นางสนมแพทย์อัจฉริยะ นิยาย บท 147

บุคคลสำคัญมักมาถึงงานทีหลังเสมอ เฟิ่งชิงเฉินไม่อยากตกเป็นเป้าสายตาของคนอื่น นางจึงชิงออกไปนอกจวนก่อน แต่ดังถูกสวรรค์กลั่นแกล้ง รถม้าที่นางนั่งดันเกิดเสียกลางทางที่นอกเมือง

"ดูท่าทางจะไปต่อไม่ได้แล้ว" เฟิ่งชิงเฉินพิจารณาสภาพรถม้าแล้วก็รู้ว่าวันนี้โชคไม่ดี นางจึงต้องโบกรถม้าคันอื่นที่แล่นผ่าน แต่ก็หามีผู้ใดจอดรับไม่

แต่มีรถม้าคนหนึ่งที่ยอมจอด ทว่าเมื่อทราบว่านางคือเฟิ่งชิงเฉินก็รีบสั่งให้สารถีฟาดแส้สั่งม้าให้รีบไป ทำราวกับว่าหากผู้ใดเข้าใกล้เฟิ่งชิงเฉิน ผู้นั้นก็จะติดเสนียดไปจากนาง

"จะทำอย่างไรกันดีล่ะขอรับคุณหนู?" สารถีเอ่ยถาม

ในพื้นที่ที่ทุรกันดาร ด้านหน้าไร้หมู่บ้าน ด้านหลังก็ไม่มีร้านรวง จะหาใครสักคนมาช่วยคงจะยาก

"ก็แล้วจะทำอย่างไรล่ะ เอาเชือกที่คล้องม้าออกซะ เดี๋ยวข้าจะขี่ม้าไปเอง" เฟิ่งชิงเฉินกล่าวโดยไม่ได้คิดอะไรมาก

ในเมื่อมีคนไม่ต้องการให้นางไปปรากฏตัวภายในงานกวี นางจึงต้องออกไปนอกเมือง

"แต่ว่าม้าตัวนี้ไม่มีอานม้าและโกลนเพื่อเหยียบขึ้น ท่านจะขี่ได้อย่างไร?"

"ก็ขี่ได้เหมือนกันนั่นแหละ แต่ว่าก็คงจะช้าหน่อย แก้เชือกออกเร็วเข้า" นางแหงนมองดูท้องฟ้าและคิดในใจว่าหากไม่รีบเร่งคงไปถึงช้าแน่

สารถีไม่กล้าขัดคำสั่ง แต่ในขณะที่เขากำลังก้าวเท้าเพื่อไปแก้เชือกม้า ก็ได้ยินเสียงควบม้าเป็นขบวนดังมาจากด้านหลัง

ใครมาน่ะ มาเป็นขบวนเชียว?

ม้าเหล่านั้นวิ่งใกล้เข้ามาเรื่อย ทำเอาฝุ่นบนพื้นลอยละล่อง เฟิ่งชิงเฉินรีบหลบไปข้างทางเพราะเกรงว่าจะถูกชน

ขบวนม้าวิ่งมาแล้ว มีองครักษ์มาด้วย ดูยิ่งใหญ่ขนาดนี้ หากไม่ใช่สมาชิกราชวงศ์ก็คงเป็นคนชนชั้นสูง เฟิ่งชิงเฉินถอยห่างไปเรื่อยๆ เพราะไม่ต้องการให้ขบวนตรงหน้าต้องมาหยุดอยู่หน้าตน

"เอ๋?" เฟิ่งชิงเฉินเพ่งมองจนนางเห็นว่ามีคนๆหนึ่งท่าทางคล้ายขันทีกำลังเดินมาหานาง

"คุณหนูเฟิ่ง เสด็จอาเก้าทรงเรียกพบขอรับ"

เฟิ่งชิงเฉินได้แต่มองจนตาค้าง นางแทบไม่อยากจะเชื่อเลย

ทำไมบังเอิญอย่างนี้ล่ะ?

ผู้หญิงคนนี้สวยจริงๆ!

ขันทีก็รู้สึกใจเต้นแบบแปลกๆ เขารีบก้มหน้าและกล่าวว่า "คุณหนูเฟิ่ง รีบไปเถอะขอรับ อย่าให้เสด็จอาเก้าทรงรอนาน"

เสด็จอาเก้าไม่ได้ขี่ม้ามา แต่นั่งมาภายในรถม้าซึ่งมีม้า 4 ตัวลากรถให้ ตัวรถม้าเป็นสีดำทั้งคัน ดูสูงส่งและน่าเกรงขามมาก

ทั่วทั้งปฐพี มีเพียงเสด็จอาเก้าเพียงคนเดียวเท่านั้นที่มีสิทธิ์นั่งรถม้าคันนี้ได้

"ค่ะ ท่านกงกง" เฟิ่งชิงเฉินได้สติคืนมาแล้ว นางยิ้มให้กับขันที เป็นรอยยิ้มที่ทำให้ขันทีไม่กล้ามองหน้านาง แล้วรีบนำทางนางไปทันที

เฟิ่งชิงเฉินมาถึงหน้ารถม้าแล้ว ยังไม่ทันที่นางจะได้เอ่ยปากพูด ก็ได้ยินเสียงของเสด็จอาเก้า "ขึ้นรถ"

เสียงของเสด็จอาเก้า ฟังดูเหมือนคนที่ขี้เกียจ

เห็นได้ชัดว่าเสด็จอาเก้ารู้ว่าตอนนี้นางอยู่ที่ไหน

"ขอบพระทัยเพคะ เสด็จอาเก้า" เฟิ่งชิงเฉินพยายามคุมใจไม่ให้สั่น นางตอบกลับด้วยน้ำเสียงแน่นิ่ง

รถม้าของเสด็จอาเก้าไม่เหมือนรถม้าทั่วๆไป ไม่เคยมีผู้ใดสามารถขึ้นมานั่งบนรถม้าคันนี้ได้ นึกไม่ถึงเลยว่าวันนี้นางจะมีโอกาสได้นั่งในรถม้าคันนี้ร่วมกับเสด็จอาเก้า

นี่นางพลิกวิกฤตเป็นโอกาสหรือนี่? เฟิ่งชิงเฉินพยายามหุบยิ้มของตัวเอง

"เชิญคุณหนูเฟิ่งขอรับ" ขันทีช่วยประคองเฟิ่งชิงเฉินขึ้นรถแล้วจึงถอยออกไป ไม่ได้ขึ้นไปบนรถด้วย

เฟิ่งชิงเฉินพยักหน้าเพื่อแสดงความขอบคุณ ดวงตาของนางดูสุกใส

เมื่อประตูรถม้าถูกปิดลง เฟิ่งชิงเฉินก็ถึงกับตาค้าง......

นางรู้มาตลอดว่าเสด็จอาเก้านั้นรูปงาม แต่เมื่อมาเห็นเขาในชุดสีดำไปทั้งตัว ซึ่งกำลังนอนอิงหมอนอ่านหนังสืออยู่บนเบาะ ทำเอานางกลืนน้ำลายไปอึกใหญ่

หล่อเหลาไม่มีใครเทียบเทียม!

หล่อเหลาอย่างเสด็จอาเก้า แม้จะอยู่เฉยๆก็มัดใจใครต่อใครได้มากมาย

สิ่งที่ทำให้ตงหลิงจิ่วแปลกใจมากก็คือ เนื้อตัวเฟิ่งชิงเฉินไม่มีกลิ่นเครื่องหอมใดๆเลย มีเพียงกลิ่นหอมเหมือนดอกไม้อ่อนๆเท่านั้น ทำให้เขาอารมณ์ดีเป็นพิเศษ

เขาไม่ชอบอยู่ใกล้หญิงสาวที่เนื้อตัวหอมฟุ้งแสบจมูก

ทันใดนั้น รถม้าที่แล่นมาดีๆก็เกิดสะดุดขึ้น เฟิ่งชิงเฉินไม่ทันได้ระวังจึงเซมาทางตงหลิงจิ่ว

โอ๊ย......เฟิ่งชิงเฉินร้องออกมาด้วยความตกใจ นางรู้ดีว่าเสด็จอาเก้าไม่ชอบให้ใครมาถูกตัว คราวนี้นางต้องตายแน่ๆเลย

แต่ใครเลยจะคิด ในขณะที่เฟิ่งชิงเฉินเซมาทางเสด็จอาเก้า เขากลับรีบนำหมอนอิงไปกั้นไว้ให้นาง ราวกับว่าเตรียมการมาล่วงหน้า

"นั่งดีๆสิ!"

เขากล่าวเสียงดุและดูเหมือนจะไม่ค่อยพอใจ

"เพคะ" เฟิ่งชิงเฉินจับหมอนหน้าสลด

เสด็จอาเก้าคงนึกว่านางจงใจ แต่นางไม่ได้เจตนาจริงๆนะ

เฟิ่งชิงเฉินเอาแต่ก้มหน้า นางอยากอธิบายแต่กลับไม่กล้าพูดอะไรออกมา

เสด็จอาเก้ายิ้มเล็กน้อย

สารถีรีบเอ่ยขออภัย เสด็จอาเก้าก็ตอบกลับไม่กี่คำ

บรรยากาศในรถม้าไม่เหมือนเดิมอีกแล้ว เฟิ่งชิงเฉินไม่กล้าจ้องมองตงหลิงจิ่วเหมือนเมื่อครู่ ได้แต่แอบมองเป็นครั้งคราว......

แววตาของนางเป็นประกาย!

สายตาเช่นนี้ ราวกับว่าจะจับเสด็จอาเก้ามาฉีกกินเสียให้ได้

เมื่อถูกมองเช่นนี้แล้ว ตงหลิงจิ่วจึงไม่มีสมาธิกับหนังสือ แต่เขาก็ซ่อนความรู้สึกทุกอย่างไว้ และทำท่าอ่านหนังสือต่อไป ปล่อยให้เฟิ่งชิงเฉินหลงคิดว่าเขาไม่รู้ตัวที่ถูกนางแอบมอง......

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: นางสนมแพทย์อัจฉริยะ