ตั้งใจทำงาน ละเอียดอ่อนจัดการ ลักษณะของเฟิ่งชิงเฉินในยามนี้ ดูงดงามยิ่งนัก งดงามเสียจนผู้คนมองข้างรูปลักษณ์ภายนอกของนางไปจนหมด เพียงแต่จับจ้องทั้งคำพูดและการกระทำของนางในยามนี้เท่านั้น
ทั้งคำพูดและการกระทำ หาได้เหมือนสตรีร่างบางไม่ ทว่า กลับดูน่าเกรงขามเทียบเท่ากับบุรุษอกสามศอกเลยทีเดียว แม้ว่าจะเป็นสตรีที่อ่อนแอ หากแต่นางกลับสามารถยืนชี้นิ้วสั่งการนายทหารทั้งหมดได้ ทั้งท่าทางยังเต็มไปด้วยความเฉียบขาด นายทหารร่างใหญ่เหล่านั้น แม้ว่า จักต้องมาทำตามคำสั่งของสตรีตัวเล็ก แต่พวกเขาหาได้รู้สึกไม่พอใจไม่ ทั้งยังทำตามคำสั่งที่ได้รับอย่างแข็งขัน
"เฟิ่งชิงเฉินอาเฟิ่งชิงเฉิน วันนี้เจ้าสามารถรับบทเป็นนางหงส์ได้แล้ว แต่เจ้ารู้หรือไม่ว่า ทิวทัศน์ต่อจากนี้จักเป็นเช่นไร เจ้าจัดการเรื่องราวได้ยอดเยี่ยมถึงเพียงนี้ ฝ่าบาทจักปล่อยเจ้าไปได้หรือ?
ในใต้หล้านี้ หาได้มีผู้ใดรู้ว่าเจ้าระเบิดนี้คือสิ่งใดไม่ จู่ ๆ เจ้าก็พลันโผล่ออกมา แม้จะมิได้เอ่ยออกมา แต่การกระทำของเจ้า หาได้เหมือนคนที่ไม่รู้เรื่องไม่ ตัวเจ้านับว่าเป็นหลักฐานชั้นดี อย่าว่าแต่ฝ่าบาทจักไม่ปล่อยเจ้าไปเลย แม้แต่ข้าก็ไม่ปล่อยเจ้าไปเช่นกัน บาดแผลบนร่ากายเพิ่งจะฟื้นฟูไปได้ไม่นาน เจ้าก็อยู่ไม่นิ่งเสียแล้ว ข้าไม่รู้จักทำเช่นไรกับสตรีอย่างเจ้าดี "
หลานจิ่วชิงพลึนพึมพำกล่าวออกมา เมื่อเห็นว่าสถานการณ์ตรงหน้าสามารถควบคุมได้แล้วนั้น จึงหันไปมองเฟิ่งชิงเฉิน แล้วจึงหันกายจากไปท่ามกลางฝูงชน
ระเบิดที่เกิดขึ้นในครานี้ เขาจักต้องรีบสืบความมาให้ได้ ว่าผู้ใดอยู่เบื้องหลังในเหตุการณ์ครานี้ หากว่าหลานจิ่วชิงมิได้มองผิดไป เฟิ่งชิงเฉินต้องรู้จักเจ้าสิ่งนั้นอย่างแน่นอน
เพื่อเฟิ่งชิงเฉินแล้ว เกรงว่า หลานจิ่วชิงเองก็จักไม่ให้คนผู้นั้นมีชีวิตอยู่ต่อไปเช่นกัน
ในขณะเดียวกันนั้น ยามที่ไม่มีผู้ใดสังเกตุเห็นการหายตัวไปของหลานจิ่วชิง เฟิ่งชิงเฉินกลับสัมผัสได้ถึงแววตาที่คุ้นเคยจ้องมองมา ทว่า อาจจะเป็นเพราะรอบข้างมีผู้คนเยอะเกินไป นางจึงมิได้ใส่ใจในเรื่องนี้อีก
เหตุการณ์ความวุ่นวายที่หน้าประตูเมือง ได้รับการจัดการอย่างทันท่วงที ถึงแม้ว่าจะมีบางคนถูกความชุลมุนจนต้องถูกเหยีบย่ำจนตายไปในคราแรก แต่เมื่อได้ทำการช่วยเหลือผู้อพยพออกไปอย่างรวดเร็วนั้น ภายในเมืองหลวงก็มิได้ตกอยู่ในอันตรายอีก
ทั้งเฟิ่งชิงเฉินและหมอหลวง พร้อมกับกลุ่มพวกองครักษ์ ต่างก็พากันช่วยเหลือคนเจ็บจนถึงยามค่ำ เฟิ่งชิงเฉินทั้งเหนื่อยทั้งหิวยิ่งนัก หากแต่ภายในใจกลับรู้สึกพอใจเป็นอย่างมาก
อันที่จริงแล้ว ชีวิตที่ต้องอยู่ในดงกระสุนปืน พร้อมกับต้องแข่งขันเอาชีวิตรอด เพื่อมิให้เทพเจ้าแห่งความตายมาเอาชีวิตไปนั้น เหมาะกับนางมากกว่า นางละไม่เจ้าใจจริง ๆ การใส่หน้ากากหลอกหลวงซึ่งกันและกันของผู้คนภายในเมืองหลวงนั้น รวมไปถึงร่างกายที่ต้องโดนกระทำซ้ำและซ้ำเล่าจนหมดหนทางสู้ มันมีดีอย่างไร
"ท่านอาจารย์ ท่านดื่มน้ำกินอะไรหน่อยเถอะขอรับ ท่านพักสักครู่หนึ่งเถิด" เมื่อซุนซือสิงเห็นเฟิ่งชิงเฉินหยุดมือลงนั้น เขาก็รีบไปนำน้ำและหมั่นโถวมาให้นางในทันที
ในวันนี้เขาได้เห็นความสามารถของท่านอาจารย์แล้ว การช่วยเหลือคนนั้น หาได้มีเพียงแค่ทักษะการแพทยท์ที่ดีเท่านั้น ต้องรวดเร็วและตาต้องไวด้วย
วันนี้ ซุนซือสิงเห็นเฟิ่งชิงเฉินสามารถตรวจดูอาการของคนไข้ทีละหลาย ๆคนพร้อมกันได้ ทั้งยังมิได้มีท่าทีตื่นตระหนกอีกด้วย อีกทั้งยังวินิจฉัยอาการของผู้ป่วยได้รวดเร็วอีก โดยมิได้ผิดพลาดเลยแม้แต่น้อย ทั้งยังมิต้องถามอาการของผู้ป่วยอีกด้วย ก็สามารถบอกอาการของผู้ป่วย ก่อนที่คนไข้จะบอกนางออกมาเสียอีก
นี่หาใช่สิ่งที่เขาจักสามารถเรียนรู้ได้ภายในระยะเวลาสั้น ๆ ไม่ เกรงว่า เขาคงต้องผ่านการรักษาผู้ป่วยมาจำนวนนึงกระมัง ถึงจะสามารถมี "ดวงตาทองคำ" เช่นนี้ได้ แต่ซุนซือสิงคิดอย่างไรก็คือไม่ออก ว่าสตรีเช่นท่านอาจารย์ จักเอาโอกาสไหนไปตรวจคนไข้เยอะ ๆ ให้นางได้ฝึกฝนฝีมือกัน
แม้แต่ท่านพ่อของเขา ก็หาได้มีความสามารถในการวินิจฉัยอาการของผู้ป่วยด้วยระยะเวลาเพียงจิบน้ำชาเดียวไม่ ทว่า ท่านอาจารย์สามารถทำได้โดยไม่เกิดข้อผิดพลาดเสียด้วยซ้ำ
เฮ้อ หากซุนซือสิงรู้ว่า ความรวดเร็วและความเม่นยำที่เฟิ่งชิงเฉินใช้วินิฉัยอาการของผู้ป่วยมากจาเครื่องมือในกระเป๋าเครื่องมือแพทย์อัจฉริยะละก็ เขาย่อมต้องหมดศรัทธาในตัวนางแน่
แพทย์แผนจีนต้องใช้ระยะเวลาและประสบการณ์ในการเรียนรู้ หากแต่แพทย์แผนตะวันตกมิจำเป็นต้องทำเช่นนั้น แพทย์แผนตะวันสามารถใช้เครื่องมือในการวัดค่าของคนไข้ได้ว่า ที่ใดมีปัญหาหรือที่ใดไม่มีปัญหาหาก
แต่เฟิ่งชิงเฉินหาได้รู้ไม่ว่า ท่าทีไร้อารมณ์ของนางในวันนี้นั้น กลับทำให้ซุนซือสิงตั้งปณิธานกับตนเองว่า เขาจักฝึกฝนให้หนัก เรียนรู้ให้มาก ๆ เพื่อที่จะได้เป็นเหมือนเฟิ่งชิงเฉิน ที่สามารถมองดูอาการของคนไข้ออกเพียงพริบตาเดียวได้
ซวยแล้ว นางแสดงออกมากเกินไปซินะ ถึงได้ดึงดูดความสนใจขององค์จักรพรรดิไว้เช่นนี้
"ท่านอาจารย์ ท่านเป็นอันใดไป? เหตุใดท่านไม่รีบคุกเข่าเล่า" ซุนซือสิงพลันรีบไปดึงตัวเฟิ่งชิงเฉินให้นั่งลงในทันที เฟิ่งชิงเฉินที่กำลังตกอยู่ในภวังค์ครุ่นคิดอยู่ว่า ตนเองได้เผลอเปิดเผยสิ่งใดออกไปอีกหรือไม่?
เมื่อหัวเข่ากระแทกหินยามที่นั่งคุกเข่าลงนั้น เฟิ่งชิงเฉินก็พลันได้สติขึ้นมาในทันที พร้อมกับทำทีสีหน้ายิ้มแย้ม เพื่อรอขันทีประกาศพระราชโองการออกมา
ยามที่เฟิ่งชิงเฉินกำลังคิดไตร่ตรองหน้าหลังของสิ่งที่เกิดขึ้นในนี้นั้น นางก็ค่อย ๆ ถอนหายใจออกมา
นอกจากยามที่นางหลุดพูดต่อหน้าเฟิ่งชิงเฉินไปแล้วนั้น นางหาได้เปิดเผยสิ่งใดต่อหน้าผู้อื่นอีกไม่ นางจึงไม่รู้สึกเป็นกังวลสิ่งใดลย หากจักรพรรดิถามสิ่งใดมา นางก็แค่ปัดคำถามนั้นถึงไปเสีย
นางเชื่อว่า แม้ว่าหวังจิ่นหลิงจักสงสัยในตัวนางเพียงใด ต่อหน้าขององค์จักรพรรดิ เขาจักต้องช่วยนางอย่างแน่นอน
เป็นไปตาที่เฟิ่งชิงเฉินคาดการณ์ไว้ พระราชโองการขององค์จักรพรรดิคือการเรียกตัวนางเข้าวัง พร้อมทั้ง ให้ขี่ม้าตัวที่ขันทีนำมาให้กลับไป ฝ่าบาทจะรอนางอยู่ที่ตำหนักไท่เหอ
"เฟิ่งซิ่ว นี่เป็นป้ายประจำตัวของท่านพะยะค่ะ เมื่อถึงหน้าประตูวัง ให้ท่านมอบสิ่งนี้ให้กับทหารยาม เมื่อนั้น ท่านก็จักสามารถเข้าวังได้ ขอให้เฟิ่งซิ่วรีบหน่อยนะพะยะค่ะ ฝ่าบาทรอท่านนานแล้ว"
คำพูดของขันทีพลันเต็มไปด้วยความอ่อนโยน พร้อมกับมองเฟิ่งชิงเฉินด้วยสายตาชื่นชม เมื่อขันทีให้ป้ายประจำตัวกับนางไปนั้น ก็พลันเอ่ยเตือนด้วยน้ำเสียงต่ำว่า "แม่นางเฟิ่ง จักรพรรดิต้องการเรียกให้ท่านเข้าวังนานแล้ว ทว่ากลับถูกองค์รัชทายาทและคุณชายใหญ่เอ่ยเกลี้ยกล่อมเอาไว้ ในยามนี้อารมณ์ไม่สู้ดีนัก ระวังตัวด้วยพะยะค่ะ"
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: นางสนมแพทย์อัจฉริยะ
ไม่ต่อให้จบเหรอคะ นานแล้ว แวะมาบอกกล่าวกันบ้าง...
ขอบคุณน่ะค่ะที่ต้องอดหลับอดนอนอัพเดต สู้ๆๆๆๆน่ะค่ะเป็นกำลังใจให้ค่ะ ผู้อ่านก็ไม่ได้หลับได้นอนเหมือนกัน ติดงอมเลย...
ง่ายๆๆยึดอำนาจ...
มาต่อได้ไหมมมมมมมม พลีสสสสสสสสสสสสสสสสส...
Update ให้หน่อยค่ะ จอดอยู่ที่ 1430 นานแล้ว ขออีกสัก 29 ตอนนะคะ Pleaseeeeee Admin ที่น่ารัก...
ไม่อัพเดตแล้วหรอค่ะ...
สามารถซื้ออ่านผ่านช่องทางไหนได้บ้างค่ะ...
ไทม์ไลน์บอก อัพถึง บท1459 แต่ยังดูได้แค่ บท1430...
Update ให้หน่อยคร่า รออ่านอยู่ คร่า...
ไม่ Update นานแล้ว ไปเที่ยวเพลินเลย สงสารคนรอเถอะ เข้ามาทุกวัน อ่านช้ำไป 2 รอบแล้ว...