที่เขาพูด แล้วมองจิ่งเถิงอย่างลุ่มลึก ไม่ได้พูดอะไร
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ลูกเขยมังกร
คือรำคาญพระเอกแนวนี้มากมีเงินรวยแต่ทำตัวติดดินให้คนดูถูกตัวเอง ดูถูกตัวเองก็ไม่เท่าไรเมียตัวเองต้องมาทนโดนดูถูกไปด้วยเพื่อ..ตระกระความคิดนี้มันยังไง ไม่ต้องอวดรวยก็ได้ แค่รู้จักปรับลุคตัวเอง ให้ไม่ดูติดดินเกินไปจนคนอื่นดูถูกแค่นี้ก็ยากเกินไปรึไง ไม่รำคาญพวกโง่วิ่งมาหาเรื่อง ก็ควรนึกถึกว่าพวกโง่จะหาเรื่องเมียตัวเองด้วยสิ...
งง ตั้งแต่ตอน800มาเนี่ยเหมือนคนละเรื่องเลย แค่พระเอกชื่อเด่วกัน จู่ๆพระเอกก้อไปจีบหลินหวั่นชิวซะงั้น ตัวละครเก่าหายหมด มีแต่ตัวละครใหม่ผุดขึ้นมา ต่อสู้กันแบบไมม่มีสาเหตุ...
อ่านมาถึงตอนนี้ ต้องบอกเลยว่าอ่านไปปวดหัวไป เล่าประวัติพระเอกมาว่าเป็นเด็กที่ถูกตระกูลทอดทิ้ง แม่ตายออกจากบ้านตั้งแต่เด็ก ไม่ได้เรียนหนังสือ แต่เล่ามาซะอย่างกับพระเอกเก่ง ฉลาด ทันคน มีความรู้ อ่านแล้วหงุดหงิดใจริงๆ...