นางสนมแพทย์อัจฉริยะ นิยาย บท 162

เฟิ่งชิงเฉินมิต้องการเสียเวลาไปมากกว่านี้ เมื่อนางพยายามสงบสติอารมณ์ได้แล้วนั้น ก็พลันเอ่ยปากเกลี้ยกล่อมขึ้นมาว่า "แน่นอนว่าองค์ชายย่อมมิอาจขยับไปไหนได้ ชิงเฉินแค่เกรงว่า มือของตนเองนั้นจะสั่นเกินไป มิเช่นนั้นมันอาจจะส่งผลต่อการเย็บแผลให้พระองค์ได้ อย่างไร องค์ชายควรจะให้ความร่วมมือกับองครักษ์ทั้งสองนายด้วยเถิด"

แสงจันทร์ที่ส่องลงมา พลางส่งลงมากระทบกับใบหน้านวลของเฟิ่งชิงเฉินที่มีเหงื่อเล็ก ๆ ไหลเต็มไปหน้า แต่ทว่า มันกลับดูสวยงามยิ่งนัก ยิ่งมองยิ่งรู้สึกว่ามันดูน่าดึงดูด พร้อมด้วยน้ำเสียงเกลี้ยกล่อมที่อ่อนหวานเอื้อนเอ่ยออกมานั้น ทำให้ตงหลิงจื่อชุนถึงกับไร้สติไปในทันที พร้อมทั้งพยักหน้าตกลงด้วยความเหม่อลอย

เมื่อองครักษ์ทั้งสองนายได้รับคำสั่งเช่นนั้น ก็ทำตามที่เฟิ่งชิงเฉินขอร้องในทันที พลางล็อคตัวตงหลิงจื่อชุนเอาไว้ เมื่อจัดทวงท่าเสร็จแล้วนั้น เฟิ่งชิงเฉินก็ค่อย ๆ ใช้คีมหนีบเนื้อให้เข้าหากัน พร้อมทั้งลงเข็มไปในทันที

"อ๊าก"

ตงหลิงจื่อซุนพลันส่งเสียงร้องออกมาด้วยความเจ็บปวด ทั่วร่างพลันสั่นเทา องครักษ์ทั้งสองนายที่ได้ยินเช่นนั้น ก็พลันตกใจในทันที หากแต่เฟิ่งชิงเฉินยังคงกล่าวออกมาด้วยความเลือดเย็นว่า "จับตัวเขาเอาไว้"

นางหาได้เงยหน้ามองตงหลิงจื่อชุนไม่ เพียงอต่ใจจดใจจ่ออยู่กับการเย็บแผลให้เข้าที่

ตงหลิงจื่อชุนเจ็บปวดเสียจนทั่วร่างชาไปหมด ทั้งทั่วร่างยังกะตุกออกมาเป็นระยะ นับว่าโชคดีที่องครักษ์ทั้งสองนายมีพละกำลังมากมาย ทั้งยังรู้ดีว่า หากปล่อยให้ตงหลิงจื่อชุนดิ้นไปมานั้น จักต้องเกิดอันตรายต่อเขาอย่างแน่นอน จึงล็อคตัวเขาไว้ มิให้มีโอกาสดิ้นไปมาได้อีก

ตงหลิงจื่อชุนเจ็บปวดเสียจนถึงกับร่ำให้ออกมา เมื่อเฟิ่งชิงเฉินเย็บแผลให้เขาเสร็จแล้วนั้น ตงหลิงจื่อชุนก็เป็นลมล้มพับไปเพราะความเจ็บปวดเสียแล้ว

องครักษ์ทั้งสองนายรู้สึกขายหน้ายิ่งนัก

ก่อนหน้านั้น เจ้านายของเขาเอ่ยปากเสียดิบดีว่าจะไม่ดิ้นไปมา สุดท้ายแล้ว?

หากแต่เฟิ่งชิงเฉินหาได้นึกติดใจอันใดไม่ นี่เป็นสิ่งที่นางคาดเดาไว้ตั้งแต่แรกอยู่แล้ว หลังจากที่เย็บบาดแผลจนเสร็จแล้วนั้น เฟิ่งชิงเฉินก็พลันหยิบยาแก้อักแสบออกมา พร้อมทั้งกำชับว่าให้ตงหลิงจื่อชุนกินสองเม็ด จากนั้นก็นำยาแก้อักแสบอีกสองเม็ดมาให้องครักษ์ทั้งสองนายกิน

เนื่องจากว่า นางไม่มีเวลาที่จะมาทำแผลให้องครักษ์ทั้งสองนายอีกแล้ว หาใช่ว่า นางไม่มีจริยธรรมของความเป็นหมอไม่ หากแต่เสด็จอาเก้ามีน้ำหนักในใจมากกว่าพวกเขานัก

หลังจากที่เก็บของเสร็จเรียบร้อยแล้วนั้น เฟิ่งชิงเฉินก็กระโดดขึ้นไปบนหลังม้า "พี่ชายทั้งสอง ในยามนี้ เข้าสู่ยามราตรีแล้ว พวกท่านทั้งสองรีบพาองค์ชายออกไปจากป่าแห่งนี้เถิด"

"อ๊า แม่นางเฟิ่งจะไม่ออกไปด้วยหรือ ?"

"ข้ามาที่นี่ ก็เพื่อมาตามหาเสด็จอาเก้า" จุดประสงค์ของนางก็คือ ที่ข้าต้องช่วยพวกท่านก็เพราะเห็นแก่หน้าเสด็จอาเก้าเท่านั้น

เฟิ่งชิงเฉินมิคิดสนใจองครักษ์ทั้งสองนายว่าจะคิดเช่นไรอีก พูดจบ นางก็พลันชักม้าเข้าไปผืนป่าอันมืดมิดในทันที

"นี่ก็เป็นอีกคนที่ไม่ห่วงชีวิตตนเองเช่นกัน" องครักษ์ทั้งสองนายได้แต่ส่ายหน้าไปมาอย่างจนใจ ในเมื่อมาไม่มีทางเลือกอื่นแล้ว พวกเขาจึงได้แต่หามองค์ชายตงหลิงจื่อชุนเดินออกจากป่าไป

เมื่อเฟิ่งชิงเฉินชักม้าเข้ามาในกลางป่าแล้วนั้น พลันครุ่นคิดว่า องครักษ์ทั้งสองนายคงมิได้ติดใจตามนางมากระมัง พลันหยิบแสงโซล่าเซลล์ออกมาเปิดส่องทาง เพื่อตามหารอยเท้าของเกือกม้า

เมื่อมีกลุ่มคนเดินทางเข้ามาสู่ป่าลึกเช่นนี้ หญ้าที่ขึ้นตามทางย่อมต้องถูกเหยียบย่ำไปมาจนเป็นรอบทางเดินได้ เฟื่งชิงเฉินเพียงแค่ต้องเดิมตามรอยเท้าพวกนี้ไปเท่านั้น เมื่อมีแสงไฟส่องนำทาง เฟิ่งชิงเฉินจึงได้แต่ต้องเดิมตามรอยเท้าพวกนี้ไปเท่านั้น

ในระหว่างทาง ยังพบเจอกับสัตว์เล็ก ๆ วิ่งไปมาเป็นช่วง ๆ แต่หาได้พบเจอสัตว์ใหญ่เช่นเสือ ฝูงหมาป่า หรือเสือดาวไม่ เกรงว่า กลุ่มคนของราชวงศ์คงได้จัดการกับพื้นที่ล่าสัตว์ไปบ้างแล้วกระมัง

เฟิ่งชิงเฉินได้แต่เดิมตามรอยเท้าเข้าไปในป่าลึก นางมิรู้ว่าตนเองเดินทางมานานเท่าใดแล้ว เมื่อเงยหน้าขึ้น ก็พลันพบกับดวงจันทร์ที่ลอยเด่นอยู่กลางหัว

เมื่อขี่ม้ามาเป็นวลานาน ทั่วร่างของนางพลันรู้สึกปวดตัวไปหมด น่องขาด้านในรู้สึกปวดร้าวยิ่งนัก เป็นเพราะว่าขี่ม้าเป็นเวลานาน ถึงกระนั้น เฟิ่งชิงเฉินก็ได้แต่ต้องกัดฟันทนต่อไป

ภายในใจพลันรู้สึกขอบคุณความดื้อด้านของตนเองยิ่งนัก ไม่แน่ว่า อีกครู่หนึ่ง นางอาจะได้พบกับเสด็จอาเก้าแล้วก็ได้ เมื่อเห็นเสด็จอาเก้ามิได้รับบาดเจ็บอันใดแล้วนั้น

จู่ ๆ เฟิ่งชิงเฉิยก็พลันได้กลิ่นเลือดคละคลุ้งลอยมา อีกทั้ง ยิ่งเดินเข้าไปใกล้มาเท่าใด กลิ่นเลือดก็โชยออกมามากท่านั้น ความกังวลเข้าคลอบงำจิตใจของเฟิ่งชิงเฉินในทันที นางกลัวเหลือเกินว่า กลิ่นเลือดที่นางได้กลิ่นนั้นจะเป็นของเสด็จอาเก้า

สวบ

เฟิ่งชิงเฉินหาได้สนใจม้าที่นางขี่อยู่ไม่ ว่ามันดูอ่อนแรงมากเพียงใดในยามนี้ ทว่า นางก็ยังคงกระตุกเชือกให้มันก้าวเดินไปด้านหน้าอีกครั้ง

"ผู้ใดกัน?"

เงาที่คล้ายครึ่งตัวคนนั้นโผล่ออกมา ย่อมเป็นเงาของคนไม่ผิดแน่ แต่ทว่า ร่างนั้นหาได้ขยับตัวเคลื่อนไหวไม่ ทั้งยังไม่ส่งเสียงอันใดออกมาอีก

เฟิ่งชิงเฉินมิค่อยมั่นใจมากนัก เพียงแต่ส่ายแสงไฟในมือไปมา พร้อมทั้งชักบังเหียนม้าให้หยุดลง มิกล้าก้าวเข้าไปใกล้มากนัก

"เสด็จอาเก้า เป็นท่านงั้นหรือ?" เฟิ่งชิงเฉินพลันสูดลมหายใจเข้าไป พร้อมกับปล่อยของที่อยู่ในมือทั้งสองข้างลงพื้นในทันที

หากเป็นยามปกตินั้น เฟิ่งชิงเฉินคงจะรู้สึกว่าตนเองสูญเสียกระสุนไปอย่างเปล่าประโยชน์เสียแล้ว ทว่า เมื่อมาเห็นว่าเสด็จอาเก้ามิเป็นอันใดนั้น นางก็พูดออกมาด้วยท่าทีดีใจว่า "เสด็จอาเก้า ดียิ่ง ที่ท่านมิเป็นอันใดไป"

ตรงกันข้ามกับเฟิ่งชิงเฉินที่มีความสุขนั้น สีหน้าของตงหลิงจิ่วพลันมืดครึ้มลง พร้อมทั้งยืนอยู่ที่เดิมไม่ไปไหน "เฟิ่งชิงเฉิน เข้ามาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร?"

"ทูลเสด็จอาเก้า อยามที่ชิงเฉินอยู่ที่สวนป๋ายฉ่าวนั้น พลันเกิดการโจมตีของฝูงหมาป่าขึ้น เมื่อได้ยินมาว่า ทั้งเสด็จอาเก้าและองค์ชายชุนหยูมาทำการล่าสัตว์อยู่ที่นี่ จึงได้รีบมา เพื่อดูว่าชิงเฉินจักมีอะไรที่สามารถช่วยพวกท่านได้เพคะ" เฟิ่งชิงเฉินรีบตอบกลับในทันที พร้อมทั้งเมินเฉยน้ำเสียงที่เย็นชาของเสด็จอาเก้าไป

"ช่วยเหลือ? เจ้านะหรือ? เจ้าคิดว่าตนเองคิดถูกหรือไม่" ตงหลิงจิ่วหาได้มีท่าทีซาบซึ้งใจไม่ แววตาของเขาพลันปรากฏออกมาว่า นางช่างโง่เง่ายิ่งนัก

สตรีเจ้าปัญหา

"เสด็จอาเก้า หม่อมฉันเป็นหมอ ระหว่างทางก็ได้พบกับคุณชายชุนหยูเช่นกัน พลันเห็นว่าเขาได้รับบาดเจ็บ ชิงเฉินจึงได้ช่วยเขาจัดการกับบาดแผลให้" เฟิ่งชิงเฉินค่อย ๆ อธิบายออกมาด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา

ถึงแม้ว่านางจะเป็นสตรี แต่หาได้เป็นสตรีที่ไร้ประโยชนืไม่ การที่นางมาที่นี่ มิได้ต้องการมาสร้างปัญหาให้กับเสด็จอาเก้าแต่อย่างใด

"แล้วองค์ชายชุนหยูเล่า?" ตงหลิงจิ่วพลันหันกายกลับไปมองเฟิ่งชิงเฉิน

เนื่องจากว่าฟ้ามืดแล้ว เฟิ่งชิงเฉินจึงมิอาจเห็นสีหน้าที่แน่ชัดของเสด็จอาเก้าได้ จึงคิดไปเองว่า เสด็จอาเก้าเป็นห่วงตงหลิงจื่อชุนมากนัก จึงได้เล่าเรื่องราวระหว่าทางให้เขาฟังไปจนหมด เพื่อเป็นการรับประกันว่า ตงหลิงจื่อชุนจักมิได้พบเจออันตรายใด ๆ อีก

"อื้ม" ตงหลิงจิ่วยังคงไว้ท่าเช่นเดิม มิได้เอ่ยสิ่งใดออกมาอีก พลางค่อย ๆ เดินตามไหล่เขาลงไปด้านล่าง

"เฟิ่งชิงเฉิน ที่นี่มิใช่ที่ที่เจ้าควรจะมา ที่นี่ไม่ต้องการหมอ อย่าได้มีครั้งหน้าอีก" ตงหลิงจิ่วที่ยืนอยู่ด้านเฟิ่งชิงเฉินนั้น พลันมองไปยังสิ่งของที่อยู่บนตัวของเฟิ่งชิงเฉิน พร้อมทั้งขมวดคิ้วลง มิได้เอ่ยอันใดออกมาอีก

เฟิ่งชิงเฉินจึงได้แต่ก้มหน้าลง มิรู้ว่าเหตุใด นางมิกล้าที่โต้เถียงเขากลับไปนัก ยามที่นางเผชิญหน้ากับเสด็จอาเก้า คล้ายกับว่านางเผชิญหน้ากับเจ้านาย นอกจากจะต้องฟังคำสั่งของแล้ว สิ่งอื่นใด ห้ามทำเกินกว่าคำสั่งอีก

ตงหลิงจิ่วพลันถอนหายใจออกมา มิได้สนใจสิ่งของแปลก ๆ ในมือของเฟิ่งชิงเฉินเสียด้วยซ้ำ พลันกล่าวขึ้นมาว่า "เฟิ่งชิงเฉิน กลับไปเสีย"

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: นางสนมแพทย์อัจฉริยะ