นางสนมแพทย์อัจฉริยะ นิยาย บท 371

"สังหารองค์หญิงเหยาหวา? เฟิ่งชิงเฉิน เจ้าล้อเล่นหรือเปล่า?" ตี๋ตงหมิงมองเฟิ่งชิงเฉินอย่างตื่นตระหนกและคิดจะหาท่าทีล้อเล่นบนตัวนาง แต่ทว่า...

เฟิ่งชิงเฉินจริงจังเป็นอย่างมาก ตอนนี้เป็นตาของตี๋ตงหมิงแล้วที่จะร้อนใจ "เฟิ่งชิงเฉิน เจ้าอย่าได้เหลวไหล ข้ารู้ว่าเจ้ามีความสามารถ แต่องค์หญิงเหยาหวาไม่ใช่คนที่ไม่มีภูมิหลังเช่นหลี่เซี่ยง ผลที่ตามมาของการฆ่านางไม่ใช่สิ่งที่เจ้าจะสามารถรับได้"

เจ้ายั่วโมโหนางครั้งแล้วครั้งเล่า แต่ราชวงศ์ซีหลิงก็ไม่เคยเข้ามาแทรกแซง ประการแรกเป็นเพราะเจ้าเป็นชาวตงหลิง ประการที่สององค์หญิงเหยาหวาไม่ได้เสียหน้าอย่างน่าเกลียดนักและประการที่สามการต่อสู้ระหว่างสตรีนั้น จักรพรรดิซีหลิงไม่ใส่ใจ

แต่หากเจ้าสังหารองค์หญิงเหยาหวาจริงๆ ราชวงศ์ซีหลิงจะไม่มีทางยอมจบเรื่องแต่โดยดีแน่ หากราชวงศ์ซีหลิงต้องการฆ่าเจ้าก็ง่ายดายราวกับบี้มด" ตี๋ตงหมิงไม่ได้พยายามข่มขู่เฟิ่งชิงเฉิน แต่นี่เป็นความจริง

หากองค์หญิงองค์หนึ่งสิ้นพระชนม์อย่างอนาถภายนอกอาณาจักร ราชวงศ์ซีหลิงจะไม่มีวันนั่งเฉยๆ โดยไม่ทำอะไร ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่าองค์หญิงเหยาหวายังเป็นที่โปรดปรานในซีหลิง แม้ว่าองค์หญิงที่ไม่มีใครรักคนหนึ่งจะสิ้นพระชนม์นอกอาณาจักร ราชสำนักก็จะไม่มีทางเพิกเฉย

การสังหารองค์หญิงถือเป็นการท้าทายอำนาจของราชสำนัก ถึงยามนั้นราชวงศ์ตงหลิงย่อมไม่ปกป้องนางหรือแม้กระทั่งจะช่วยซีหลิงสังหารเฟิ่งชิงเฉินด้วยซ้ำ

วันนี้เฟิ่งชิงเฉินสามารถสังหารองค์หญิงของประเทศอื่นๆ เพราะความแค้นส่วนตัว พรุ่งนี้อาจจะสังหารองค์ชายแคว้นตนเองก็เป็นได้ หรือแม้แต่สังหารจักรพรรดิ ไม่มีจักรพรรดิคนใดสามารถทนต่อบุคคลอันตรายที่ไม่เห็นราชสำนักอยู่ในสายตาได้แน่

"ข้าจะไม่ประมาท" เฟิ่งชิงเฉินรู้ดีถึงความร้ายแรงของการสังหารเชื้อพระวงศ์ มิเช่นนั้นนางคงคิดหาวิธีฆ่าองค์หญิงเหยาหวาไปนานแล้ว จะได้ไม่คอยมาหาเรื่องให้ตนเองรำคาญใจ

ตี๋ตงหมิงส่ายศีรษะ บุตรีของแม่ทัพเฟิ่งดื้อรั้นยิ่งนัก "เฟิ่งชิงเฉิน ถ้าข้าเป็นเจ้า ข้าจะไม่คิดเรื่องเช่นนี้เลยด้วยซ้ำ องค์หญิงแตกต่างจากหลี่เซี่ยง เจ้าอย่าได้ให้เรื่องของหลี่เซี่ยงทำให้เจ้าคิดว่าการลอบสังหารเป็นเรื่องง่ายดาย"

ประโยคสุดท้ายตี๋ตงหมิงกระซิบข้างหูของเฟิ่งชิงเฉิน เมื่อมองจากระยะไกลดูเหมือนพวกเขากำลังซุกไซร้จูบที่คอ มีความคลุมเครืออย่างยิ่ง องครักษ์ของซุนซือสิงและตี๋ตงหมิงมองเห็นแล้วก็คอยๆ เบือนหน้าไปอย่างเงียบเชียบ...

ไม่เห็น พวกเขาไม่เห็นอะไรทั้งนั้น

"หลี่เซี่ยงเกี่ยวอะไรกับข้า?" สีหน้าของเฟิ่งชิงเฉินยังคงไม่เปลี่ยนแปลง นางเผชิญตี๋ตงหมิงโดยไม่หลบเลี่ยง ดวงตาสีดำของนางสงบนิ่งและไม่มีความตื่นตระหนกเลย

เอ๊ะ?

ความสงบของเฟิ่งชิงเฉินทำให้ตี๋ตงหมิงสงสัยว่าเขาคิดผิดไปหรือเปล่า แต่เมื่อความคิดนี้แวบผ่านเข้ามา ตี๋ตงหมิงก็ยิ่งมั่นใจกับความคิดตนเองยิ่งขึ้น

"เฟิ่งชิงเฉิน เจ้าหลอกคนอื่นได้แต่หลอกข้าไม่ได้หรอก พวกเราต่างรู้ดีว่าหลี่เซี่ยงตายอย่างไร เจ้าคิดว่าถ้าเก็บกวาดอย่างขาวสะอาดโดยไม่ทิ้งร่องรอยก็จะไม่เป็นไร แต่กลับไม่รู้ว่านี่ไม่ใช่การตัดสินคดี หลายสิ่งหลายอย่างไม่ต้องการหลักฐาน เพียงแค่เชื่อเช่นนั้นก็พอแล้ว อย่างเช่นข้าเชื่อว่าเจ้าเป็นฆาตกร แต่จักรพรรดิคิดว่ามันเป็นโองการแห่งสวรรค์"

เฟิ่งชิงเฉินหัวเราะเบาๆ และผลักตี๋ตงหมิงออกไป น่าเสียดายที่เขาไม่ให้ความร่วมมือเลยและยังคงมีท่าทางคลุมเครือกับเฟิ่งชิงเฉิน "ท่านชาย ท่านนั่งดีๆ จะดีกว่า ท่านเป็นเช่นนี้ข้าไม่ชิน"

"จะให้นั่งดีๆ ก็ได้ บอกข้ามาสิว่าอาวุธที่เจ้าใช้ฆ่าหลี่เซี่ยงคืออะไรแล้วข้าจะนั่งลงอย่างเชื่อฟัง" ดวงตาของตี๋ตงหมิงฉายแววตื่นเต้น ไม่มีบุรุษใดต้านทานความเย้ายวนของอาวุธลับได้ แม้แต่เสด็จอาเก้าก็ไม่ได้เป็นข้อยกเว้นเช่นกัน ยิ่งไม่ต้องพูดถึงตี๋ตงหมิง

"ท่านชาย ข้าไม่รู้ว่าท่านกำลังพูดถึงอะไร การตายของหลี่เซี่ยงจะเกี่ยวข้องกับข้าได้อย่างไร" เฟิ่งชิงเฉินกะพริบตาปริบๆ รอยยิ้มเปล่งประกายในดวงตาของนาง ท่าทางเอาแต่ใจของเขาราวกับเด็กเอาแต่ใจที่ถูกตามใจจนเสียคน ตอนนี้นางจึงจนปัญญา

ล้อเล่นหรือเปล่า แค่เจ้าบอกว่าเจ้ามั่นใจ ข้าก็ต้องสารภาพว่าข้าคือฆาตกรงั้นหรือ ข้าปัญญาอ่อนถึงเพียงนั้นเชียว เฝ้าระวังภัยน่ะหรือ นางก็ทำเป็นเช่นกัน นอกจากนี้นางไม่ได้เป็นผู้ลงมือสังหารหลี่เซี่ยงจริงๆ หลี่เซี่ยงถูกเสด็จอาเก้าสังหาร ถ้าไม่ใช่เสด็จอาเก้าเอากล่องดำขนาดเล็กไปวางไว้ที่ข้างตัวหลี่เซี่ยง นางหรือจะมีโอกาส

"แม้แต่ข้าเจ้าก็ปิดบัง ไม่น่าเป็นเพื่อนด้วยเลยจริงๆ" ตี๋ตงหมิงคาดคั้นไม่สำเร็จก็คร้านที่จะถามอีก ท่านปู่บอกว่าให้เขาลองหยั่งเชิงเรื่องนี้สองสามครั้งก็พอแล้ว อย่างไรก็เป็นเพียงการคาดเดาของเขาเท่านั้น ไม่อาจแน่ใจได้

ตามที่เขาพูดไปก่อนหน้านี้ก็คือเขาไม่มีหลักฐาน

เฟิ่งชิงเฉินยิ้มโดยไม่พูดอะไร ตี๋ตงหมิงผู้นี้ทั้งเชื่อได้และเชื่อไม่ได้ เขาเป็นคนเปี่ยมคุณธรรมและตรงไปตรงมา แต่เขาต้องแบกความรับผิดชอบมากเกินไป อีกทั้งเขายังไม่โปร่งใสรอบคอบเช่นหวังจิ่นหลิง สรุปก็คือตี๋ตงหมิงโง่เขลาเกินไป นางจึงไม่วางใจ

"เฟิ่งชิงเฉิน แม้เจ้าจะไม่มีมิตรภาพเพียงพอ แต่ในฐานะเพื่อน ข้าขอเตือนเจ้าว่าให้รีบเลิกคิดเรื่องการลอบสังหารในหัวนั่นไปเสีย

หากการลอบสังหารได้ผล ฝ่าบาทคงจะส่งคนไปฆ่าจักรพรรดิและองค์ชายองค์หญิงจากอีกสามแคว้นไปแล้ว มีหรือจะยังเหลือโอกาสไว้ให้เจ้า เหล่าผู้กล้าที่เหาะไปเหาะมาในนิยาย แม้จะมีวิทยายุทธ์ล้ำเลิศก็ไม่แข็งแกร่งไปกว่าทหารทั้งกองทัพได้

ถ้าซีหลิงเหยาหวาสร้างปัญหาให้กับเจ้าหรือทำให้เจ้าต้องอับอาย เจ้ามีเสด็จอาเก้าและหวังจิ่นหลิงคอยปกป้องอยู่ พวกเขาไม่มีทางฆ่าเจ้าได้ง่ายๆ อย่าให้เรื่องเพียงเล็กน้อยทำให้เจ้าต้องเดินเข้าสู่หนทางไม่หวนคืนเลย ไม่คุ้มหรอก" คำพูดของตี๋ตงหมิงนั้นเกลี้ยกล่อมนางจากจุดยืนของเพื่อนด้วยใจจริง

"ข้าไม่เคยคิด" ไม่ใช่ว่านางไม่ต้องการ แต่นางไม่กล้าต่างหาก นางมีศัตรูมากมาย นางไม่ต้องการไปยั่วโมโหศัตรูที่แข็งแกร่งก่อน

"ไม่คิดก็ดีแล้ว มิเช่นนั้นเจ้าต้องไม่รู้แน่ว่าตนเองจะตายอย่างไร หนานหลิงจิ่นฝานไม่ใช่ซีหลิงเหยาหวา ซีหลิงเหยาหวายังต้องคำนึงถึงซีหลิงเทียนเหล่ย แต่หนานหลิงจิ่นฝานไม่ต้อง ที่หนานหลิงเขาเป็นใหญ่อันดับต้นๆ นิสัยโหดเหี้ยมอำมหิต ผู้ที่ตกอยู่ในมือของเขาล้วนตายทั้งเป็น

ข้าเคยได้ยินมาว่าสตรีมีครรภ์ผู้หนึ่งวิ่งเข้ามาชนเขา เขากลับจับนางไปที่กองทัพเพื่อปรนเปรอทหารทั้งกองทัพให้เพลิดเพลิน ทั้งยังไม่ยอมให้หญิงผู้นั้นฆ่าตัวตาย แล้วยังสั่งหมอหลวงให้ผดุงครรภ์นาง นางต้องแบกรับความอัปยศอดสูทั้งกลางวันและกลางคืนจนกว่าเด็กจะเกิด

ส่วนเจ้า นับว่าโชคร้ายอย่างยิ่ง เจ้าตกอยู่ในกำมือของเขา ตระกูลซูแห่งหนานหลิงและหนานหลิงจิ่นฝานต้องการร่วมมือกับเสด็จอาเก้า การแต่งงานกับซูหว่านเป็นขั้นตอนแรก ในการหยั่งเชิงก่อนหน้านี้แม้เสด็จอาเก้าจะปฏิเสธไปแล้ว แต่ก็ยังมีช่องว่างให้พวกเขาได้เจรจากันใหม่

แต่ระยะนี้ข่าวลือของเจ้ากับเสด็จอาเก้าแพร่สะพัดไปทั่ว ซูหว่านกลับเสนอเรื่องแต่งงานนี้ขึ้นมาในยามหัวเลี้ยวหัวต่อ แต่กลับถูกเสด็จอาเก้าปฏิเสธอย่างไร้เยื่อใยโดยไม่ไว้หน้า ทำให้พวกเขาไม่อาจเจรจาเป็นพันธมิตรกันได้อีก แม้ว่าเสด็จอาเก้าจะไม่พูดอะไร แต่ซูหว่านและหนานหลิงจิ่นฝานล้วนคิดว่าเจ้าเป็นต้นเหตุ หนี้แค้นทั้งเก่าและใหม่บวกลบกันแล้ว พอหนานหลิงจิ่นฝานมาถึง เขาจึงได้ระบายความโกรธทั้งหมดลงที่เจ้าอย่างไรเล่า"

ตี๋ตงหมิงเห็นอกเห็นใจเฟิ่งชิงเฉินยิ่งนัก เพราะเฟิ่งชิงเฉินได้รับพระราชบัญชาจากจักรพรรดิให้กักบริเวณสำนึกตนอยู่ในจวน ไม่ง่ายเลยกว่าพายุจะสงบลง แต่แล้วนางก็ถูกผลักกลับมายังจุดที่คลื่นโหมกระหน่ำรุนแรงอีกครั้ง

"แม้ว่าเสด็จอาเก้าจะแต่งงานกับซูหว่าน พวกเขาก็ไม่อาจร่วมมือกันได้ เสือสองตัวจะอยู่ถ้ำเดียวกันได้อย่างไร? น่าขันนัก อีกอย่างที่เขาปฏิเสธซูหว่านจะต้องเป็นเพราะข้าหรือ? เห็นได้ชัดว่าเสด็จอาเก้าไม่ได้ทำเพื่อสาวงามและไม่เห็นแก่อะไร นอกจากนี้ข้าก็ไม่สวย เป็นตัวต้นเหตุไม่ได้หรอก" เฟิ่งชิงเฉินมีสีหน้าดูแคลน ผู้ชายก็เป็นแบบนี้ พวกเขาผลักความผิดใส่ผู้หญิงจนหมด นางไม่ได้ทำอะไรเลยแต่สุดท้ายกลับกลายเป็นชนวนของปัญหา

"การแต่งงานกับซูหว่านเป็นการแสดงความจริงใจ หากเสด็จอาเก้าไม่มีความจริงใจนี้แล้วต่อไปจะร่วมมือกันได้อย่างไร เมื่อเสือทั้งสองร่วมมือกัน เสือทั้งสองก็จะระวังซึ่งกันและกัน ซูหว่านก็คือเครื่องมือที่จะใช้เฝ้าระวังนั้น

ตระกูลซูและหนานหลิงจิ่นฝานใช้ซูหว่านเพื่อคอยควบคุมเสด็จอาเก้า ในทำนองเดียวกัน เสด็จอาเก้าก็ใช้ซูหว่านเป็นตัวประกันเพื่อทำความเข้าใจการเคลื่อนไหวของตระกูลซู หากจำเป็นเขาก็สามารถใช้ซูหว่านข่มขู่ตระกูลซูได้ ชิงเฉิน เจ้าอย่าประเมินบทบาทของสตรีต่ำเกินไป

ซูหว่านไม่ใช่สตรีธรรมดา อย่าประมาทนางเพียงเพราะว่านางพ่ายแพ้ต่อเจ้าในการปะทะกันสองสามครั้ง ซูหว่านเป็นผู้หญิงที่ได้รับการฝึกฝนจากตระกูลซูเพื่อใช้แต่งงานกับเชื้อพระวงศ์โดยเฉพาะ แผนการและอุบายของนางจะใช้กับบุรุษและเรื่องในจวน

หากเจ้าและซูหว่านแต่งงานเข้าจวนองค์ชายเก้าพร้อมกัน แม้ว่าเสด็จอาเก้าจะปกป้องเจ้า ข้าก็มั่นใจว่าในที่สุดเจ้าจะต้องตายด้วยน้ำมือของซูหว่านและจะสามารถทำให้เสด็จอาเก้าไม่พบหลักฐานใดๆ"

เรือนชั้นในเป็นสนามรบนองเลือด สิ่งที่สตรีผู้สูงศักดิ์ต้องเรียนรู้ก็คือวิธีการเอาชีวิตรอดในเรือนชั้นใน เรื่องเช่นนี้เฟิ่งชิงเฉินทำไม่เป็น หากนางแต่งเข้าไปแล้วก็จะเหมือนนกปีกหัก ต่อให้แข็งแกร่งแค่ไหน นางก็คงได้แต่ร้องไห้...

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: นางสนมแพทย์อัจฉริยะ