บทที่ 61 สุภาพ
เมื่อจักรชัยได้ยินดังนั้นก็ไม่รู้จะหัวเราะหรือร้องไห้ดี
โดยเฉพาะอย่างยิ่งใบหน้าดูถูกดูแคลนของพนักงานเสิร์ฟ
ตอนที่เห็นพวกจักรชัยก็รู้ตั้งแต่แรกแล้วว่าพวกเขาไม่มีปัญญาจ่าย
แต่ในเมื่อมาแล้ว จะไล่ออกไปก็ไม่ได้
พนักงานเสิร์ฟจึงได้แต่ภาวนาด้วยความจนใจ พลางบอกตัวเองว่าไม่แน่นี่อาจจะไม่ใช่อย่างที่คิดก็ได้
แต่ตอนนี้ดูเหมือนว่ามันจะเป็นเรื่องจริง จึงได้แต่ทอดถอนใจ
พอคิดแบบนี้อยู่ในใจ พนักงานเสิร์ฟเริ่มหมดความอดทนและขี้เกียจจะเข้าไปถาม เธอจึงจัดให้จักรชัยไปอยู่ชั้นล่าง
“คุณ ผมอยากถามอะไรสักหน่อย...”
“ถามอะไร?”
เดิมทีจักรชัยคิดจะถามด้วยความสุภาพ แต่ดูจากทัศนคติของพนักงานเสิร์ฟแล้ว...
“ข้างบนยังมีที่นั่งว่างไหม? อยากได้ที่เงียบๆ ไม่อย่างงั้นก็ห้องส่วนตัวก็ได้”
“ห้องส่วนตัว?”
พนักงานเสิร์ฟทำเหมือนได้ยินเรื่องตลก เธอสำรวจมองจักรชัยราวกับมองคนโง่
“นี่พ่อหนุ่ม นายรู้ไหมว่าตอนนี้พวกนายกำลังยืนอยู่ที่ไหน อาหารหนึ่งคนต่อหนึ่งมื้อคิดว่าใช้เงินเท่าไหร่?”
พนักงานเสิร์ฟเอามือเท้าสะเอว น้ำหน้าอย่างพวกนายจ่ายไม่ไหวหรอก เห็นได้ว่าพ่อใหญ่กับแม่ใหญ่เริ่มลนลาน
“เท่าไหร่ล่ะ?”
แม่ใหญ่เป็นคนขี้กลัวจึงไม่กล้าถาม แต่พ่อใหญ่ไม่ได้เป็นคนแบบนั้น
เมื่อพนักงานเสิร์ฟเห็นดังนั้นจึงไม่ได้พูดอะไร แต่ยื่นมือออกมาข้างหนึ่ง
หนึ่งหยวนงั้นเหรอ?
คู่สามีภรรยามองหน้ากันและคิดว่ามันเป็นไปไม่ได้ เมื่อดูจากท่าทีของพนักงานเสิร์ฟคนนี้
สิบหยวน?
ผ่านไปได้สักพัก ทั้งสองก็พยักหน้าและคิดว่าเดาไม่ผิด
“สิบหยวนใช่ไหม?”
แม่ใหญ่ตัวสั่นและหลบไปที่ข้างหลังพ่อใหญ่อีกครั้งโดยไม่กล้ามองไปที่พนักงานเสิร์ฟ
“อะไรนะ? สิบหยวน?”
เดิมทียังคิดว่าจะต้องผิดหวัง แต่ตอนนี้ดูแล้ว...
ไม่ทันได้คิดอะไรอีกต่อไป พนักงานเสิร์ฟแสดงความเกรี้ยวกราดเดินเข้ามาผลักพ่อใหญ่ออกไป พร้อมกับบ่นว่า
“จนแล้วยังจะกล้าเข้ามาอีก เห็นว่าที่นี่ของเราเป็นสถานที่แบบไหนกัน?”
“ไม่ พวกเราไม่ใช่คนจน”
จากท่าทีของพนักงานเสิร์ฟทำให้คู่สามีภรรยารู้ว่าตัวเองเดาราคาผิด
สิบหยวนพวกเขาคิดว่ามันแพงมากแล้ว แล้วถ้ายิ่งกว่านี้ล่ะ
แต่คนก็สู้สุดใจ นี่จะยอมถอยไม่ได้
“จะออกหรือไม่ออก?”
ถ้าไม่ไป เธอจะจัดการกับพ่อใหญ่คนนี้ พนักงานเสิร์ฟจ้องจนตาขาว
น้ำเสียงของเธอบาดหูเล็กน้อย แต่ก็ทำให้คนที่อยู่ในสถานที่นั้นเข้ามาสนใจ
“เกิดอะไรขึ้น?”
สำหรับพวกจักรชัยสามคน ผู้จัดการเองก็มีสีหน้าไม่ค่อยดีนัก
ก็ไม่รู้ว่าถ้าจักรชัยมากับลูกพี่ลูกน้องตัวเองและยังมีคุณหญิงตระกูลหัสบดินทร์มาด้วย พวกเขาทั้งสองจะยังทำแบบนี้หรือไม่
ในขณะนี้ปรากฏว่าจักรชัยรู้จักผู้จัดการ แต่ผู้จัดการกลับไม่รู้จักเขา
“ผู้จัดการรัน แค่สิบหยวน พวกเขาสามคนก็บอกว่าแพงแล้ว ฉันจึงตะคอกให้พวกเขาออกไป แต่พวกเขาก็ยังจะก่อเรื่องอยู่อีก”
เธอบอกเล่ารายละเอียดเรื่องนี้เพียงไม่กี่ประโยค แน่นอนว่าพนักงานเสิร์ฟไม่ได้พูดถึงคำด่าที่ออกมาจากปากของเธอ
เมื่อผู้จัดการได้ยินคำพูดเหล่านี้ก็ยิ่งโมโห
“พวกคุณสามคนมาทางไหนก็ไสหัวกลับไปทางนั้น อย่าให้ผมต้องใช้กำลัง”
หากพูดกันตามจริงสาเหตุที่ผู้จัดการเชื่อในสิ่งที่พนักงานเสิร์ฟพูด ก็เพราะกลัวว่าจะเป็นการทำลายชื่อเสียงร้านอาหารของเขา
ท้ายที่สุดก็มีผู้คนมากมายเข้ามาในที่เกิดเหตุ ถ้าตัวเองไล่คนโดยไร้เหตุผล ต่อไปใครจะกล้ามาล่ะ
แต่ตอนนี้มันต่างกัน
แค่สิบหยวนก็หาว่าแพงแล้ว แล้วจะจ่ายค่าอาหารได้อย่างไรล่ะ
“ฉัน...”
ก่อนหน้านี้สองสามีภรรยาเผชิญหน้ากับพนักงานเสิร์ฟด้วยความมั่นใจเหมือนคนพาล
แต่ตอนนี้เมื่อถูกผู้จัดการว่ามาขนาดนี้ พวกเขาก็พลันนึกถึงเรื่องที่เกิดในสถานีรถ
พ่อใหญ่ยังคิดจะตอบโต้ แต่ถูกแม่ใหญ่ดึงมือห้ามไว้
“ช่างเถอะๆ พ่อใหญ่”
ไม่มีทาง นี่มันแพงเกินไปแล้ว จ่ายไม่ไหวหรอก
พอคิดได้ดังนั้น แม่ใหญ่ก็เดินมาข้างหน้าด้วยใบหน้าซีดเซียว
“ขอ…”
“ขออะไร?”
ไม่รอให้แม่ใหญ่ได้มีโอกาสประนีประนอม จักรชัยจึงเดินขึ้นมาสองก้าวแล้วพูดขัดจังหวะแม่ใหญ่
“จักรชัย มันแพงเกินไปแล้ว”
จักรชัยหน้าตาบึ้งตึง แม่ใหญ่กลัวเล็กน้อย เธออ้าปากพะงาบๆ
“ฮ่าฮ่าฮ่า ก็ฉันบอกแล้ว ผู้จัดการเห็นหรือยัง? ฉันไม่ได้พูดอะไรผิด”
โลกก็เป็นเสียแบบนี้แหละ คนดีมักถูกรังแก
เมื่อคำนี้ปรากฏขึ้นมาในใจของจักรชัย พนักงานเสิร์ฟก็พูดขึ้นมาอีกว่า
“ผู้จัดการคะ เมื่อกี้นี้พวกคนจนพวกนี้ยังกล้าแข็งข้อกับพวกเรา พวกเราจะปล่อยพวกมันไปง่ายๆไม่ได้นะคะ”
พนักงานเสิร์ฟมองเห็นอะไรบางอย่างในตัวผู้จัดการ ไม่อย่างนั้นเธอคงไม่กล้าไปจับแขนผู้จัดการ
“ฮ่าฮ่าฮ่า งั้นมีนาเธอบอกมาซิว่าจะทำยังไงดี?”
สาวสวยคล้องแขนอยู่ ผู้จัดการก็เลยคล้อยตาม
“ให้พวกเขาคุกเข่าขอโทษ”
“มีนา นี่มันจะ...”
เกินไปหรือเปล่า ประโยคนี้เขายังไม่ทันพูดออกมา พนักงานเสิร์ฟก็แทบคลั่ง
“ก็เป็นแค่คนจนๆ คุณจะกลัวอะไร? หรือที่พูดแบบนี้ คุณจะไม่ยอมออกตัวให้ฉัน”
ทันทีที่สิ้นเสียง พนักงานเสิร์ฟก็ยืนร้องไห้งอแงอยู่ข้างๆ
เมื่อเห็นใบหน้างดงามหยาดเยิ้มเป็นเสียแบบนี้ก็ทำให้ผู้จัดการรู้สึกเสียหน้า เขาคันยุกยิกในใจอย่างบอกไม่ถูก
“ยังยืนอยู่ทำไม? อยากไปก็ทำตามที่มีนาพูดสิ ไม่อย่างนั้น...”
“ไม่อย่างนั้นจะทำไม?”
ใบหน้าจักรชัยกลายเป็นสีดำเหมือนมีน้ำหมึกไหลออกมา ส่วนพ่อใหญ่ก็ไม่ไม่ได้ดีไปกว่านั้นมากนัก
แต่แม่ใหญ่เอาแต่คิดจะหยุดเรื่องนี้อย่างสงบ
“เอ่อ แม่หนู ค่อยๆพูดค่อยๆจากันดีกว่า หากวันหลังได้เจอกันอีกจะได้มองหน้ากันได้...”
“เจออะไรกัน เป็นแค่คนจนๆ เจอกันครั้งเดียวเพียงพอแล้ว ยังจะมีวันหลังอีก”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: moneybags พ่อฉันเป็นเจ้าสัว