อ้อมกอดอสูรไร้ใจ นิยาย บท 48

เช้าวันต่อมา...เวลา 07:09 น. แพรณารากับฟ้ารดาพากันไปทำบุญตักบาตรและถวายสังฆทาน จากนั้นก็ไปไหว้อัฐิพ่อและแม่ของแพรณารา แล้วทั้งสองก็พากันไปทานข้าวก่อนจะไปซื้อสมุด ปากกา ดินสอ ยางลบ ไม้บรรทัด และขนมอีกมากมายไปแจกนักเรียนบนดอยอย่างที่ตั้งใจกันเอาไว้

จากนั้นก็เดินทางไปยังไร่สิรันยากรณ์ เพื่อไปกราบคุณเพียงดาวและไปรับเพื่อนสาวสุดที่รักอย่างแพรลานนา ที่เพิ่งกลับจากอเมริกามาเมื่อไม่นานนี้ไปเที่ยวและไปแจกของใช้ที่โรงเรียนบนดอยด้วยกัน

ไร่สิรันยากรณ์... สองสาวพากันเข้าไปกราบคุณเพียงดาวได้สักพัก แพรลานนาก็ลงมาพบ สามสาวได้เจอกันอีกครั้งอย่างพร้อมหน้าก็กอดกันน้ำตาคลออย่างดีใจ ก่อนจะขอตัวพากันไปเที่ยว ตามที่วางแผนและตกลงกันเอาไว้ในไลน์กลุ่มเมื่อคืน

ม่อนแจ่ม @ เชียงใหม่...พอเดินทางมาถึงม่อนแจ่ม เพื่อชมองุ่นที่สวนอีเดน ด้วยฝีมือการขับของลุงชื่น คนขับรถของไร่สิรันยากรณ์ที่คุ้นเคยชำนาญทาง และขึ้นไปต่อเพื่อชมธรรมชาติที่สวยงาม มีทั้งดอกท้อที่กำลังเบ่งบานบนยอดดอยที่มองลงมาไกลสุดลูกหูลูกตา

แล้วสามสาวก็พากันหันไปมองตามเสียงที่ดังมาจากบนเนินฝั่งขวามือที่นักท่องเที่ยวขับฟอร์มูล่าม้งลงมาจากบนเนิน ทั้งส่งเสียงกรีดร้องและหัวเราะกันมาตลอดทางที่ลาดชัน จนกระทั่งลงมาถึงจุดที่ทั้งสามยืนอยู่ ทำเอาสาวๆ ถึงกับหัวเราะจนหน้าแดงที่เห็นสีหน้าตื่นตระหนกของนักท่องเที่ยวแต่ละคนดูจะประทับใจกันอยู่ไม่น้อยเลยทีเดียว เพราะบางคนถึงกับขึ้นไปขับซ้ำถึงสองสามรอบเลยก็มี

จากนั้นก็แวะซื้อสตรอว์เบอร์รี่ที่ขายอยู่ใกล้ๆ ถือหิ้วไปนั่งยังร้านกาแฟที่อยู่ตรงจุดชมวิวของม่อนแจ่ม เป็นร้านที่มีเสน่ห์ดึงดูดให้เข้าไปนั่งพัก จิบกาแฟเป็นอย่างมาก สามสาวสั่งกาแฟพร้อมกับออกไปนั่งรอที่โต๊ะด้านนอก

ฟ้ารดารีบหยิบมือถือมาถ่ายรูปเก็บไว้ ทั้งแพรณาราและแพรลานนาต่างก็ยิ้มให้กล้องที่ฟ้ารดาเป็นคนถือและกดบันทึกภาพ สามสาวถ่ายกันจนจุใจก่อนจะพากันมานั่งจิบกาแฟที่คนขายยกมาเสิร์ฟพอดี

พอนั่งจิบกาแฟไปได้สักพัก ฟ้ารดาก็เปิดประเด็นเด็ดที่เพิ่งจะทราบจากคุณเพียงดาวมา “ได้ข่าวมาว่าคนแถวนี้จะแต่งงานเหรอ?”

“คะ... ใครกันจะแต่งงาน” คนแถวนี้ที่กำลังจะแต่งงานแสร้งถามด้วยเสียงสั่นๆ

“อ๊ะ! ยังจะมาตีเนียนอีกยัยแพร! เล่ามาเดี๋ยวนี้นะ! อะไรยังไง ฉันจะได้รีบไปตัดชุดใส่ให้ทันวันงาน” ฟ้ารดาแกล้งทำท่าจริงจังทำเอาแพรณาราอดขำไม่ได้

“คุณเพียงดาวเล่าให้ฟังใช่ไหมล่ะ เฮ้อ...ฉันไม่ได้อยากจะแต่งด้วยสักหน่อย ตอนนี้ฉันกำลังหาทางเอาตัวรอดอยู่ เอ๊...ว่าแต่ฉันก็ได้ข่าวแว่วๆ ว่าคนแถวนี้ถูกผู้ชายคุกเข่าขอแต่งงานไม่ใช่เหรอ แล้วว่าที่เจ้าบ่าวล่ะ ไม่มาด้วยหรือจ๊ะมิกิ!” แพรลานนารีบปัดไปเรื่องของแพรณารา เพราะไม่อยากจะเล่าเรื่องของตนสักเท่าไหร่ เพราะว่าที่เจ้าบ่าวของเธอนั้นสุดเกรียนขนาดหนัก จนไม่กล้าจะเล่าให้ใครฟังถึงที่ไปที่มาอันน่าขมขื่นที่ตนเองได้พบได้เจอ

“เอ่อ...คือว่าตอนนี้เราแยกกันอยู่เพื่อทบทวนตัวเอง ว่าจริงๆ แล้วเราพร้อมจะใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันหรือเปล่าน่ะจ้ะ” แพรณารากัดฟันเอ่ยเพราะไม่อยากให้เพื่อนเป็นห่วง

“โอเค ตกลงไม่มีใครพร้อมจะเล่า แต่ฉันก็ยังไม่ล้มเลิกความตั้งใจที่จะตัดชุดหรอกนะ เพราะฉันมั่นใจเหลือเกินว่าจะต้องได้ใส่อย่างแน่นอน” ฟ้ารดาเอ่ยพร้อมกับยิ้มให้สองสาวที่ดูจะหน้าเจื่อนๆ ไปทั้งสองคน

“ตัดเลยจ้า แม่นางแบบดัง ไม่แน่นะ! บางทีคนที่แต่งก่อนอาจจะเป็นเธอก็ได้ คิกๆๆ” แพรณาราได้ทีก็จัดการเพื่อนสาวไปเบาๆ ทำเอาฟ้ารดาถึงกับหน้าแดงขึ้นมาแบบไม่มีปี่มีขลุ่ย

“นี่แพรพลาดอะไรไปบอกหน่อย” แพรลานนาเอ่ยถามอย่างอยากรู้ หลังจากที่เห็นฟ้ารดาหน้าแดงขึ้นมา

“ยังไม่มีอะไรทั้งนั้นแหละ! นี่พวกเธอดูวิวตรงนั้นสิ ส้วยสวย!” ฟ้ารดารีบเปลี่ยนเรื่องทันที พลางนึกไปถึงใครบางคนที่เธอเบี้ยวนัดแล้วขึ้นเครื่องหนีกลับไทย ไม่รู้ว่าตอนนี้อีกฝ่ายจะเป็นยังไงบ้าง

“แปลกเนอะ! วันที่แกรีบบินกลับไทยน่ะ พี่เพชรไปตามหาที่คอนโดฯ แน่ะ!” แพรณาราที่นานๆ จะได้เห็นฟ้ารดาเขินก็อดแหย่ต่อไม่ได้

“เขาไปตามหาฉันที่คอนโดฯ เหรอ?” ฟ้ารดาเอ่ยถามอย่างลืมตัว แพรณาราพยักหน้ารับน้อยๆ ก่อนจะวางแก้วกาแฟลง

“อะไรกัน เก็บเงียบเลยนะฟ้า แบบนี้ไม่แฟร์เลยอะ เล่ามาเดี๋ยวนี้เลยนะ!” แพรลานนาที่ไม่รู้เรื่องรบเร้าอย่างสนใจ

“เอาเป็นว่าตอนนี้ไม่มีอะไร ถ้ามีอะไรเมื่อไหร่จะเล่าให้ฟังอย่างละเอียด เหมือนที่พวกเธอทั้งสองคนเล่าให้ฉันฟังแบบละเอียดไปเมื่อครู่แล้วกันนะ” ฟ้ารดาหาทางเอาตัวรอดจากสายตาที่จ้องจับผิดของเพื่อนสาวเลยประชดทั้งสองแทน เพื่อเปลี่ยนเรื่องแบบถาวร! เพราะทั้งแพรณาราและ แพรลานนาก็ยังไม่มีใครยอมเปิดปากเล่าแบบเชิงลึกสักคน

“ฉันว่าตอนนี้เราไปหาอะไรทานกันดีกว่านะ” แพรณาราที่เริ่มรู้สึกหิวเอ่ยชวนเพื่อยุติการพูดถึงเรื่องที่ยังไม่พร้อมจะเล่า

“เห็นด้วยอย่างยิ่ง” แพรลานนาไหลตามน้ำทันที เพราะกลัวว่าเดี๋ยวจะวนกลับมาเรื่องของเธออีกรอบ

“โอเค งั้นให้เจ้าถิ่นนำทางแล้วกัน” ฟ้ารดาแอบยิ้มกับอาการของสองสาวที่รีบเปลี่ยนเรื่องราวกับกดรีโมตเปลี่ยนช่องทีวี!

สามสาวทานอาหารที่สวนอาหารอีเดนเสร็จ ก็พากันไปแจกอุปกรณ์การเรียนให้กับเด็กชาวเขา ที่อยู่ในโรงเรียนกันดารแห่งหนึ่งซึ่งอยู่ไกลพอสมควร เป็นโรงเรียนเล็กๆ ที่มีเสาธงชาติไทยปักอยู่ตรงกลางลานกว้างๆ

ท่ามกลางความตื่นเต้นของเด็กๆ และความแปลกใจของครูที่กำลังสอนหนังสือ ซึ่งไม่คิดว่าจะมีนางแบบดังและเพื่อนสาวสวย อีกสองคนมาเยือนโรงเรียนที่ถนนหนทางลำบาก สร้างความตื้นตันใจไปทั่วทั้งครูและนักเรียนเลยทีเดียว

สามสาวเองก็ยิ้มแทบไม่หุบเพราะทางที่มานั้นต้องเรียกว่าน่ากลัวอย่างที่สุด แต่ละคนนั่งกันตัวเกร็ง แถมยังพากันเหยียบเบรกในจินตนาการแทนลุงชื่น คนขับกันเป็นแถว เรียกได้ว่างานนี้ปวดเท้าข้างขวากันถ้วนหน้าเลยทีเดียว แต่พอมาถึงแล้วเห็นรอยยิ้มของเด็กๆ ต้องบอกว่ามันคุ้มค่าที่ได้มาถึงที่นี่จริงๆ

ก่อนกลับลงมาครูที่โรงเรียนให้พวกเด็กๆ นักเรียนมาร้องเพลงให้กับสามสาวที่กำลังแจกของฟัง

{สายลมหนาว พัดโบกโบย พริ้วดูแล้ว สวยใสใส

เย็นลมเย็นไหวไหว สวยงาม

บ้านอยู่ไกลทุรกัน ดารโรงเรียนอยู่หลังเขา

มีแต่เราพวกเรา ไม่มีใคร

ยามร้อน แสนร้อน ยามหนาว ก็หนาวถึงใจ

ไม่มีผ้าห่มคลุมกาย

โรงเรียนมีครูหนึ่งคน ครูผู้เสียสละตน

อดทนอยู่ห่างไกล ความสบาย

ใช่จะวอนให้เห็นใจ ความสำนึกต่อเพื่อนไทย

ไทยกับไทยใยแตกต่างกัน

โรงเรียนของหนูอยู่ไกล ไกล๊ ไกล

อยากให้คุณคุณหันมอง...โรงเรียนของหนู}

หลังจากที่น้องๆ นักเรียนร้องเพลงเสร็จ สามสาวต่างก็ตาแดงก่ำพูดอะไรไม่ออก เพราะเนื้อเพลงนั้นมันสะท้อนความรู้สึกได้เป็นอย่างดี

“ผมในฐานะครูใหญ่ของโรงเรียนแห่งนี้ ขอขอบพระคุณพวกคุณทุกคนที่มาร่วมกันแบ่งปันรอยยิ้มให้แก่เด็กๆ บนดอย ขอบคุณมากๆ นะครับ ไม่นึกมาก่อนว่าจะได้เห็นคุณฟ้ารดานางแบบดังของไทยและเพื่อนๆ มายังที่ที่ทุรกันดารแบบนี้ บอกตรงๆ นะครับว่าพวกเราเหล่าครูที่สอนที่นี่ตื้นตันใจกันเป็นอย่างมากเลยครับ” ครูใหญ่ประจำโรงเรียนกล่าวขอบคุณทั้งสามสาว ที่ดูเหมือนแต่ละคนนั้นจะอยู่ในอาการจุกอกจนพูดอะไรไม่ออก

“จริงๆ เพื่อนของฟ้า มิกิเป็นคนต้นคิดค่ะว่าอยากจะมาแจกของให้เด็กนักเรียนที่อยู่บนดอย พวกเราก็เลยคุยกันแล้วให้แพรเป็นคนหาสถานที่ และที่สุดแล้วต้องขอขอบคุณลุงชื่นค่ะ ที่ขับรถพาพวกเรามาถึงที่นี่อย่างปลอดภัย” ฟ้ารดาชี้แจงให้ทราบและแนะนำแต่ละคนที่มาด้วย

“ขอบคุณคุณมิกิ คุณแพร คุณฟ้าและลุงชื่นมากๆ นะครับ เดี๋ยวทางโรงเรียนขออนุญาตถ่ายภาพเพื่อเก็บไว้เป็นที่ระลึกได้ไหมครับ ว่าอย่างน้อยพวกเราที่อยู่ในที่กันดารในป่าในเขาแบบนี้ ก็ไม่ได้ถูกละเลย” ครูใหญ่เอ่ย

สามสาวยิ้มกว้าง รีบเช็ดน้ำตาที่คลอหน่วยก่อนจะตอบรับ

“ด้วยความยินดีค่ะ” แพรณาราเอ่ยพร้อมกับขยับเข้าไปใกล้ๆ เด็กชาวเขาที่ค่อนข้างจะมอมแมมอย่างไม่นึกรังเกียจ

“เป็นเกียรติอย่างยิ่งค่ะ” ฟ้ารดาขยับเข้าไปอุ้มหนูน้อยวัยเจ็ดขวบมานั่งบนตักของตน

“เอ่อ...ได้ครับ” อันโตนีโอ้ตอบรับคำสั่งอย่างมึนงงพร้อมกับคิดในใจว่า เจ้านายเขาอาการเหมือนผู้หญิงท้องไม่มีผิด แต่ออร์แลนโด้เป็นผู้ชายจะท้องได้ยังไงกัน อันโตนีโอ้ส่ายหัวไปมา เพื่อสลัดความคิดที่ดูจะเลยเถิดของตน ก่อนจะเดินตรงไปห้องครัวเพื่อบอกเดือนนภา

หลังจากอันโตนีโอ้เล่าให้เดือนนภาฟัง เธอก็สังหรณ์ใจแปลกๆ กับอาการของชายหนุ่ม จึงให้เด็กในครัวเตรียมของให้ก่อนจะลงมือปรุง ขณะที่อันโตนีโอ้กับโดโนเวลก็ขอข้าวกินในครัว

หลังจากที่ทั้งสองทานอิ่มแล้วก็พอดีกับที่เดือนนภาทำยำมะม่วงเสร็จจึงสั่งให้เด็กในครัวตักข้าวต้มทรงเครื่องให้อีกชาม อันโตนีโอ้อาสายกขึ้นไปให้

พอมาถึงหน้าห้องนอนใหญ่ โดโนเวลจึงขอตัว ไม่กล้าเข้าไปเพราะรู้ว่า ออร์แลนโด้ไม่ชอบให้ใครเข้าไปวุ่นวายในสถานที่ส่วนตัว คนที่จะเข้าไปได้มีแค่คนในครอบครัว มือขวาและคารอสเจ้านายของตนเท่านั้น แต่ก่อนไปพักผ่อนโดโนเวลก็ไม่ลืมส่งข้อความบอกเจ้านายของตัวเอง

‘คุณอลันไม่สบายครับบอส ส่วนคุณฟ้ารดาอยู่ที่เชียงใหม่กับคุณแพรณาราครับตอนนี้ กำลังให้คนตามสืบอยู่’ หลังจากรายงานเสร็จ เขาก็หลับสลบไสลอย่างหมดแรง เพราะกว่าจะไล่เช็กเที่ยวบินและรายชื่อได้ก็เล่นเอาเกือบเช้าเลยทีเดียว

พอเข้ามาในห้องนอนของผู้เป็นนายแล้ว อันโตนีโอ้ก็ยกถาดไปวางที่โต๊ะ เดือนนภาเข้าไปดูอาการของออร์แลนโด้ใกล้ๆ พอเห็นใบหน้าซีดเซียวที่ดูแล้วอาการแย่จริงๆ จึงรีบเรียกอีกฝ่ายให้ตื่นมาทานข้าว จะได้ให้ทานยาต่อ

“คุณอลันคะ ตื่นก่อนค่ะ คุณอลัน!” เดือนนภาเอ่ยเรียก

“อือ...คุณเดือน” ชายหนุ่มลืมตาตื่นก็เห็นเดือนนภานั่งอยู่ข้างเตียงของตน จึงยันตัวลุกขึ้นนั่ง

“ทานข้าวก่อนค่ะ”

“ครับ!” ออร์แลนโด้ขานรับก่อนจะลงจากเตียง ไปนั่งโต๊ะที่อันโตนีโอ้จัดเตรียมอาหารรอ

“เดี๋ยวเดือนขอไปเอายาก่อนนะคะ” เดือนนภาเอ่ยอย่างโล่งใจขึ้นมาหน่อยๆ ที่เห็นออร์แลนโด้ลุกมาทานข้าว ก่อนจะเดินออกไปเอายา

ชายหนุ่มพยักหน้ารับ ก่อนจะลงมือทานยำมะม่วงอย่างอร่อย รสชาติของมันทำให้เขาสดชื่นและหายจากอาการเวียนหัวอย่างบอกไม่ถูก

มือขวาคนสนิทยืนมองผู้เป็นนายกินยำมะม่วงอย่างเอร็ดอร่อย และทำเหมือนว่ามะม่วงไม่ได้เปรี้ยว! ตอนเดือนนภาทำเสร็จแล้วแบ่งใส่จานให้เขากับดอมชิม พวกเขาถึงกับขนลุกไปตามๆ กัน จากที่ง่วงนอนขนาดหนักก็ตาสว่างขึ้นมาทันทีทันใดเลย

“บอสครับ มีข้าวต้มทรงเครื่องด้วยนะครับ” อันโตนีโอ้บอกก่อนจะเดินมาเปิดฝาข้าวต้มทรงเครื่องให้ผู้เป็นนายอย่างหวังดี

“อุ๊บ! เหม็น! เหม็นมาก! เอาออกไป...อุ๊บ!” ออร์แลนโด้บอก เพราะหลังจากที่อันโตนีโอ้เปิดฝาครอบชามข้าวต้มออก กลิ่นเหม็นของข้าวต้มก็เตะเข้าที่จมูกของเขาอย่างแรง พร้อมกับอาการขนลุกไปทั้งตัว ที่ร้ายกว่านั้นดูเหมือนว่ายำมะม่วงที่ทานไปเมื่อครู่จะย้อนออกมาจนถึงต้นคอ

ออร์แลนโด้ยกมือขึ้นมาปิดปาก แล้ววิ่งไปเข้าห้องน้ำ โก่งคออ้วกเสียงดัง “อ๊อก...”

อันโตนีโอ้ตกตะลึง ถือฝาครอบชามข้าวต้มค้างอยู่กับที่อย่างมึนงงว่า อีกฝ่ายเหม็นได้ยังไง กลิ่นของมันก็ปกติ เมื่อกี้เขายังทานไปสองถ้วยเลย ด้วยซ้ำ แต่เจ้านายกลับทำท่าทางราวกับว่า มันเป็นข้าวต้มที่เน่าค้างคืนค้างวันซะงั้น

ชายหนุ่มรีบปิดฝาครอบข้าวต้มไว้เหมือนเดิม แล้ววิ่งตามเข้าไปดูผู้เป็นนายที่อยู่ในห้องน้ำอย่างเป็นห่วง

“อ๊อก!... อุ๊บ!... อ๊อก!” ชายหนุ่มโก่งคออ้วกใส่ชักโครกอย่างหมดสภาพ

“บอสครับ! ไหวหรือเปล่าครับ!” อันโตนีโอ้ลูบหลังให้ผู้เป็นนายอย่างเป็นห่วง เพราะตั้งแต่ทำงานด้วยกันมาสิบกว่าปี ไม่เคยเห็นผู้เป็นนายเป็นแบบนี้มาก่อนเลย

“ฉันเวียนหัวมาก แล้วก็เหม็นข้าวต้มนั่น! แกช่วยเอาออกไปจากห้องก่อนได้ไหม แล้วค่อยกลับมาพยุงฉันไปนอนบนเตียง” ออร์แลนโด้สั่งหลังจากอ้วกไปจนหมดไส้หมดพุงแล้ว

“ครับบอส!” อันโตนีโอ้รับคำก่อนจะรีบเดินไปยกถาดข้าวต้มออกไป

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: อ้อมกอดอสูรไร้ใจ