นางน้อยจอมพลังของนายพลบ้านนา นิยาย บท 311

“ข้าอายุเท่าเจ้า” รุ่ยอานกล่าวอย่างมิพอใจ

รุ่ยหนิงเบ้ริมฝีปากทำหน้ามุ่ย “เจ้าแก่กว่าข้า เอาไว้ข้าอายุเท่าเจ้าก็เข้าใจและฉลาดเอง”

“ใช่ๆ ไว้หนิงหนิงโตขึ้นก็เข้าใจเอง” โจวกุ้ยหลานรีบตอบรับทันที

นางจะโจมตีทำร้ายจิตใจบุตรชายคนเล็กมิได้ มิเช่นนั้นในอนาคตเขาเป็นคนอารมณ์ร้ายแล้วจะทำเช่นไร

เมื่อกล่าวจบก็ได้ยินเสียงม้าดังมาจากข้างหลัง โจวกุ้ยหลานเหลือบมองดูแล้วพบว่าเป็นรถม้าจริงๆ จากนั้น จึงได้ดึงรุ่ยอานและรุ่ยหนิงไปด้านข้าง

รุ่ยอานยังคงกล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นชาดังเดิมว่า “เจ้ามิมีวันโตทันข้า ดังนั้นเจ้ามิมีวันฉลาดไปกว่าข้า”

รุ่ยหนิงที่อยู่ด้านข้างมิอาจเถียงได้จึงเงยหน้ามองดูโจวกุ้ยหลานอย่างมีความหวัง

โจวกุ้ยหลานรู้สึกเขินอายเล็กน้อยกับสายตาที่จ้องมองมา เรื่องนี้......นางเองก็มิอาจตอบได้

เพราะว่าพี่ใหญ่นั้นฉลาดกว่าน้องเล็ก หากจะกล่าวความจริงนี้ออกไปเกรงว่าจะทำให้รุ่ยหนิงต้องเสียใจ แต่หากว่าน่าโกหก ก็อาจจะทำร้ายรุ่ยอาน ช่างเป็นปัญหาที่ยากเย็นเสียจริง......

“ท่านแม่ มิชอบหนิงหนิงแล้วหรือ?” น้ำเสียงของเด็กน้อยทำท่าจะร้องไห้ดังขึ้น

โจวกุ้ยหลานก้มหน้าลงมองเห็น รุ่ยหนิงกัดริมฝีปากตน ดวงตาของเขามีน้ำตาคลอเบ้า

“มิใช่ว่าแม่มิรักรุ่ยหนิง”

“หนิงหนิงจะมิมีวันฉลาดเท่าพี่ชายได้จริงหรือ?” รุ่ยหนิงกะพริบตาแล้วเอ่ยถามโจวกุ้ยหลาน

“แน่นอนว่าเจ้ามิมีวันฉลาดเท่าข้า” รุ่ยอานกล่าว

โจวกุ้ยหลานแอบหยิกแขนของรุ่ยอานแล้วหันไปทางรุ่ยหนิง พบว่าเขานิ่งเงียบ จึงรีบเข้าไปปลอบใจรุ่ยหนิง “ต่อให้รุ่ยหนิงมิฉลาดเท่ากับพี่ แต่รุ่ยหนิงก็มิได้โง่ใช่ไหมเล่า? รุ่ยหนิงกินข้าวเยอะๆ จะได้ตัวใหญ่กว่าพี่”

“อืม” รุ่ยหนิงพยักหน้าของเขาอย่างแรงแล้วหัวเราะออกมาทั้งน้ำตา

โจวกุ้ยหลานแอบถอนหายใจด้วยความโล่งอก ใอหยาสิ การมีลูกสองคนนี่มันช่างยากเย็นเหลือเกิน ดีมิดีก็อาจทำร้ายใครคนหนึ่งเข้า

ขณะที่กำลังคิดอยู่นั้นนางก็ได้ยินเสียงของม้าร้อง จึงได้หันกลับไปดูที่ด้านข้างถนน เพื่อเว้นที่ว่างขนาดใหญ่ไว้ให้กับรถม้า

“พวกเจ้าสามคนยืนรอให้ถูกปล้นหรือ?”

เสียงหัวเราะเยาะดังมาภายในรถม้า โจวกุ้ยหลานจึงเงยหน้าขึ้นมองดู พบไป๋ยี่เซวียนนั่งโบกพัดอยู่ในรถม้า มองมาด้วยรอยยิ้มกึ่งหนึ่ง

โจวกุ้ยหลานแย้มริมฝีปากของตนขึ้น “พวกเราแม่ลูกช่างยากจนน่าสงสาร ใครกันจะมาปล้นพวกเรา แต่ผู้ที่ดูสง่าผ่าเผยและมั่งคั่งนั่งอยู่บนรถม้า เกรงว่าจะถูกปล้นเสียมากกว่า”

“เจ้ายากจนงั้นหรือ?” ไป๋ยี่เซวียนกล่าวประโยคนั้นซ้ำอีกครั้ง ก่อนที่จะเหลือบมองไปทางโจวกุ้ยหลานแล้วหัวเราะส่ายหน้าออกมา

โจวกุ้ยหลานยักไหล่ขึ้น แล้วเก็บห่อผ้าที่ใส่ตั๋วเงินเอาไว้สี่หมื่นสองพันตำลึง นางกล่าวด้วยท่าทางอันสงบนิ่งว่า “หากข้ามิยากจนแล้วใครจะจนเล่า เจ้าดูเถิดสตรีคนหนึ่งที่มิมีสามี ต้องพาลูกอีกสองคนเดินเท้าเร่ร่อน คิดว่าจะมีชีวิตที่ดีหรือ?”

ไป๋ยี่เซวียนยกมือขึ้นกำแล้วกระแอมเบาๆ ออกมาสองสามหน “นั่นเรียกว่าสตรีผู้อ่อนแอบอบบาง”

“ถูกต้องแล้วสตรีผู้อ่อนแอเช่นข้าพาลูกอีกสองคนเดินทางเร่ร่อน มิมีเงินกินข้าวอิ่มท้อง ทั้งยังต้องออกหาสามีไกลนับพันลี้”

ไป๋ยี่เซวียนเผยอริมฝีปากขึ้นเล็กน้อย เขาหยุดสนทนาไร้สาระกับโจวกุ้ยหลาน แล้วสั่งให้คนขับรถม้าหยุดลง ก่อนจะก้าวออกจากรถม้า เดินมาตรงหน้าโจวกุ้ยหลานแล้วยืนนิ่ง

“เจ้าตั้งใจจะพาลูกชายทั้งสองเดินไปที่เมืองหลวงหรือ?”

โจวกุ้ยหลานมองไปตามสายตาของเขาซึ่งจับจ้องไปยังขาสั้นของลูกชายทั้งสองก่อนจะส่ายหน้าว่า “ข้าคงมิสามารถทรมานพวกเขาได้หรอกข้าเพียงแต่จะไปหาผู้คุ้มกันมาคุ้มกันเรา แล้วนั่งรถม้าของสำนักคุ้มกันไปที่เมืองหลวง”

“ท่านแม่ อะไรคือผู้คุ้มกัน?” รุ่ยหนิงเงยหน้าขึ้นเอ่ยถามโจวกุ้ยหลาน

รุ่ยอานที่อยู่ด้านข้างขมวดคิ้ว “อีกประเดี๋ยวเจ้าก็รู้เอง”

“เขารู้สำนวนมากมาย เจ้าเชื่อหรือไม่ว่าเขาสามารถกล่าวออกมาได้อย่างมิหยุดหย่อน” โจวกุ้ยหลานหัวเราะจนน้ำตาแทบจะไหลออกมา

มิใช่เรื่องง่ายเลยที่จะเห็นไป๋ยี่เซวียนดูท่าทางห่อเหี่ยว อีกทั้งยังถูกบุตรชายของนางเป็นคนรังแกความรู้สึกนี้มันดียิ่งนัก

นับตั้งแต่เกิด รุ่ยอานและรุ่ยหนิงมักจะถูกให้ไปอยู่ในห้องเรียนของหลิวเกา จึงได้รับอิทธิพลถึงปรัชญาต่างๆ มาตั้งแต่เด็ก บัดนี้แม้พวกเขายังอายุมิถึงสามขวบแต่ก็สามารถอ่านเรียงความตัวอักษรได้นับพันตัว หากอยู่ในยุคปัจจุบันคงจะกลายเป็นเด็กอัจฉริยะไปแล้ว

แน่นอนว่าในยุคสมัยนี้พวกเขาก็เป็นเด็กอัจฉริยะ เมื่อเทียบกันแล้ว รุ่ยหนิงอาจดูโง่เขลาเล็กน้อย

สีหน้าของไป๋ยี่เซวียนดูบิดเบี้ยว ผ่านไปพักใหญ่จึงกล่าวขึ้นว่า “มิเสียแรงที่เป็นลูกชายเจ้า”

“หึๆ” โจวกุ้ยหลานอดมิได้ที่จะหัวเราะออกมาอย่างมิอาจปิดบัง

ไป๋ยี่เซวียนซึ่งทำตัวมิถูกเขินอายและเสียหน้าเนื่องจากเสียงหัวเราะของนาง กล่าวว่า “เจ้าจะไปเมืองหลวงกับข้าหรือไม่?”

“ไปๆๆ มิต้องเสียค่าใช้จ่ายแต่มีรถนั่ง อย่างไรข้าก็ต้องไป!” โจวกุ้ยหลานพยักหน้าแล้วฝืนยิ้มพยายามเก็บความรู้สึกขำขันเอาไว้ นางจูงมือลูกชายทั้งสองขึ้นรถม้าของไป๋ยี่เซวียนไป

ขณะที่เดินทาง นางก็เอ่ยถามไป๋ยี่เซวียนว่า “เจ้าอย่าได้ถือสาลูกชายทั้งสองของข้าเลย พวกเขาเพิ่งพบเจ้าเพียงครั้งสองครั้ง ยังมิรู้จักเจ้าดี มิรู้ว่าเจ้าเป็นคนเช่นไร”

“ข้าจะไปถือสาพวกเขาได้หรือ?” ไป๋ยี่เซวียนก็มิรู้จะทำเช่นไร

ทั้งสองคนขึ้นไปบนรถม้า หลังจากที่นั่งลงแล้วไป๋ยี่เซวียนก็สั่งให้คนขับรถออกรถได้ เมื่อรถม้าขยับ เสียงเกือกมาจากด้านหลังก็ดังขึ้น โจวกุ้ยหลานเปิดผ้าม่านมองดู พบรถม้าที่อยู่ด้านหลัง

“รถม้าข้างหลังนี้ เป็นรถเจ้าด้วยงั้นหรือ?”

โจวกุ้ยหลานเอ่ยถามด้วยความสงสัย

ไป๋ยี่เซวียนวางพัดลงที่ด้านข้าง “แน่นอนสิ สิ่งของของข้ามีมากมายเพียงนี้ รถม้าคันเดียวจะใส่พอได้อย่างไร”

“เจ้านำรถม้าเป็นเมืองหลวงด้วยกี่คันกัน?”

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: นางน้อยจอมพลังของนายพลบ้านนา