ภายในห้องใต้ดินที่มืดมิด บริเวณรอบๆไม่มีแสงสว่างอะไรเลย อากาศภายในคละคลุ้งไปด้วยกลิ่นเหม็นอับที่ไม่ได้เห็นแสงตะวันมานับแรมปี
หนูตัวหนึ่งกำลังขบเคี้ยวอะไรอยู่ ทันใดนั้นประตูไม้ที่ขัดสีกันเกิดเสียงดังแสบแก้วหูขึ้น ทำให้มันตกใจวิ่งหนีไป
หลังจากที่ประตูไม้เปิดออกแล้ว มีคนเปิดสวิตซ์ไฟตรงมุมผนังห้อง หลอดไฟทังสเตนที่แสงไฟสลัวดวงหนึ่งแขวนอยู่ตรงกลางห้องใต้ดิน แค่ต้องการให้คนสามารถมองเห็นได้เท่านั้น เพียงแต่เห็นไม่ชัดเจน
เฉินเฟิงถูกมัดไว้ นั่งอยู่บนเก้าอี้ที่มีเพียงตัวเดียวภายในห้องใต้ดินนี้ บนศีรษะก็คือหลอดไฟที่เพิ่งเปิดสว่างไว้ ศีรษะของเขาก็ยังห้อยตกลงมา ดูเหมือนยังกำลังสลบอยู่
คนที่เข้ามานั้นใส่เสื้อคลุมทั้งตัว ปิดบังร่างกายทุกส่วนไว้ จึงดูไม่ออกว่าเป็นผู้ชายหรือผู้หญิง จะอ้วนหรือผอม
เขาเดินมาถึงตรงหน้าเฉินเฟิง แล้วเอาอะไรบางอย่างใส่ไว้ตรงจมูกของเฉินเฟิง ผ่านไปสักพัก เฉินเฟิงก็ค่อยๆตื่นขึ้นมา แต่ว่าศีรษะรู้สึกจะปวดร้าวอย่างรุนแรง
เมื่อรอให้เฉินเฟิงฟื้นขึ้นมาแล้ว คนที่ใส่เสื้อคลุมคนนั้นก็ถอยห่างออกไปหลายก้าว เพื่อรักษาระยะห่างกับเฉินเฟิงไว้
เฉินเฟิงลืมตาขึ้นมา รู้สึกว่าตัวเองถูกมัดไว้ ก็นับว่ายังสามารถควบคุมสติอารมณ์ไว้ได้ดี ดิ้นรนไปสักพักหนึ่ง รู้ว่าไม่มีทางที่จะดิ้นหลุดได้ จึงเลิกล้มความตั้งใจ
จากนั้นก็หันไปมองรอบๆด้าน เขาก็ย่อมได้เห็นไอ้คนลึกลับคนนั้นยืนอยู่ตรงหน้าเขา แต่ว่าสายตาก็ไม่ได้หยุดอยู่ตรงนั้น กวาดสายตาไปบริเวณรอบๆต่อไปอีก พบว่าบริเวณแวดล้อมที่ตัวเองอยู่นั้น เป็นที่โล่งว่างเปล่าปิดมิดชิดไว้ สุดท้ายแล้วสายตาก็หยุดอยู่ตรงหน้าอีกฝ่ายหนึ่ง
ไอ้หมอนั่นพอเห็นเฉินเฟิงสงบนิ่งแล้ว จึงปริปากพูดว่า “สวัสดี”
เขาทักทายด้วยเสียงแผ่วเบา จงใจพยายามกดเสียงให้ต่ำลง เพื่อจะได้แยกแยะไม่ออกว่าเขาเป็นเพศอะไร
เฉินเฟิงพูดว่า “ฉันไม่ดีด้วย เพียงแต่ไม่รู้ว่าแกเป็นใคร แล้วชายหญิงคู่นั้นล่ะ?”
เฉินเฟิงไม่ได้รู้สึกตกใจกลัวเพราะว่าตัวเองถูกจับขังไว้ที่นี่ เพราะว่าเขารู้ดีว่าถึงแม้ตัวเองจะตกใจกลัวก็ไม่มีประโยชน์อะไร
คนนั้นพูดว่า “พวกเขาขายแกให้กับฉันแล้ว ในราคาที่ถูกมากเลย ส่วนตอนนี้แกก็เป็นของฉันแล้ว แต่ตอนนี้ฉันยังไม่อยากจะฆ่าแก ฉันอยากให้แกมีชีวิตอยู่ มีชีวิตอยู่ต่อไปเรื่อยๆ”
เฉินเฟิงไม่มีทางที่จะเข้าใจความหมายของเขา อย่างน้อยก็ไม่มีทางที่จะเข้าใจว่าทำไมถึงถูกขายเช่นนี้ได้
เขาพูดว่า “ในเมื่อแกไม่อยากฆ่าฉัน งั้นก็จะต้องมีเป้าหมายอื่นอย่างแน่นอน เงินหรือ? ยังมีอะไรอีกล่ะ?”
เฉินเฟิงพยายามมองดูส่วนที่โผล่ออกมาให้เห็นของฝ่ายนั้น แต่ว่าด้วยแสงไฟส่องลงมาถึงแค่ตรงด้านหน้าตัวเขาเท่านั้น ส่วนคนนั้นก็ยืนอยู่ตำแหน่งตรงนั้นพอดี ทำให้เฉินเฟิงไม่สามารถที่จะเห็นหน้าเขาได้ชัดเจน
“เงินเหรอ? ฉันรู้ว่าแกมีเงินเยอะ แต่ฉันไม่ต้องการ”
เฉินเฟิงก็มองหน้าเขาอีกที แล้วพูดว่า “ถ้าไม่ใช่เรื่องเงิน งั้นสำหรับแกแล้วฉันก็คงจะไม่มีประโยชน์อะไรแล้ว”
“ไม่หรอก แกยังมีประโยชน์อีกเยอะ สิ่งที่แกรู้มา ความลับในร่างกายแก ยังมีคนที่ต้องการแกพวกนั้นอีก”
ในที่สุดเฉินเฟิงก็ถูกยั่วยุประสาทด้วยคำพูดนี้ เขาไม่สามารถควบคุมอารมณ์ให้สงบลงได้อีกแล้ว จึงสอบถามไปว่า “แกเป็นใครกันแน่?”
คุณนั้นหัวเราะเยาะว่า “ฮาๆ แกตื่นเต้นล่ะสิ แกรู้แล้วว่าฉันรู้ความลับในร่างกายแก นี่เป็นความลับส่วนตัวของแกเอง แต่ว่าแกไม่เคยพูดกับคนอื่นเลย แต่ฉันกลับรู้เรื่องนี้ แกถามว่าฉันเป็นใคร ฉันก็เป็นเพียงคนที่คอยจับตาดูแกอยู่ตลอดเวลานะสิ”
เขาถามด้วยน้ำเสียงที่ต่ำว่า “แกกำลังกลัวเหรอ?”
เฉินเฟิงรู้สึกหวาดกลัวขึ้นมาบ้างจริงๆแล้ว เขารู้ว่าความลับสุดยอดของตัวเองคืออะไร ก็อย่างที่เขาพูดมานั่นแหละ เขาไม่เคยพูดให้ใครฟังเลย
เฉินเฟิงก็ได้แต่จ้องมองเขาด้วยสายตาที่เย็นชา ไม่ได้ตอบคำถามของเขา
แต่เขาก็ไม่แยแส “แกเป็นคนที่บาปหนามากคนหนึ่ง คนเลวทรามชั่วช้าของผืนแผ่นดินนี้ กลิ่นเน่าเหม็นที่แผ่ซ่านออกจากตัวแกนั้น ก็เริ่มมีหนอนชอนไชเต็มไปหมดแล้ว แต่ว่าไม่มีใครเห็น ยิ่งไม่มีใครเลือกที่จะเตือนสติแก พวกเขาเพียงแต่แกล้งทำเป็นมองไม่เห็น พวกเขาก็บาปกรรมเหมือนกันทั้งนั้น”
ไม่รู้เวลาผ่านไปเท่าไร เสียงเปิดประตูไม้ก็เริ่มดังขึ้นอีกครั้งหนึ่ง
แต่ว่าคนนั้นที่เพิ่งเข้ามายังไม่ทันได้ตอบโต้ ดวงตารู้สึกมืดมิดไปหมด จากนั้นก็ล้มลงบนพื้นอย่างแรง
นั่นมันเป็นฝีมือของเฉินเฟิงที่ตีเขาจนสลบไป เมื่อเห็นอาหารที่ตกกระจายเต็มพื้น ก็รู้ว่าคนนี้เป็นเพียงคนส่งอาหารเท่านั้นเอง
เฉินเฟิงไม่มีเวลามากพอแล้ว ขณะที่ได้ยินเสียงประตูไม้ดังขึ้นนั้น เขาก็ใช้เคล็ดวิชาพลังสวนกลับ ทำให้ร่างกายส่วนที่อ่อนแอของตัวเองหายไปหมดในพริบตา เขาจึงสามารถที่จะแก้มัดออกมาได้
แต่ว่าเคล็ดวิชานี้สัมฤทธิผลเพียงแค่ครึ่งชั่วโมงเท่านั้น เขาจำเป็นต้องใช้เวลาภายในครึ่งชั่วโมงนี้หนีออกจากที่นี่ให้ได้
เมื่อประตูไม้เปิดออก ข้างหน้าก็เป็นทางอุโมงค์ที่มืดมิดเส้นทางหนึ่ง ไม่สามารถเห็นแสงสว่างอะไรเลย ก็เหมือนกับเดินอยู่บนทางใต้ดิน
เฉินเฟิงก็ไม่คิดลังเลอะไรอีกแล้ว เดินตรงหน้าไปตามทางอุโมงค์ที่มืดมิด ระหว่างสองข้างทางของอุโมงค์ก็มีห้องแบบเดียวกับที่เฉินเฟิงอยู่ มีประตูไม้ที่เก่าแก่เหมือนกัน ดูเหมือนว่าพร้อมที่จะหักพังลงมาได้ตลอดเวลา
เฉินเฟิงเดินไปอย่างไม่หยุดยั้ง วิ่งพุ่งออกไปราวกับสายฟ้าแลบมุ่งสู่ปลายอุโมงค์อีกด้านหนึ่ง เคล็ดวิชาที่เขาใช้นั้นทำให้เขาไม่มีวิธีที่จะควบคุมความยั้งคิดใจได้เลย เสียงที่เกิดจากฝีเท้าที่หนักหน่วงภายในอุโมงค์นั้น กระทบกำแพงเกิดเสียงสะท้อนดังก้องกังวานขึ้นไม่หยุดหย่อน ในไม่ช้าก็มีคนพบเห็นร่องรอยของเขาแล้ว
ยังไปไม่ถึงปลายอุโมงค์เลย ก็มีคนมายืนรออยู่ตรงนั้นแล้ว
ในความมืดมิดมองเห็นเงาคนไม่ชัดเจน ก็เป็นลักษณะการใส่เสื้อคลุมเหมือนกัน แต่ว่าเพียงแค่เสี้ยววินาทีเท่านั้น คนที่ยืนอยู่ตรงปลายอุโมงค์นั้นลำคอของทั้งสองคนก็ถูกบิดหักไป แล้วล้มลงทันที
เฉินเฟิงไม่ได้หยุดลงเพราะว่าพวกเขา ก็ยังคงวิ่งต่อไปข้างหน้าไม่หยุดยั้ง เสียงดังที่เกิดขึ้น ทำให้มีคนมาดักอยู่ข้างหน้าจำนวนมากขึ้นกว่าเดิม แต่ว่าเฉินเฟิงดูราวกับเทพสังหาร ไม่ว่าผ่านไปตรงไหนก็ไม่มีใครสามารถต้านทานได้
แต่ว่าภายในพื้นที่ใต้ดินนี้ราวกับเป็นเขาวงกต สิ่งที่เหลือไว้อยู่ข้างหลังก็ล้วนแต่เป็นซากศพเท่านั้น แต่ข้างหน้าก็ยังไม่เห็นทางออกเลย
ทันใดนั้นก็มีเงาร่างคนหนึ่งมายืนขวางทางเดินของเฉินเฟิง เขาชกหมัดออกไปเพื่อบีบให้เฉินเฟิงถอยร่นออกไป
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ลูกเขยมังกร
คือรำคาญพระเอกแนวนี้มากมีเงินรวยแต่ทำตัวติดดินให้คนดูถูกตัวเอง ดูถูกตัวเองก็ไม่เท่าไรเมียตัวเองต้องมาทนโดนดูถูกไปด้วยเพื่อ..ตระกระความคิดนี้มันยังไง ไม่ต้องอวดรวยก็ได้ แค่รู้จักปรับลุคตัวเอง ให้ไม่ดูติดดินเกินไปจนคนอื่นดูถูกแค่นี้ก็ยากเกินไปรึไง ไม่รำคาญพวกโง่วิ่งมาหาเรื่อง ก็ควรนึกถึกว่าพวกโง่จะหาเรื่องเมียตัวเองด้วยสิ...
งง ตั้งแต่ตอน800มาเนี่ยเหมือนคนละเรื่องเลย แค่พระเอกชื่อเด่วกัน จู่ๆพระเอกก้อไปจีบหลินหวั่นชิวซะงั้น ตัวละครเก่าหายหมด มีแต่ตัวละครใหม่ผุดขึ้นมา ต่อสู้กันแบบไมม่มีสาเหตุ...
อ่านมาถึงตอนนี้ ต้องบอกเลยว่าอ่านไปปวดหัวไป เล่าประวัติพระเอกมาว่าเป็นเด็กที่ถูกตระกูลทอดทิ้ง แม่ตายออกจากบ้านตั้งแต่เด็ก ไม่ได้เรียนหนังสือ แต่เล่ามาซะอย่างกับพระเอกเก่ง ฉลาด ทันคน มีความรู้ อ่านแล้วหงุดหงิดใจริงๆ...