ในขณะรับประทานอาหารเช้าเฟิ่งชิงเฉินพบว่า ซุนซือสิง ปรมาจารย์แห่งหุบเขาซวนยี ไม่อยู่ เฟิ่งชิงเฉินไม่ได้เรียกหาพวกเขา นางรับประทานอาหารอย่างเงียบๆ นางรู้ว่าเสด็จอาเก้าทำเพื่อค่ำคืนก่อนด้วยความยากลำบาก
ขณะที่นางกำลังจะออกจากจวน จวนตระกูลซูก็ส่งองครักษ์มาให้ เฟิ่งชิงเฉินได้แต่ยิ้มรับ สิ่งเหล่านี้เป็นเรื่องปกติ บางสิ่งที่เสด็จอาเก้าพยายามทำก็อาจจะเล็ดลอดได้เป็นธรรมดา
สำหรับบททดสอบต่อมา เป็นการตัดสินใจระหว่างนางและซูหว่าน มีคนไม่มากรู้เรื่องนี้ โชคดีที่นางไม่ถูกล้อมรอบไปด้วยผู้คน
นางเดินไปตามถนน ระหว่างเดินได้ยินคนที่เดินผ่านไปมาพูดถึงการแข่งขันของนางและซูหว่าน อย่างไรก็ตาม นี่เป็นการเดิมพันครั้งใหญ่ และแม้กระทั่งหลังจากผ่านไปสองเดือนความพยายามก็ยังคงไม่ลดละ
เมื่อนึกถึงการเดิมพัน เฟิ่งชิงเฉินก็ยิ้ม แม้ว่ากากรเดิมพันของนางจะมีการเปลี่ยนแปลง แต่ก็ยังมีมากพอสมควร ด้วยเงินเดิมพันนี้ นางจะย้ายกลับไปที่จวนเฟิง ชีวิตของนางก็จะไม่ยากเกินไป และนางสามารถสร้างสุสานให้พ่อกับแม่ได้...
ทันทีที่มาถึงพระราชวัง เฟิ่งชิงเฉินก็ถูกพาไปที่โรงเลี้ยงสัตว์หลวง โดยผู้ที่พาไปบอกว่าวันนี้มีการแข่งขันอยู่ที่นั่น
“โรงเลี้ยงสัตว์หลวง? วันนี้การแข่งขันควรอยู่ที่สนามศิลปะการต่อสู้ไม่ใช่หรือ? เป็นไปได้ไหมว่าการแข่งขันวันนี้คือการยิงธนู ? เฟิ่งชิงเฉินดูงุนงงและให้ขันทีนำกระเป๋าเงินไปให้โดยรอคำตอบ
ไม่มีเงินก็ทำอะไรไม่ได้!
ขันทีชั่งน้ำหนักกระเป๋าแล้วยิ้มอย่างพอใจ ทุกคนบอกว่าเฟิ่งชิงเฉินเป็นเจ้านายที่ใจดี ก็เป็นอย่างที่คิดไว้ เมื่อวานเขาบีบคั้นคนห้าคนให้ช่วยสืบข่าวสารเพื่อให้เฟิ่งชิงเฉินมีโอกาสเป็นผู้นำ
“คุณหนูเฟิ่ง อย่ากังวลไป ยังเป็นการแข่งขันศิลปะการต่อสู้ แต่ตระกูลซูกังวลว่าทั้งสองฝ่ายจะมีการแสดงที่ละเอียดอ่อน หากอยู่ในระหว่างต่อสู้ คงจะแย่หากพบว่าทำพลาดโดยไม่ได้ตั้งใจ” ตระกูลซูหวังเป็นอย่างยิ่งว่าจักรพรรดิจะให้ประลองโดยวิธีอื่น หากไม่ได้ ตระกูลซูก็จะไม่แข่งขัน การสืบข่าวของขันทีนี้สมกับเงินที่เฟิ่งชิงเฉินให้ เพราะข่าวสารเหล่านี้ไม่ใช่ข่าวสารที่คนทั่วไปจะสืบมาได้
“เช่นนั้นเอง ขอบคุณกงกง”
ตระกูลซูคิดว่าเฟิ่งชิงเฉินจะใช้การแข่งขันศิลปะการต่อสู้ทำลายชื่อเสียงซูหว่าน ซึ่งสาเหตุก็มาจากการแข่งขันที่ตระกูลซูกำหนด ตระกูลซูจึงหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะชดใช้
“คุณหนูเฟิ่ง เกรงใจเกินไปแล้ว… อ้อ มีอีกเรื่อง ข้าน้อยได้ยินว่าซูหว่านซิ่วจะเข้าพบราชินีและกุ้ยเฟยในวังเพื่อหาความดีความชอบ” นี่คือการซื้อหนึ่งแถมหนึ่ง เงินของเฟิ่งชิงเฉินนั้นคุ้มค่าต่อการใช้จ่าย
“กงกงลำบากแย่เลย วันหลังข้าขอเชิญกงกงมาดื่มไวน์ที่จวนเฟิ่งของข้า” เฟิ่งชิงเฉินรู้ดีว่าขันทีบอกกับนางเรื่องนี้ เขาต้องมีวัตถุประสงค์อื่น แต่เฟิ่งชิงเฉินไม่พูดต่อ
“ขอบคุณคุณเฟิ่ง เพียงแต่ว่ามันไม่ง่ายที่จะออกจาหวัง หากคุณเฟิ่งสะดวก ข้าขอรบกวนให้ช่วยบอกพระสนมด้วย ข้าน้อยแซ่หลิน นามว่าคุน”
“อ้อ ท่านคือหลินกงกง ข้าจะจำชื่อท่านไว้” ข้าจะส่งสารถึงพระสนม ส่วนพระสนมจะอนุญาตหรือไม่ ขึ้นอยู่กับพระสนมเอง
เฟิ่งชิงเฉินพบว่าผู้คนในวังนี้เหนื่อยมาก และพวกเขาทั้งหมดก็ต้องฝ่าฟันเพื่อให้ได้มาซึ่งคำชมเชย เสด็จอาเก้าเติบโตขึ้นมาในสภาพแวดล้อมเช่นนี้ ไม่น่าแปลกใจเลยที่เขาปรับอารมณ์ที่น่าอึดอัดใจเช่นนั้นได้
ในสถานที่นี้ คนกินคน ไม่สามารถแสดงความรู้สึกที่แท้จริง และไม่อาจไว้ใจได้ เสด็จอาเก้า ทำงานหนักเฟิ่งชิงเฉินเข้าใจถึงความเฉยเมยของเสด็จอาเก้าต่อเหตุการณ์ต่างๆในวัง คนที่โตมาในวังนั้นไม่ง่ายที่จะเชื่อใจใคร
ความสัมพันธ์ที่ดีระหว่างนางสองคนไม่มีอีกแล้ว แต่ในที่สาธารณะ พวกเขาแสดงความหน้าซื่อใจคดต่อกัน
เฟิ่งชิงเฉินนั่งอยู่ข้างๆ อย่างเฉยเมย รอให้ผู้ตัดสินวันนี้ปรากฏ นางไม่เคยถือว่าซูหว่านเป็นคู่ต่อสู้ ซูหว่านเป็นเพียงคนชักนำ และคู่ต่อสู้ของนางคือหนานหลิงจิ่นฝาน
สี่ชั่วโมงต่อมา คณะลูกขุนห้าคนนำโดยองค์ชายปรากฏตัว องค์ชายซีหลิงเทียนเหล่ย ตงหลิงจื่อลั่ว เย่เย่ และคุณชายหยวนซ๊
การปรากฏตัวของของเย่เย่ทำให้เฟิ่งชิงเฉินเข้าใจว่าเขามาแทนที่หนานหลิงจิ่นฝาน แต่เฟิ่งชิงเฉินรู้สึกประหลาดใจกับการปรากฏตัวของหยวนซี เขามาที่นี่ได้อย่างไร?
น่าเสียดายที่ไม่มีใครช่วยเฟิ่งชิงเฉิน หลังจากเห็นองค์ชายและคนอื่นๆนั่งลงในที่นั่งของพวกเขา มีเพียงตงหลิงจื่อลั่ว เท่านั้นที่เดินช้าลง และเหลือบมองที่คอของเฟิ่งชิงเฉิน ที่คอนางมีเพียงรอยเล็กน้อยที่ และเขาก็ยิ้มแล้วพูดคำเดียวกับซูหว่าน: "ชิงเฉิน เมื่อเห็นว่าเจ้าปลอดภัยดีแล้ว ข้าก็วางใจ"
เฟิ่งชิงเฉินกระพริบตา และปกปิดความรังเกียจในดวงตาของนาง แน่นอนว่า บรรดาผู้เกลียดชังต่างก็พูดในสิ่งเดียวกัน เฟิ่งชิงเฉินกล่าวด้วยรอยยิ้มว่า “องค์ชายจื่อลั่ว ข้ามีเสด็จอาเก้าอยู่เคียงข้าง แน่นอนว่าต้องดีขึ้น"
เฟิ่งชิงเฉินจงใจพูดถึงเส็ดอาเก้าเพียงเพื่อทำให้ตงหลิงจื่อลั่วรังเกียจ และแน่นอนว่ารอยยิ้มบนใบหน้าของตงหลิงจื่อลั่วก็หายใป ดังนั้นเขาจึงฝืนยิ้ม "ชิงเฉิน ตอนนี้อาการบาดเจ็บของเจ้าสามารถรักษาให้หายได้ มันควรจะเป็นความดีความชอบของประมาจารย์แห่งหุบเขาซวนยี"
“ผิดแล้ว แม้ว่าประมาจารย์แห่งหุบเขาซวนยีรักษาข้า แต่ถ้าไม่มีเสด็จอาเก้า ปรมารจารย์แห่งหุบเขาซวนยีจะรักษาข้าได้อย่างไร” ตงหลิงจื่อลั่วกังวลเกี่ยวกับอาการบาดเจ็บของนาง แต่เขาไม่ได้ทำอะไรเลยนอกจากพูดถึงมัน
กลับกันเสด็จอาเก้าไม่ได้พูดอะไร แต่หลังจากเกิดเหตุ เขาได้เชิญ ปรมาจารย์แห่งหุบเขาซวนยีมาโดยเร็วที่สุด เฟิ่งชิงเฉินไม่ได้ดูถูกตงหลิงจื่อลั่ว แต่นางเปรียบเทียบสถานะของเสด็จอาเก้าและตงหลิงจื่อลั่ว.....
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: นางสนมแพทย์อัจฉริยะ
ไม่ต่อให้จบเหรอคะ นานแล้ว แวะมาบอกกล่าวกันบ้าง...
ขอบคุณน่ะค่ะที่ต้องอดหลับอดนอนอัพเดต สู้ๆๆๆๆน่ะค่ะเป็นกำลังใจให้ค่ะ ผู้อ่านก็ไม่ได้หลับได้นอนเหมือนกัน ติดงอมเลย...
ง่ายๆๆยึดอำนาจ...
มาต่อได้ไหมมมมมมมม พลีสสสสสสสสสสสสสสสสส...
Update ให้หน่อยค่ะ จอดอยู่ที่ 1430 นานแล้ว ขออีกสัก 29 ตอนนะคะ Pleaseeeeee Admin ที่น่ารัก...
ไม่อัพเดตแล้วหรอค่ะ...
สามารถซื้ออ่านผ่านช่องทางไหนได้บ้างค่ะ...
ไทม์ไลน์บอก อัพถึง บท1459 แต่ยังดูได้แค่ บท1430...
Update ให้หน่อยคร่า รออ่านอยู่ คร่า...
ไม่ Update นานแล้ว ไปเที่ยวเพลินเลย สงสารคนรอเถอะ เข้ามาทุกวัน อ่านช้ำไป 2 รอบแล้ว...