นางสนมแพทย์อัจฉริยะ นิยาย บท 1406

การติดต่อครั้งแรกระหว่างเสด็จอาเก้า หวังจิ่นหลิง และชุยห้าวถิงถือว่าประสบความสำเร็จ อย่างน้อยทั้งคนก็ได้บรรลุข้อตกลงโดยปริยาย แม้ว่าจะไม่ได้เปิดใจคุยกันอย่างซื่อตรงมากนัก แต่ก็ไม่มีใครรั้งใครเอาไว้

หวังจิ่นหลิงและชุยห้าวถิงเป็นตัวแทนของตระกูลหวังและตระกูลชุย เหมือนกับเฟิ่งชิงเฉินที่เป็นตัวเชื่อมสัมพันธไมตรีของตระกูลเฟิ่งหลี ตระกูลหวังและตระกูลชุยเฝ้ารอวันที่ตระกูลเฟิ่งหลีจะกลับมารุ่งโรจน์อีกครั้ง และก็หวังใจว่าเฟิ่งชิงเฉินจะได้กลายเป็นทายาทที่ครอบครองอำนาจโดยชอบธรรมของตระกูลเฟิ่งหลีคนต่อไป

อำนาจของเฟิ่งชิงเฉินนั้นสอดคล้องกับผลประโยชน์ของตระกูลชุยและตระกูลหวังมากกว่าคนที่พวกเขาไม่เข้าใจการมีอยู่ของอำนาจ

และจนกระทั่งถึงตอนนี้ เฟิ่งชิงเฉินถึงเพิ่งจะเข้าใจ สาเหตุที่ตระกูลขุนนางมีอำนาจก็เพราะการสนับสนุนจากกำลังทางทหารของตระกูลเฟิ่งหลี เฟิ่งหลีอ๋องเป็นผู้ภักดีต่อตระกูลหลาน แต่อย่าลืมว่าตระกูลเฟิ่งหลีเองก็เป็นอดีตตระกูลขุนนางที่ร่ำรวย ตระกูลชุยและตระกูลหวังจึงรู้สึกดีใจมากที่ตระกูลเฟิ่งหลีจะกลับมามีอำนาจอีกครั้ง

ไม่ว่าจะเป็นยุคสมัยใด ผู้ที่ครอบครองอำนาจถึงจะเป็นราชาที่แท้จริง นี่ก็เป็นสาเหตุว่าทำไมตระกูลหลานถึงคิดที่จะทำลายตระกูลเฟิ่งหลี และแย่งชิงอำนาจจากตระกูลเฟิ่งหลีไป เพราะหากมีตระกูลเฟิ่งหลีอยู่ ผู้ที่เป็นจักรพรรดิก็ไม่มีทางรวบรวมอำนาจทั้งหมดมาอยู่ในมือได้

เฟิ่งชิงเฉินเองก็คิดว่าการกระจายอำนาจทางการทหารนั้นไม่ได้เป็นเรื่องที่ผิดอะไร หากจักรพรรดิเป็นผู้ควบคุมอำนาจทางการทหาร แต่เป็นผู้ขาดศีลธรรม เขาก็สามารถทำทุกอย่างได้ตามที่เขาต้องการ

ไม่ใช่เรื่องดีที่จักรพรรดิจะสามารถกำหนดชะตากรรมทุกสิ่งทุกอย่างบนโลก หากจักรพรรดิฉลาดก็ถือเป็นเรื่องดี แต่หากจักรพรรดิผู้โง่เขลามีอำนาจอยู่ในมือ เช่นนั้นประชาชนคงต้องมีชีวิตอยู่อย่างทุกข์ทรมาน

หลังจากพูดคุยกับหวังจิ่นหลิงและชุยห้าวถิงเรียบร้อย เฟิ่งชิงเฉินก็ได้ปรับเปลี่ยนแผนการของตัวเอง จากนั้นก็ตรวจสอบรายงานที่ได้จากเป่ยหลิง

แม้ว่าจะได้รับความร่วมมือจากตระกูลหวังและตระกูลชุย แต่ก็ยังไม่ได้รู้อะไรมากมาย นี่แสดงให้เห็นว่าการปกปิดของเป่ยหลิงนั้นหนาแน่นเพียงใด จนถึงขั้นทำให้หวังจิ่นหลิงและชุยห้าวถิงสงสัยว่าคนที่อยู่เบื้องหลังของราชวงศ์เป่ยหลิงก็คือคนของตระกูลเฟิ่งหลี

การต่อสู้ระหว่างหนานหลิงและเป่ยหลิงสิ้นสุดลงแล้ว และเป่ยหลิงได้รับชัยชนะอย่างสมบูรณ์ แต่กลับไม่มีตราราชลัญจกรของเป่ยหลิงปรากฏออกมา

“ตราราชลัญจกร หากได้ครอบครองมันจะสามารถขึ้นไปนั่งบนตำแหน่งนั้นได้จริงงั้นหรือ?” เฟิ่งชิงเฉินสงสัย เสด็จอาเก้าจึงให้คำตอบที่แน่ชัดกับเฟิ่งชิงเฉิน “ขอแค่เป็นองค์ชายแห่งเป่ยหลิง ก็สามารถขึ้นไปนั่งบนตำแหน่งจักรพรรดิได้”

เสียงเปิดประตูดังขึ้น เสด็จอาเก้าเปิดประตูนำทางแสงจันทร์ให้ส่องทอดตามช่องทางเดิน

“เจ้ามาได้อย่างไร?” เฟิ่งชิงเฉินวางรายงานที่อยู่ในมือลง ลุกขึ้นมาพร้อมกล่าวว่า “ไม่ใช่ ข้าควรจะพูดว่า เจ้าเข้ามาได้อย่างไร?” ทหารม้าสิบแปดเอาแต่กินไม่รู้จักทำงานเลยหรืออย่างไร?

“มันครบกำหนดเวลาสิบห้าวันแล้ว”

“อ่า?” ตอนแรกเฟิ่งชิงเฉินก็รู้สึกสับสน ทำให้ใบหน้าของเสด็จอาเก้ากลายเป็นสีดำในทันใด “เจ้าลืมไปแล้วงั้นหรือ?”

“อะไร?” เฟิ่งชิงเฉินมองไปที่เสด็จอาเก้าด้วยความสับสน ในตอนที่นางได้สติกลับคืนมา เสด็จอาเก้าก็ยืนอยู่ตรงนั้นด้วยท่าทางที่ไร้อารมณ์ จ้องมองมาที่นาง

เฟิ่งชิงเฉินรีบเดินไปด้านหน้าของเสด็จอาเก้า จากนั้นก็ยิ้มออดอ้อนออกมา “คือว่า ช่วงนี้ข้ายุ่งมากเลย”

เสด็จอาเก้ายังคงไม่พูดอะไรออกมา เขาเพียงแค่จ้องมองมาที่เฟิ่งชิงเฉิน เฟิ่งชิงเฉินยิ้มออกมาพร้อมกับดึงแขนเสื้อของเสด็จอาเก้า “เจ้าโกรธอย่างนั้นหรือ?”

“อย่าโกรธข้าเลย ข้าเองก็ไม่ได้ตั้งใจ เจ้าเองก็รู้ ระยะเวลาสิบห้าวันมันไม่ได้อะไรเลย ข้าก็แค่ล้อเล่น และอยากให้เจ้าได้พักผ่อนอยู่ที่จวนอย่างสบายใจ”

เฟิ่งชิงเฉินสัมผัสได้ถึงความเยือกเย็นรอบกายของนาง นางจึงกล่าวออกมาอย่างเชื่อฟัง “ข้าผิดไปแล้ว ข้าผิดไปแล้วจริง ๆ เจ้าอย่าโกรธข้าเลย”

“ฮึ......” ส่งเสียงออกมาเล็กน้อย ถือว่าเป็นการให้เกียรติ แต่ก็ยังคงยืนอยู่ตรงนั้นไม่เคลื่อนไหว เฟิ่งชิงเฉินทำตัวออดอ้อนอยู่นาน แต่เสด็จอาเก้าก็ยังคงไม่เคลื่อนไหว เฟิ่งชิงเฉินกลอกตาขาว จู่ ๆ ก็กอดแขนซ้ายของตัวเองและร้องออกมาว่า “โอ๊ยเจ็บ”

“เป็นอะไรงั้นหรือ?” เสด็จอาเก้าทนนิ่งเฉยต่อไปไม่ได้ ถามออกมาด้วยความเป็นห่วง นี่ทำให้หัวใจของเฟิ่งชิงเฉินเต้นแรง หากเสด็จอาเก้ารู้ว่าถูกตนเองหลอก เขาจะฆ่านางหรือไม่?

ในเมื่อลงมือทำไปแล้ว เช่นนั้นก็มีแต่ต้องทำให้ถึงที่สุด

“ข้าเจ็บ” เฟิ่งชิงเฉินแสร้งทำเป็นเจ็บปวด ท่าทางของเสด็จอาเก้าเปลี่ยนไปทันใด พยุงเฟิ่งชิงเฉินด้วยความระมัดระวัง “เจ้านั่งลงก่อน ไหนลองให้ข้าดูหน่อย”

นี่คือความกังวลอย่างชัดเจน เหงื่อของเฟิ่งชิงเฉินไหลออกมาเต็มหน้าผาก เสด็จอาเก้าคิดว่านางกำลังรู้สึกเจ็บปวด แต่ในความจริงแล้วนางแค่กังวลเท่านั้น

เสด็จอาเก้าไม่ชอบมันเป็นอย่างมากที่เฟิ่งชิงเฉินนำวิธีนี้มาใช้กับเขา

“ข้าก็แค่ทำเพื่อวางรากฐานในเป่ยหลิงไม่ใช่หรือไง เฟิ่งหลีหยูบอกให้ข้าเรียนรู้สิ่งต่าง ๆ จากหวังจิ่นหลิงและชุยห้าวถิง สิ่งเหล่านี้คนในตระกูลเฟิ่งหลีจะไม่สั่งสอนข้า และเขาเองก็สอนข้าไม่ได้เช่นกัน ข้าทำได้เพียงพึ่งพาตัวเองเท่านั้น” แม้ว่าจะมีคนคอยให้การสนับสนุน แต่สุดท้ายนางก็ยังต้องพึ่งพาตัวเองอยู่ดี

แต่ที่เฟิ่งหลีหยูพูดมานั้นก็ไม่ได้ผิด ชีวิตถูกสร้างขึ้นด้วยตัวคน หากต้องการชีวิตที่ดีกว่า เช่นนั้นก็ทำได้เพียงพึ่งพาตัวเองเท่านั้น

“เรื่องพวกนี้ข้าเองก็สามารถสอนเจ้าได้” สุดท้ายแล้วก็สรุปได้ว่ามีคนกำลังหึงอยู่

“มันไม่เหมือนกัน ข้าไม่เพียงแต่ต้องเรียนรู้สิ่งต่าง ๆ จากพวกเขาเท่านั้น แต่ข้ายังต้องเชื่อมความสัมพันธ์อันดีกับพวกเขาอีก ไม่ว่าจะเป็นความสัมพันธ์ส่วนตัวหรือความสัมพันธ์แบบวงศ์ตระกูล ข้าต้องใช้ฐานะของลูกสาวโดยชอบธรรมเฟิ่งหลีผูกมิตรกับพวกเขา ในอนาคตข้างหน้าจะทำให้เส้นทางของข้าง่ายขึ้น เจ้าเองก็รู้ พวกเราทั้งสามตระกูลนั้นมีจุดประสงค์คล้ายคลึงกัน และมีการร่วมมือกันมาตั้งแต่รากฐาน”

“แต่เจ้าก็สามารถร่วมมือกับข้าได้” เสด็จอาเก้าไม่อยากให้ความสัมพันธ์ของทั้งสามตระกูลใหญ่นี้แน่นแฟ้นจนเกินไป

เขาไม่ได้หวาดกลัวในอำนาจของตระกูลขุนนาง แต่ในสายตาของเขา ไม่ว่าจะประเทศหรือตระกูลขุนนางก็สามารถทำทุกอย่างเพื่อประชาชนและคนบนโลกได้ มันไม่สำคัญว่าตัวตนนั้นจะเป็นแบบไหน

ไม่มีขุนนางก็ยังมีวีรชนอยู่ดี เรื่องราวต่าง ๆ บนโลกใบนี้ไม่อาจตัดสินใจได้ด้วยคนเพียงคนเดียว ตั้งแต่เกิดมาในพระราชวังจนถึงตอนนี้ ก็ยังไม่เคยมีใครได้ลิ้มรสกับความเจ็บปวดที่จักรพรรดิเป็นคนตัดสิน

จักรพรรดิผู้เกรงกลัวอำนาจของตระกูลขุนนาง ก็เป็นได้เพียงคนไร้ความสามารถ เอาแต่หวาดกลัวว่าจะถูกประชาชนโค่นล้ม

แต่เขาไม่อยากเอาเรื่องนี้มาเถียงกับเฟิ่งชิงเฉินในทุกวัน......

หากมีวันนั้นจริง เขาจะตัดสินมันด้วยความรู้สึกส่วนตัว? หรือว่าตัดสินมันด้วยเหตุผลที่ควรเป็น?

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: นางสนมแพทย์อัจฉริยะ