นางน้อยจอมพลังของนายพลบ้านนา นิยาย บท 307

ก่อนหน้านี้มีอัคคีภัย ทางราชวังก็เข้ามาดูแลพวกเขา ในครั้งนี้คาดว่าก็คงเช่นกัน

“เช่นนั้นเจ้าก็จงแลกให้เพียงพอกับคนในครอบครัวของเจ้ากินเป็นเวลาหนึ่งปี หากถึงเวลามิเป็นตามนั้น หมู่บ้านของพวกเรายังพอมีพื้นที่รกร้างอยู่บ้างมิใช่หรือ พวกเราไปปรับหน้าดิน ก็สามารถนำมาใช้เพื่อการเพาะปลูกได้ดังเดิม”

หวังโหยวเกินกล่าว จากนั้นยกมือขึ้นโบกให้ทุกคนกลับไปบ้านของตนเอง

ชาวบ้านจากหมู่บ้านอื่นมิใช่คนโง่ เพียงชั่วครู่ก็คิดได้ว่าพวกเขาจะแลกผืนนามากเกินไปหรือไม่ แล้วพากันขัดแย้งกันขึ้นมา

หัวหน้าหมู่บ้านที่เดิมทีถูกโน้มน้าวใจเป็นที่เรียบร้อยก็คิดถึงเรื่องนี้ขึ้นมาได้เช่นกัน จึงรีบวิ่งไปหาหวังโหยวเกิน เมื่อได้ยินหวังโหยวเกินให้ทุกคำนวณธัญพืชที่ต้องการจะแลกเปลี่ยนในหนึ่งปี พวกเขาก็โมโหในทันใด

“เหตุใดพวกเจ้าจึงต้องแลกเปลี่ยนธัญพืชมากมายขนาดนั้น เกรงว่าจะเหลือไว้ให้พวกเราเยอะเกินไปหรือ?”

“พวกเจ้าแลกเปลี่ยนธัญพืชถึงหนึ่งปี แล้วพวกเราจะเหลืออะไร?”

เมื่อหัวหน้าหมู่บ้านพากันเอ่ยเช่นนี้ คนอื่นๆ ที่สงบลงแล้วก็โวยวายอีกครั้ง ผ่านไปชั่วครู่ทุกคนก็พากันโวยวายด้วยความวุ่นวายยุ่งเหยิง หากปล่อยให้พวกเขาเป็นอย่างนี้ต่อไป คาดว่าคงจะลงไม้ลงมือกันอย่างแน่นอน

โจวกุ้ยหลานรีบเดินมาหยุดอยู่ตรงหน้าหวังโหยวเกิน ดึงชายเสื้อของหวังโหยวเกิน จากนั้นจึงมองไปยังหัวหน้าหมู่บ้านทั้งหลาย

“เอาเช่นนี้ แต่ละวันพวกเขาจะนำมาแลกได้เพียงแค่หนึ่งผืน ส่วนที่เหลือก็ให้พวกเจ้าแรก สลับกันไปเช่นนี้ดีหรือไม่?”

หากว่าให้แต่ละบ้านเรือนแลกได้วันละหนึ่งผืนนา เช่นนี้ก็ดูมิเลว

หัวหน้าหมู่บ้านของหมู่บ้านอื่นหารือกัน แล้วรู้สึกว่าเป็นไปได้ จึงได้กลับไปบอกเล่ากับลูกบ้านของตนอีกครั้ง แต่หวังโหยวเกินรู้สึกมิพึงพอใจนัก

แต่ในเมื่อเรื่องดำเนินมาถึงจุดนี้แล้ว เขาเองก็มิอาจจะกล่าวสิ่งใดได้ ทำได้เพียงกลับไปหว่านล้อมคนในหมู่บ้านต้าสือ

คิดมิถึงว่าเมื่อมีคนจากหมู่บ้านอื่นเดินทางมาเช่นนี้ ผู้คนจากหมู่บ้านต้าสือที่กำลังนั่งดูสถานการณ์อย่างสงบกลับพากันลุกฮือขึ้นมา ผู้คนที่แลกธัญพืชไปแล้วจำนวนมิน้อยก็กลับมาเพื่อหวังจะแลกอีก ชาวบ้านในหมู่บ้านต้าสือแต่ละครัวเรือนล้วนเดินทางมา เนื่องจากเกรงว่าพวกเขาจะมิมีโอกาสแลกธัญพืชอีก

เมื่อเป็นเช่นนี้ สีหน้าของผู้คนจากหมู่บ้านอื่นก็ดูมิดีนัก เนื่องจากมีผู้คนมากขึ้น หากว่าพันธุ์พืชหมดก่อนล่ะก็ พวกเขามิเดินทางมาเปล่าประโยชน์หรือ สิ่งที่น่ากังวลไปกว่านั้นก็คือ บัดนี้พวกเขามิมีอาหารจะกินแม้แต่น้อย

แต่ถึงอย่างไรที่นี่ก็คือในถิ่นของคนอื่นเขา พวกเขาทั้งหลายมิอยากเอ่ยสิ่งใดได้ ทำได้เพียงภาวนาว่าจะเหลืออาหารเพียงพอสำหรับตน

เมื่อพวกเขาพากันเข้าแถว ทุกอย่างก็เป็นไปตามดังก่อนหน้า มีเพียงหวังโหยวเกินและหัวหน้าหมู่บ้านอื่นๆ ที่ทำสีหน้ามิดีนัก

ท่ามกลางบรรยากาศที่ดูราบรื่นเช่นนี้ ภายในลานก็ได้มีแขกมิได้รับเชิญเดินทางมาคนหนึ่ง

ผู้ที่เดินนำมาก็คือจางเสี่ยวจุ๋ย สวมชุดสีแดงดูเบาสบาย ส่วนคนที่เดินตามหลังนางมานั้นก็คือบรรดาคนที่อาศัยช่วงโอกาสซึ่งโจวกุ้ยหลานมิอยู่เข้ามาแย่งชิงอาหารไป

เมื่อเหลือบมองเห็นพวกเขาเดินตรงเข้ามา หวังโหยวเกินก็ทำสีหน้ามิน่ามองกว่าเดิมเสียอีก

มิต้องรอให้โจวกุ้ยหลานกล่าวสิ่งใดออกมา เขาก็เดินตรงเข้าไปด้วยตนเอง แล้วจ้องมองชายเหล่านั้น ตะโกนด้วยความโมโหว่า “พวกเจ้ามาทำไม?”

“พี่หวังโหยวเกิน มิใช่ว่าพวกเรามิฟังความของท่าน แต่เพราะพวกเราแทบจะหิวตายอยู่แล้ว ท่านอยากจะเห็นพวกเราอดตายต่อหน้าต่อตางั้นหรือ?”

ชายวัยกลางคนผู้หนึ่งยกมือขึ้นโบกไปมา แล้วกล่าวกับหวังโหยวเกิน

“นั่นสิ เพราะอะไรจึงต้องแบ่งอาหารไปให้แก่คนในหมู่บ้านอื่นด้วย เหตุใดมิให้พวกเราแลกอย่างเดียว อย่างน้อยพวกเราก็เป็นคนจากหมู่บ้านเดียวกัน!”

ชายอีกคนก็กล่าวขึ้นด้วยความโมโหด้วยเช่นกัน

บัดนี้คนในหมู่บ้านต้าสือมิรู้จะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน เนื่องจากว่าหวังโหยวเกินเป็นหัวหน้าหมู่บ้านของพวกเขา ซึ่งหมายถึงเป็นหน้าเป็นตาของพวกเขาด้วย

โจวกุ้ยหลานสั่งให้คนอื่นกลับไปทำหน้าที่ของตนเอง นางเอามือไขว้หลังแล้วเดินตรงมายังที่เกิดเหตุ

เมื่อเดินมาตรงหน้าแล้ว ก็พบจางเสี่ยวจุ๋ยที่สวมชุดแดงเรื่อ แววตาของนางเป็นประกาย หากว่าจางเสี่ยวจุ๋ยแสดงนิสัยของตนเอาออกมาให้เร็วกว่านี้ ตนคงจะมิเกลียดนางเท่าไหร่นัก

“จางเสี่ยวจุ๋ย เสื้อผ้าชุดนี้ของเจ้างดงามทีเดียว สวยกว่าเสื้อผ้าตอนอื่นเป็นหนักหนา เจ้านั่งลงไปทำให้มันเลอะเช่นนี้ มิรู้สึกเสียดายหรือไร?”

สีหน้าของจางเสี่ยวจุ๋ยชะงักลง เมื่อนึกถึงเสื้อผ้าชุดนี้ของตน ก็รู้สึกปวดใจเล็กน้อย แต่ว่าบัดนี้นางนั่งอยู่ที่พื้นก่อนแล้ว หากลุกขึ้นก็คงจะพ่ายแพ้น่ะสิ!

ทว่าถึงอย่างไรนางก็รู้สึกเสียดายเสื้อผ้าชุดโปรดของตนมากกว่า จึงมิได้โมโหอยู่บนพื้น นางนั่งลงแล้วเงยหน้ามองดูโจวกุ้ยหลาน “เจ้าเรียกชื่อของข้าออกมาตรงๆ เช่นนี้ได้อย่างไร เจ้าควรเรียกข้าว่าอาสะใภ้สาม!”

โจวกุ้ยหลานสายหน้า “มิใช่สิ เรียกเจ้าว่าป้าสามมิได้หรอก ให้ข้าคิดดูก่อนนะ ควรจะเรียกเจ้าว่า ยายเสี่ยวจุ๋ย น้าเสี่ยวจุ๋ย พี่สะใภ้เสี่ยวจุ๋ย หรือน้องสะใภ้เสี่ยวจุ๋ยกันดีล่ะ?”

ประโยคนี้ของนางทำให้ชายหนุ่มที่อยู่ ณ ที่นั้นพากันก้มหน้าก้มตาลง ในใจรู้สึกถึงความอับอาย

จางเสี่ยวจุ๋ยที่เฉลียวฉลาด เข้าใจคำเยาะเย้ยของโจวกุ้ยหลานดี ก่อนหน้านี้ที่นางต่อว่าจะกับสตรีคนอื่นในหมู่บ้าน พวกนางเหล่านั้นกล่าวหาว่านาง หลับนอนกับชายอื่นไปทั่ว นางล้วนสามารถด่ากลับได้ แต่เมื่อถูกโจวกุ้ยหลาน ด่าอย่างมิมีคำหยาบคายเช่นนี้ ทำให้นางรู้สึกโมโหโกรธแค้นมากกว่าเดิม

จางเสี่ยวจุ๋ย ตะเกียกตะกายลุกขึ้นจากพื้น นางเอามือเท้าสะเอวแล้วหันไปด่าว่า “ข้านั้นมีแต่ผู้ชายต้องการ เจ้าเล่า? สวีฉางหลินก็มิต้องการเจ้าและหนีไปกับสตรีที่นามว่าอาจิ่วมิใช่หรือ”

สายตาอันแหลมคมมองไปทางโจวกุ้ยหลาน แต่ในใจกลับรู้สึกสะใจ ริมฝีปากของนางเผยอขึ้นเล็กน้อยอย่างได้ใจว่า “เจ้ามิอาจ รั้งสามีของตนเอาไว้ได้ จึงคิดจะหันมาจัดการข้า? มิมีคนเอาก็คือมิมีคนเอา!”

โจวกุ้ยหลานเผยอริมฝีปากขึ้นเล็กน้อย แววตาไร้ซึ่งรอยยิ้ม หวังโหยวเกินที่อยู่ด้านข้างกลับทนมิไหวแล้วกล่าวว่า “เจ้าเอ่ยไร้สาระอะไรกัน ชื่อเล่นสวีฉางหลินไปเป็นทหารต่างหากเล่า!”

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: นางน้อยจอมพลังของนายพลบ้านนา