และคำตอบอันเด็ดเดี่ยวนี้ของเฉินเฟิงทำให้เซียงหลันเหมือนจะสูญเสียความหวังสุดท้ายไปในพริบตา เธอทรุดตัวลงนั่งกับพื้นโดยไม่ขวางทางเฉินเฟิงอีก
เฉินเฟิงปล่อยเธอไปก่อนจะมุ่งหน้าไปยังทางที่เคยเข้ามา
แต่กระทั่งตอนที่เขากำลังจะเดินออกจากประตูใหญ่ไป หลินเฉิงจื้อก็เข้ามาขวางทางเขาไว้ด้วยอีกคน
ตอนนี้เขาไม่ได้ต่างอะไรกับเซียงหลันเลย ทว่าเขาแค่ไม่ได้ร้องขอด้วยท่าทางที่ตกต่ำแบบนั้น ก่อนจะถามออกมา : “ต้องทำยังไงคุณถึงจะยอมออกมือช่วยเหลือ ”
เฺฉินเฟิงมองดูใบหน้าที่ยังคงนิ่งเฉยของเขา พลางตอบกลับอย่างเย็นชา : “ช่องว่างในการเข้าหากันเพียงครั้งเดียวของพวกเรายังดูไม่เป็นมิตรแบบนี้ คุณคิดว่าผมจะยังช่วยพวกคุณได้อย่างไร”
“ผมเข้าใจแล้ว” เมื่อพูดจบเขาก็หลีกทางให้
ท้องฟ้ามืดลง แต่หลี่จื่อเยว่ยังคงไร้สติอยู่อย่างนั้น เฉินเฟิงจึงพาหลี่จื่อเยว่กลับมาพักในเมือง
และเขาก็นั่งเฝ้าอยู่ข้างกายหลี่จื่อเยว่ไม่ไปไหน เพื่อรอจนกว่าเธอจะฟื้นขึ้นมา
และในที่สุดหลี่จื่อเยว่ก็ค่อยๆ ลืมตาขึ้นมา หลังจากที่เหมือนกับได้ตื่นมาจากฝัน สิ่งแรกที่เธอได้เห็นก็คือเฉินเฟิง
ทว่าสำหรับเธอแล้วทุกอย่างที่เกิดขึ้นนั้นเธอจำอะไรไม่ได้เลย ดังนั้นจึงเกิดความสงสัยขึ้นมาว่าทำไมตัวเองถึงมานอนอยู่ที่นี่ได้
เฉินเฟิงมองเธอด้วยรอยยิ้ม แต่ใบหน้าของหลี่จื่อเยว่กลับเต็มไปด้วยความงุนงง ซึ่งเฉินเฟิงเองก็ไม่ได้คิดที่จะอธิบายอะไรกับเธอทั้งสิ้น
เขาเพียงบอกให้เธอพักผ่อนเยอะๆ จากนั้นเฉินเฟิงก็กลับไปยังห้องพักของตัวเอง
และเพียงรอให้ถึงเช้าในวันถัดไป พวกเขาก็จะได้เริ่มเดินทางใหม่อีกครั้งแล้ว
เฉินเฟิงคิดแบบนี้
จนในช่วงเที่ยงคืน ประตูห้องของเขาก็ถูกใครบางค่อยๆ เปิดเข้ามา เพราะเฉินเฟิงเป็นคนที่หลับตื้น ดังนั้นจึงเป็นเรื่องง่ายที่เขาจะรู้ตัวเมื่อมีเสียงดังขึ้น
เขาลุกขึ้นนั่งรอให้คนคนนั้นเข้ามาด้านใน
ภายใต้ความมืดมิด เงาร่างเล็กๆ กุมหน้าอกของตัวเองเดินเข้ามาอย่างโซซัดโซเซ
เฉินเฟิงไม่ได้พูดอะไร เพียงแต่มองดูอย่างเงียบๆ แต่ดูเหมือนว่าอีกฝ่ายจะยังไม่รู้ตัวว่าเฉินเฟิงได้ตื่นขึ้นมาแล้ว จึงเดินเข้าไปในห้องน้ำ ผ่านไปสักพักเสียงน้ำไหลก็ดังออกมาจากด้านใน
อีกฝ่ายไม่ได้ เหมือนกับว่ากลัวว่าจะถูกคนที่อยู่ด้านนอกเห็นเข้า
และเฉินเฟิงก็นั่งเงียบอยู่อย่างนั้นเพื่อฟังเสียงที่ด้านใน จากนั้นคนคนนั้นก็เดินออกมา ราวกับเตรียมตัวจะเดินออกไป
ทว่าเฉินเฟิงกลับพูดขึ้นมาอย่างเบาๆ : “ในเมื่อเข้ามาแล้ว ทำไมถึงไม่อยู่นานหน่อยล่ะ ”
ร่างนั้นสะดุ้งพลางเอนเข้าไปติดกำแพงราวกับนกน้อยที่กำลังหวาดกลัว
และในตอนที่เฉินเฟิงเตรียมตัวจะเปิดไฟตรงหัวเตียง เสียงใสของหญิงสาวก็ดังขึ้นมา
“อย่า!”
เมื่อได้ยินเสียงนี้ เฉินเฟิงก็รู้สึกคุ้นหูทันที พลางถาม : “เซียงหลัน?”
และร่างนั้นเองก็เหมือนจะตกใจไม่น้อย เธออุทานออกมาด้วยความตะลึง : “ท่านเฝิง?”
“ผมเคยบอกแล้วนี่ว่าผมจะไม่ช่วยพวกคุณ ทำไมคุณยังมาที่นี่อีก ”
และนั่นก็คือสิ่งแรกที่เฉินเฟิงคิดได้ว่าเซียงหลันมาร้องขอเขาอีกครั้ง
แต่ว่าครั้งนี้เป็นเพียงความบังเอิญเท่านั้น เซียงหลานจึงตอบกลับ: “ไม่คิดจริงๆ ว่าจะเป็นท่านเฝิง ฉันเพียงแค่ถูกคนไล่ฆ่าจนหนีมาถึงที่นี่เท่านั้น ”
เฉินเฟิงอุทานอย่างไม่อยากจะเชื่อ: “ถูกไล่ฆ่า?”
“ในเมื่อท่านเฝิงไม่ยอมช่วยเหลือ อย่างนั้นฉันจึงต้องพึ่งตัวเองแล้วเท่านั้น ”
“แล้วหลินเฉิงจื้อล่ะ?” เฉินเฟิงถาม
“คงอาจจะตายไปแล้ว” เซียงหลันพูดออกมา แต่กลับเหมือนไม่ได้มีความรู้สึกใดๆ ทั้งสิ้น อย่างกับเป็นเพียงคนไม่รู้จักคนหนึ่งตายไปเท่านั้น
เฉินเฟิงเข้าใจได้ทันทีเลยว่าเขากำลังพูดถึงชิงจือ เขาจึงได้เพียงยิ้มออกมา : “จะให้ผมไปเรียกเธอ หรือว่าจะให้พวกเราต่อสู้กันให้เสียงดังสักหน่อยดีล่ะ แบบนี้เดี๋ยวเธอก็จะเข้ามาที่นี่เอง”
ตู๋กูหยุนยืนไตร่ตรองอยู่ตรงนั้น เพราะตอนนี้เขายังคงหวาดกลัวในตัวชิงจืออย่างมาก
เขาตวาดสายตาเย้นชามองไปยังเฉินเฟิงก่อนจะหันไปทางเซียงหลัน พร้อมกับลังเลอยู่พักหนึ่ง แต่เพราะเฉินเฟิงไม่ได้รีบร้อนอะไรจึงพูดขึ้นมา : “ คุณกำลังทำอะไรอยู่ จะสู้ก็รีบสู้ ถ้าหากรอนานเดี๋ยวเธอมาคุณก็จะหนีไปอีก แบบนั้นมันดูไม่มีความหมายอะไรเลยสักนิด ”
เมื่อเฉินเฟิงพูด ทางด้านตู๋กูหยุนก็เหมือนจะตัดสินใจอย่างเด็ดขาดแล้ว จากนั้นเขาจึงพูดต่อ : “วันนี้ผมจะไว้ชีวิตคุณไปก่อน ผมจะคอยดูว่าหมอนี่จะปกป้องคุณไปได้นานแค่ไหนกัน ”
เห็นได้ชัดเลยว่าประโยคนี้เขาพูดกับเซียงหลัน
หลังจากที่เขาพูดจบก็กระโดดออกไปจากหน้าต่างที่อยู่ด้านหลัง ในเมื่อสามารถกระโดดขึ้นมาถึงชั้นหกนี้ได้อย่างง่ายดาย อย่างนั้นการจะกระโดดกลับลงไปคงไม่ใช่เรื่องยากอะไร
หลังจากผ่านไปหลายนาที ภายในห้องก็กลับมาสงบอีกครั้ง
เฉินเฟิงมองไปยังหน้าต่างและเห็นว่าไม่มีการเคลื่อนไหวใดๆ อีก ถึงค่อยพูดขึ้น : “เขาน่าจะไปแล้ว”
เมื่อหันกลับไปมองเซียงหลินอีกครั้ง เฉินเฟิงเองก็ไม่คิดเลยว่าคนที่เธอไปบาดหมางด้วยจะเป็นตู๋กูหยุน แต่ตอนนี้สิ่งที่ไม่ใช่ความตั้งใจของเขาในตอนนี้คือการช่วยเหลือเซียงหลันเอาไว้
และเขาก็ไม่ได้คาดหวังให้เซียงตอบแทนอะไรอีกด้วย
เซียงหลันที่เห็นอย่างนั้นจึงพูดขึ้น: “อย่างนั้นฉันก็ควรที่จะไปได้แล้ว”
เฉินเฟิงคิดอยู่สักพัก ก่อนจะห้ามเธอเอาไว้: “เขาคงไม่กล้ากลับมาอีกแล้ว คุณค้างคืนที่นี่สักคืนไปก่อน ผมไม่ไล่คุณออกไปหรอกนะ ”
เซียงหลันเหมือนต้องการที่จะยืนหยัดด้วยตัวเอง แต่เฉินเฟิงกลับพูดขึ้นมาอีกครั้ง : “คุณก็เห็นแล้ว ว่าผมมีความเรื่องบาดหมางกับเขาอยู่แล้ว ในเมื่อเขารู้ว่าคุณอยู่ข้างผม แน่นอนว่าคงจะไม่กล้ากลับมาอีก ซึ่งสำหรับผมแล้วเรื่องพวกนี้ก็เป็นแค่เรื่องไม่สำคัญอะไรเท่านั้น ”
เดิมทีเซียงหลันยังอยากที่จะร้องขอความคุ้มครองจากเฉินเฟิง แต่เมื่อนึกถึงการปฏิเสธอันไม่อ้อมค้อมนั้นของเขา เธอจึงรู้สึกว่าเฉินเฟิงไม่มีทางเก็บเธอเอาไว้แน่ แต่ในเมื่อตอนนี้เฉินเฟิงพูดอย่างนี้แล้วเธอจึงไม่มีความจำเป็นที่จะต้องยืนกรานอีกต่อไป
“ถ้าอย่างนั้นจะซ่อนตัวอยู่ที่นี่ไปก่อน พรุ่งนี้ฉันจะไปทันที ” เธอยังคงมีความกังวลใจว่าเฉินเฟิงจะเปลี่ยนใจ
แต่ว่าเฉินเฟิงกลับไม่ได้พูดอะไร พรุ่งนี้ก็คือเรื่องของวันพรุ่งนี้ เขาไม่มีความจำเป็นอะไรที่จะต้องไปไล่ตาม แต่ว่าตอนนี้ในห้องมีเตียงแค่เตียงเดียว แบบนี้เหมือนจะเป็นเรื่องยากในการตัดสินใจ
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ลูกเขยมังกร
คือรำคาญพระเอกแนวนี้มากมีเงินรวยแต่ทำตัวติดดินให้คนดูถูกตัวเอง ดูถูกตัวเองก็ไม่เท่าไรเมียตัวเองต้องมาทนโดนดูถูกไปด้วยเพื่อ..ตระกระความคิดนี้มันยังไง ไม่ต้องอวดรวยก็ได้ แค่รู้จักปรับลุคตัวเอง ให้ไม่ดูติดดินเกินไปจนคนอื่นดูถูกแค่นี้ก็ยากเกินไปรึไง ไม่รำคาญพวกโง่วิ่งมาหาเรื่อง ก็ควรนึกถึกว่าพวกโง่จะหาเรื่องเมียตัวเองด้วยสิ...
งง ตั้งแต่ตอน800มาเนี่ยเหมือนคนละเรื่องเลย แค่พระเอกชื่อเด่วกัน จู่ๆพระเอกก้อไปจีบหลินหวั่นชิวซะงั้น ตัวละครเก่าหายหมด มีแต่ตัวละครใหม่ผุดขึ้นมา ต่อสู้กันแบบไมม่มีสาเหตุ...
อ่านมาถึงตอนนี้ ต้องบอกเลยว่าอ่านไปปวดหัวไป เล่าประวัติพระเอกมาว่าเป็นเด็กที่ถูกตระกูลทอดทิ้ง แม่ตายออกจากบ้านตั้งแต่เด็ก ไม่ได้เรียนหนังสือ แต่เล่ามาซะอย่างกับพระเอกเก่ง ฉลาด ทันคน มีความรู้ อ่านแล้วหงุดหงิดใจริงๆ...