หลี่จื่อเยว่ลองใส่ชุดกระโปรงยาวตัวหนึ่งเดินมาตรงหน้าเฉินเฟิงพร้อมกับถามด้วยความตื่นเต้น : “คุณว่าชุดกระโปรงตัวนี้สวยหรือเปล่า?”
นั่นเป็นชุดกระโปรงยาวสีแดงลายดอก ซึ่งด้วยเดิมทีหุ่นของหลี่จื่อเยว่นั้นดีอยู่แล้ว เมื่อมาสวมใส่เสื้อผ้าที่สะท้อนรูปร่างของเธอแบบนี้ จึงทำให้ดูดีเป็นอย่างมาก
แต่ว่าเธอยังไม่รอให้เฉินเหิงได้ตอบอะไร ก็รีบเดินกลับเข้าไปในห้องลองเสื้อผ้าแล้ว
และครั้งนี้เธอก็ออกมาพร้อมกับเสื้อยืดเปิดไหล่สีแดง ยิ่งดูเซ็กซี่กว่าชุดกระโปรงลายดอกเมื่อสักครู่นี้
เธอถามคำถามเดิมขึ้นมาอีกครั้ง แต่ดูเหมือนว่าเธอจะไม่ได้เฝ้ารอคำตอบจากเฉินเฟิงเลย
การที่นั่งอยู่ตรงนั้นคอยมองดูหลี่จื่อเยว่เดินเข้าๆ ออกๆ หลายครั้ง สุดท้ายเฉินเฟิงจึงถามขึ้นมาอย่างอดไม่ได้ : “นี่เธอจะดูจนถึงเมื่อไหร่กัน?”
จากนั้นหลี่จื่อเยว่จึงรู้ตัวพร้อมกับหยุดการกระทำของตัวเอง เธอเลือกเอาเสื้อผ้าไม่กี่ตัวที่ตัวเองดูแล้วไม่เลวมา ก่อนจะเดินไปยังเคาน์เตอร์เพื่อชำระเงิน
หญิงสาวเซ็กซี่คนหนึ่งที่อยู่ข้างๆ อยู่ก็พูดลอยๆ ออกมา: “พวกผู้หญิงสำส่อนสมัยนี้แต่ละคนแข่งกันโปรยเสน่ห์ใส่ผู้ชายอย่างไม่ยอมกันซะเลย แม้แต่ในสถานที่แบบนี้ยังทำลงไปได้ แถมยังไม่รู้จักกลัวเลยว่าเดือนหน้าตัวเองจะไม่มีกินแล้ว”
เฉินเฟิงไม่รู้ตัวว่าเป็นตัวเอง แต่หลี่จื่อเยว่กลับถามทันที: “คุณกำลังว่าใคร?”
หญิงสาวเซ็กซี่คนนั้นทำเป็นไม่สนใจ ราวกับว่าหากทำแบบนั้นแล้วจะเป็นการลดตัวเองลงไป จึงได้เพียงเดินไปยังเคาน์เตอร์ก่อนจะวางเอาเสื้อผ้าที่ตัวเองเลือกเอาไว้วางลงไป
เธอหันไปพูดกับพนักงาน: “คอลเลคชั่นใหม่ในเดือนนี้ไม่ค่อยจะถูกใจเลยจริงๆ ฉันไม่มีความอยากซื้อเลยสักเท่าไหร่”
พนักงานคนนั้นตอบกลับหญิงสาวคนนั้นด้วยรอยยิ้ม: “พี่เหมย ต้องขอโทษจริงๆ ด้วยนะคะ เดือนหน้าหากคอลเลกชั่นใหม่เข้าแล้วสัญญาเลยว่าจะแจ้งให้กับคุณเป็นคนแรกเลยค่ะ”
หญิงสาวคนนั้นตอบกลับอย่างหมดความสนใจ: “เอาเถอะๆ ฉันไม่ได้ว่าอะไรพวกเธอสักหน่อย ฉันก็แค่ถูกคนบางคนทำลายความรู้สึกสนใจก็เท่านั้น”
เดิมทีหลี่จื่อเยว่ไม่อยากที่จะทะเลาะกับเธออีก แต่เมื่อได้ยินประโยคนี้ทำให้เธอต้องเดินเข้าไปด้วยสีหน้าที่โกรธเคือง
“คุณกำลังว่าใครกันแน่?คุณเองนั่นแหละที่สำส่อน สำส่อนทั้งตระกูล”
ทางด้านเฉินเฟิงเองก็เพิ่งรู้ตัวว่าเมื่อกี้ที่หญิงสาวคนนั้นพูดถึงคือตัวเองและหลี่จื่อเยว่ เขาจึงเดินเข้าไปด้วยความไม่พอใจเช่นกัน
แต่หญิงสาวคนนั้นกลับมองหลี่จื่อเยว่ด้วยท่าทีรังเกียจ ก่อนจะพูดอย่างเยาะเย้ย: “ไร้การสั่งสอนก็คือไร้การสั่งสอน อย่าคิดว่าตัวเองสวยแล้วจะไม่มียางอาย เวลาซื้อของก็ต้องเกาะแกะผู้ชาย ไม่รู้จริงๆ ว่าใช้เงินของใคร”
เมื่อพูดจบ เธอก็ยกถุงเสื้อผ้าพร้อมเดินออกไป
แน่นอนว่าเมื่อเป็นแบบนี้หลี่จื่อเยว่ไม่มีทางปล่อยเธอไปอยู่แล้ว ทั้งยังเดินเข้าไปขวางหน้าเธอคนนั้นทันที พร้อมกับพูดด้วยความขุ่นเคือง : “ฉันใช้เงินของตัวเอง ทั้งหมดล้วนเป็นเงินของตัวเอง ฉันไม่ได้เป็นคนแบบนั้นสักหน่อย คุณอย่ามากล่าวหากันมั่วซั่วแบบนี้”
“หลีกไป อย่าให้ฉันต้องตบเธอ” หลังจากที่ถูกขวางทางเอาไว้ หญิงสาวที่แต่งตัวเซ็กซี่คนนั้นก็ดึงหลี่จื่อเยว่หวังจะให้เธอหลีกทางให้
แต่หลี่จื่อเยว่กลับยิ่งดึงดันที่จะขวางทางมากขึ้นกว่าเดิม
“ไม่หลีก นอกเสียจากว่าคุณจะขอโทษฉันก่อน ไม่อย่างนั้นฉันก็จะขวางคุณอยู่อย่างนี้แหละ”
ยังไม่ทันที่จะพูดจบ หญิงสาวเซ็กซี่คนนั้นก็ยกมือขึ้นด้วยท่าทีที่จะตบหลี่จื่อเยว่จริงๆ
หลี่จื่อเยว่กลัวจนปิดตาแน่นพร้อมกับจะหันหน้าหนี แต่ผ่านไปพักหนึ่งก็ยังไม่มีการเคลื่อนไหวใดๆ เธอจึงลืมตาขึ้นมาแล้วได้เห็นว่าเฉินเฟิงกำลังใช้มือข้างหนึ่งของเขาจับข้อมือของอีกฝ่ายไว้อยู่
“ยังไม่ถึงคราวที่คุณจะมาสั่งสอนเธอ”
เฉินเฟิงพูดกับหญิงสาวคนนั้นอย่างเยือกเย็น
หญิงสาวเซ็กซี่คนนั้นพยายามดิ้นรนอยู่พักหนึ่งกว่าเฉินเฟิงจะยอมปล่อยมือของเธอ
หลังจากหลุดพ้นมาได้ หญิงสาวคนนั้นก็หันไปตะคอกกับเฉินเฟิงอย่างความเกลียดชังด้วยน้ำเสียงที่โมโหจัด: “กับแค่ไอ้คนจนอย่างนาย ยังมีหน้ากล้ามาทำตัวเป็นฮีโร่ปกป้องหญิงงั้นหรอ ไม่หัดลองไปส่องกระจกดูตัวเองสักหน่อยหล่ะ คิดว่าตัวเองเป็นพ่อนักบุญหรือไง?”
หญิงสาวเซ็กซี่คนนั้นหันไปตะคอกใส่เฉินเฟิงอีกครั้ง: “คนบ้า เป็นคนบ้าที่เกินจะเยียวยาจริงๆ”
เฉินเฟิงไม่อยากที่จะไปต่อล้อต่อเถียงกับเธอ เพราะเขาไม่ได้มีความสนใจอะไรพวกนี้
หลี่จื่อเยว่ที่เห็นว่าเรื่องกำลังวุ่นวายมากขึ้นเรื่อยๆ จึงไม่อยากให้ดึงดันกันแบบนี้ต่อไป เธอเลยเดินเข้าไปข้างๆ เฉินเฟิงแล้วพูดด้วยเสียงเบาๆ: “เอาเป็นว่าเราช่างมันเถอะ ยังไงซะพวกเราก็ไม่ได้มีอะไรเสียหาย”
เฉินเฟิงมองดูท่าทีตกใจกลัวของเธอก่อนพูดด้วยเสียงอ่อนๆ : “ตอนที่ออกมาเธอบอกว่าจะเชื่อฟังฉัน ทำไมตอนนี้ถึงได้เปลี่ยนใจแล้วล่ะ ?”
หลี่จื่อเยว่ส่ายหน้า แต่เธอแค่รู้สึกว่าไม่อยากให้เป็นแบบนี้ต่อไป ทว่าเธอกลับลังเลจนไม่รู้จะพูดยังไง
เมื่อเห็นว่าหลี่จื่อเยว่ไม่พูดอะไรอีก เฉินเฟิงจึงหันกลับไปมองหญิงสาวเซ็กซี่คนนั้น พร้อมกับพูดย้ำอีกครั้ง: “ถ้าหากว่าคุณไม่กล้าพนัน ก็รีบขอโทษเธอซะ ว่าคุณแค่พูดจาเหลวไหลก็เท่านั้น ไม่อย่างนั้นผมสัญญาเลยว่าจะลงมือถอดเสื้อผ้าคุณออกด้วยมือของตัวเอง”
เมื่อพูดถึงสิ่งที่จะเกิดขึ้นหลังจากนี้ น้ำเสียงของเฉินเฟิงกลายเป็นเย็นชามากกว่าเดิมราวกับว่าเขากล้าทำอย่างที่ได้พูดไปจริงๆ
หญิงสาวเซ็กซี่คนนั้นกำถุงในมืออย่างแน่น ราวกับกำลังครุ่นคิดถึงคำแนะนำของเฉินเฟิงอยู่ เพียงแต่เรื่องนี้สำหรับเธอแล้วมันจะทำให้ต้องขายหน้าอย่างมาก
แต่การเฉินเฟิงที่ยังคงแสดงสีหน้าดุดันยืนอยู่ตรงนั้น จึงทำให้เธอรู้สึกหวาดกลัวไม่น้อย
เฉินเฟิงเขี่ยจมูกของตัวเองด้วยความรู้สึกเบื่อหน่าย ก่อนที่เขาจะพูดอีกครั้ง : “ว่ายังไง ผมไม่ได้มีเวลามากนักหรอกนะ”
สุดท้ายหญิงสาวคนนั้นก็ไม่อาจที่จะคัดค้านได้อีก เธอแสดงสีหน้าที่กำลังหวาดหวั่นจนแทบจะร้องไห้ออกมาแล้วหันไปมองเฉินเฟิงพร้อมกับเสียงครวญ : “ขอ ……โทษ”
แต่เฉินเฟิงกลับตอบด้วยเสียงอันเรียบเฉย: “อะไรนะ ผมไม่ได้ยิน”
หญิงสาวคนนั้นแทบอยากจะขาดใจตายซะตรงนั้น ก่อนจะเพิ่มระดับเสียงขึ้น: “ขอโทษ”
“ผมให้คุณพูดขอโทษกับหล่อน คุณกำลังทำอะไรกัน ?”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ลูกเขยมังกร
คือรำคาญพระเอกแนวนี้มากมีเงินรวยแต่ทำตัวติดดินให้คนดูถูกตัวเอง ดูถูกตัวเองก็ไม่เท่าไรเมียตัวเองต้องมาทนโดนดูถูกไปด้วยเพื่อ..ตระกระความคิดนี้มันยังไง ไม่ต้องอวดรวยก็ได้ แค่รู้จักปรับลุคตัวเอง ให้ไม่ดูติดดินเกินไปจนคนอื่นดูถูกแค่นี้ก็ยากเกินไปรึไง ไม่รำคาญพวกโง่วิ่งมาหาเรื่อง ก็ควรนึกถึกว่าพวกโง่จะหาเรื่องเมียตัวเองด้วยสิ...
งง ตั้งแต่ตอน800มาเนี่ยเหมือนคนละเรื่องเลย แค่พระเอกชื่อเด่วกัน จู่ๆพระเอกก้อไปจีบหลินหวั่นชิวซะงั้น ตัวละครเก่าหายหมด มีแต่ตัวละครใหม่ผุดขึ้นมา ต่อสู้กันแบบไมม่มีสาเหตุ...
อ่านมาถึงตอนนี้ ต้องบอกเลยว่าอ่านไปปวดหัวไป เล่าประวัติพระเอกมาว่าเป็นเด็กที่ถูกตระกูลทอดทิ้ง แม่ตายออกจากบ้านตั้งแต่เด็ก ไม่ได้เรียนหนังสือ แต่เล่ามาซะอย่างกับพระเอกเก่ง ฉลาด ทันคน มีความรู้ อ่านแล้วหงุดหงิดใจริงๆ...