นางน้อยจอมพลังของนายพลบ้านนา นิยาย บท 360

นางน้อยจอมพลังของนายพลบ้านนา บทที่ 360 คนรับช่วงต่อ

พวกเขาไม่มัวพูดพร่ำทำเพลง รีบเข้าไปช่วยทันที

พอได้เข้าไปช่วย ก็ยุ่งเสียจนไม่มีเวลาหายใจหายคอ

รอจนช่วงเวลาอันยุ่งวุ่นวายผ่านพ้นไป พวกเขาก็ถึงกับยืดเอวตรง ๆ ไม่ไหวเลยทีเดียว แต่จำนวนคนที่อยู่ข้างนอกยังคงไม่ลดลงเลยแม้แต่น้อย

อาจารย์ดูเวลา ก็คิดอยากให้พวกเขากลับไปท่องหนังสือกันได้แล้ว จึงออกปากไล่พวกเขากลับไปทีละคน ๆ

พวกโจวกุ้ยหลานยุ่งมากจนไม่มีแม้แต่เวลาจะกินข้าว จึงทำได้แค่กัดแฮมเบอร์เกอร์ไปสามสี่คำระหว่างที่กำลังทำงานยุ่ง ๆ ไปด้วย

เมื่อได้เห็นว่า พวกเขาก็กินแฮมเบอร์เกอร์จากร้านของพวกเขาเอง คนที่ยังรู้สึกระแวงสงสัยในอาหารของพวกเขาอยู่ มาตอนนี้ ความสงสัยเหล่านั้นก็พลันสลายหายไปไม่มีเหลือแล้ว

รอจนถึงตอนค่ำ พวกลูกจ้างต่างก็กลับบ้านพักที่อยู่ในส่วนลานด้านหลังร้านก่อนเวลา แล้วนอนแผ่หราลงบนเตียง ทุกคนต่างอยู่ในสภาพที่ไม่มีแรงแม้แต่จะขยับนิ้วมือตัวเองได้แม้แต่นิ้วเดียว

ส่วนไป๋ยี่เซวียนซึ่งทำโค้กอยู่ที่บ้านมาตลอดทั้งวัน ก็เหมือนว่าพลังชีวิตจะหดหายไปด้วยเช่นกัน

เขาตามนักบัญชีมาดูรายการบัญชี แต่ตอนนี้เรียกได้ว่าแทบจะลืมตาไม่ขึ้นอยู่แล้ว

นักบัญชีนวดคลึงนัยน์ตาให้วุ่น ฝืนเบิกดวงตาค้างไว้ ดีดลูกคิดคำนวณบัญชีในสภาพมีใจสู้งานเต็มที่แต่ไม่มีเรี่ยวแรงหลงเหลือสักเท่าไหร่

“เมื่อคำนวณจากทั้งหมดนี้แล้ว รายได้ของวันนี้คือห้าร้อยแปดสิบเจ็ดตำลึง” หลังจากนักบัญชีคำนวณเสร็จ ในที่สุดเขาก็แจ้งตัวเลขโดยรวมให้แก่โจวกุ้ยหลานและไป๋ยี่เซวียนฟัง ”

“เท่าไหร่นะ?” โจวกุ้ยหลานถามย้ำขึ้นมาเสียงหนึ่ง

นักบัญชีพูดจำนวนซ้ำอีกครั้ง เพื่อพิสูจน์ว่าโจวกุ้ยหลานไม่ได้ฟังผิดไป

โจวกุ้ยหลานถึงกับตัวแข็งทื่อ แม้แต่ไป๋ยี่เซวียนก็ยังไม่อยากจะเชื่อ

“วันนี้เป็นวันที่ร้านของเราทำกำไรได้มากที่สุด เรียกได้ว่าดียิ่งกว่าที่แล้ว ๆ มาเสียอีก!” ไป๋ยี่เซวียนอดถอนหายใจด้วยความทึ่งไม่ได้

ทั้งสองมองหน้าประสานสายตากันแวบหนึ่ง จู่ ๆ ก็เหมือนพลังชีวิตจะฟื้นคืนขึ้นมาทันที จากนั้นไป๋ยี่เซวียนก็หักค่าวัตถุดิบ กับค่าแรงคนงานทั้งหมด แล้วขอให้นักบัญชีทำการคำนวณอีกครั้ง รอจนคำนวณบัญชีเสร็จ ต้นทุนทั้งหมดอยู่ที่ราว ๆ สองร้อยตำลึงเงินกว่า ๆ ส่วนกำไรสุทธิที่พวกเขาได้มา ยังมีมากกว่าสามร้อยตำลึงเงิน

ยอดขายโค้กก่อนหน้านี้ ก็ยังไม่สามารถทำเงินได้มากขนาดนี้ในหนึ่งวันเลยด้วยซ้ำ!

พอคิดได้แบบนี้ ทันใดนั้นก็ดูเหมือนว่า อนาคตข้างหน้ามันดูสว่างสดใสขึ้นมาเลยทีเดียว

นักบัญชีกอดลูกคิดกับสมุดบัญชีกลับไปนอน ไป๋ยี่เซวียนยืนกรานที่จะไปส่งโจวกุ้ยหลานกลับบ้าน โดยให้เหตุผลว่ามันมืดเกินไป ผู้หญิงเช่นนางเดินทางคนเดียวไม่ปลอดภัย

โจวกุ้ยหลานปฏิเสธไม่ได้ จึงต้องตามใจเขา

ทั้งสองเดินกลับภายใต้แสงจันทร์ที่สาดส่อง วางแผนอนาคตอย่างตื่นเต้น

“ถ้าเช้ามาแล้วพวกเราถูกลูกค้าปลุกให้ตื่นจนตาแจ้งแบบนี้ทุกวันล่ะก็ อีกไม่นานเราก็คงทำให้เงินเหล่านี้เพิ่มขึ้นมาได้อีกหลายต่อหลายเท่าแล้วล่ะ คงได้ต้นทุนคืนหมดแน่นอนเลย!”

ไป๋ยี่เซวียนดีดลูกคิดในใจ

โจวกุ้ยหลานพยักหน้า: “วันนี้เป็นเพราะว่าเรายังไม่มีกำลังคนไม่มากพอ แล้วที่นั่งก็สามารถรองรับจำนวนคนได้แค่ไม่เท่าไหร่ ถ้าไม่อย่างนั้น รายได้ของเราอาจเพิ่มขึ้นจากนี้อีกเท่าตัวเลยเชียวล่ะ”

พูดจบ นางก็รู้สึกว่ามือตัวเองเจ็บขึ้นมาเล็กน้อย

ถ้ามีลูกค้ามาเยอะกว่านี้ล่ะก็ มือของนางอาจจะหักไปเลยก็ได้

ไป๋ยี่เซวียนก็มีความสุขมากเช่นกัน แต่ในวินาทีถัดมา เหมือนว่าเขาจะคิดอะไรออก ในใจก็พลันหนักอึ้งจมดิ่งลงทันที: “แต่สูตรทำโค้กของพวกเราถูกนำออกไปแล้ว เกรงว่าจากนี้ไปโค้กของพวกเราคงจะ…..”

คำพูดส่วนที่เหลือเขาไม่ได้พูดออกมา

จนถึงตอนนี้ โค้กยังคงเป็นหนึ่งในเอกลักษณ์ของพวกเขาอยู่ แต่ถ้าถูกคนอื่นเอาไปใช้ขึ้นมา ในอนาคตโค้กของพวกเขาก็จะขายไม่ได้ราคาเท่าไหร่แล้ว

โจวกุ้ยหลานส่ายหน้า: “สูตรนั้นของข้ามีรายการของที่ไม่เกี่ยวข้องกันมากกว่าร้อยรายการ ถ้าพวกเขาคิดจะปรุงมันขึ้นมาใหม่ ก็ไม่ง่ายดายขนาดนั้นหรอกนะ”

“แล้วพวกของที่เจ้าใช้ไป……”

“พวกนั้นน่ะรึ ข้าโยนมันทิ้งลงในถังน้ำใบใหญ่ แล้วเททิ้งลงไปในสระกักเก็บน้ำเสียหมดแล้ว ใครจะรู้ล่ะว่าข้าใช้อะไรบ้าง หรือไม่ได้ใช้อะไรบ้าง?”

โจวกุ้ยหลานพูดไป ๆ ก็อดหัวเราะออกมาไม่ได้: “แถมจะว่าไป ในใบรายการนั้นยังขาดสิ่งที่สำคัญที่สุดไปสิ่งหนึ่งด้วย”

“อะไรรึ?”

“เบกกิ้งโซดา” โจวกุ้ยหลานพูดไป ก็กลัวว่าเขาจะไม่รู้จัก จึงรีบเสริมเข้าไปอีกประโยคหนึ่งว่า “หรือก็คือน้ำด่าง”

ไป๋ยี่เซวียนตกใจจนผงะ: “เจ้าไปที่หยาเหมินก็คิดว่าจะทำโค้กแล้วอย่างนั้นรึ?”

เมิ่งเจียงได้ยินเสียงถอนหายใจของนาง จึงหันหน้ากลับมามอง โจวกุ้ยหลานอดถอนหายใจอีกเฮือกไม่ได้: “พอหาเงินได้มากเข้า ก็กลายเป็นภาระอันหอมหวานได้เหมือนกันนะ….. ”

เมิ่งเจียง: “…..”

รอจนโจวกุ้ยหลานกลับไปถึงห้องของตัวเอง ก็ตักน้ำร้อนมาแช่เท้า ร่างกายพลันรู้สึกผ่อนคลายลงไปไม่น้อย

เมื่อนึกถึงคำพูดของไป๋ยี่เซวียน นางก็อดหัวเราะออกมาไม่ได้

ดู ๆ ไปแล้วเหมือนว่า ไป๋ยี่เซวียนจะเข้าใจนางเป็นอย่างดีเลยทีเดียว…..

แต่คำพูดบางอย่าง มันก็ไม่จำเป็นต้องบอกกับใครคนอื่นก็ได้ แค่ตัวเองตัดสินใจได้เอง เท่านั้นก็เพียงพอแล้ว

เมื่อคิดถึงตรงนี้ นางก็เงยหน้าขึ้นไปมองบนหลังคา ยังเหลือเวลาอีกไม่ถึงปี ถ้าสวีฉางหลินยังคงเป็นแบบนี้ นางก็คงจะไม่รอเขาอีกต่อไปแล้วแน่ ๆ

แต่ติดอยู่ที่ว่า คำว่าไม่รอเขาแล้ว ก็ไม่ได้หมายความว่านางจะกระเตงลูกชายทั้งสองคนไปหาใครคนอื่นมาแต่งงานใหม่

คำพูดเหล่านี้ นางไม่สามารถบอกคนอื่นได้ โดยเฉพาะไป๋ยี่เซวียน

“สวีฉางหลิน เจ้าอย่าทำให้ข้าผิดหวังเชียวล่ะ” โจวกุ้ยหลานพูดพึมพำกับตัวเอง

พอฟื้นคืนสติกลับมาได้ นางก็บิดผ้าขนหนูให้แห้ง เช็ดเท้า แล้วเอนตัวลงนอนหลับไป

อีกด้านหนึ่งของเมืองหลวง ภายในจวนหู้กั๋วกง

หญิงสาวผู้มีสีหน้าเยือกเย็นประดุจน้ำแข็ง ซึ่งสวมชุดสีดำสนิทคนหนึ่งชันเข่าอยู่กับพื้น รายงานข่าวของโจวกุ้ยหลานต่อชายคนหนึ่งซึ่งยืนอยู่ภายใต้แสงจันทร์

“ไป๋ยี่เซวียนยังคิดเกินเลยกับภรรยาข้าอยู่อีกอย่างนั้นรึ ?” สวีฉางหลินถามพลางขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน

น้ำเสียงเช่นนี้ ถ้าไป๋ยี่เซวียนมาอยู่ตรงหน้าเขาล่ะก็ น่ากลัวว่าคงได้ถูกดาบในมือฟันคอฉับเดียวขาดกระเด็นแน่นอน

น้ำเสียงของเสี่ยวจิ่วยังคงราบเรียบเย็นชาเหมือนเดิมไม่เปลี่ยน: “ข้าน้อยไม่ทราบเจ้าค่ะ แต่ไป๋ยี่เซวียนดีกับฮูหยินน้อยอย่างมาก”

ดวงตาของสวีฉางหลินยิ่งเบิกกว้างขึ้นไปอีก แทบอดใจไม่ไหว อยากจะหากระสอบสักใบมาจับไป๋ยี่เซวียนยัดเข้าไป แล้วทุบตีเขาให้หนัก ๆ สักยก

แต่ถ้าทำอย่างที่เขาคิดนี้จริง ๆ ล่ะก็ ร้านนั้นก็จะเหลือแค่ภรรยาตัวน้อยของเขาที่ต้องรับผิดชอบอยู่คนเดียว แบบนั้นภรรยาตัวน้อยของเขาก็ยิ่งเหนื่อยขึ้นกว่าเดิมน่ะสิ……

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: นางน้อยจอมพลังของนายพลบ้านนา