นางสนมแพทย์อัจฉริยะ นิยาย บท 83

บาดแผลบนใบหน้าของซุนยี่จิ่นดูน่ากลัว แต่ในความเป็นจริง แผลที่ใหญ่ที่สุดก็คือแผลบนหน้าผากของนางแต่ไม่ได้โดนส่วนสำคัญ

เพียงแค่ทำความสะอาดและเย็บแผลก็จะไม่มีปัญหาอะไร

แน่นอนว่าย่อมยากที่จะหลีกเลี่ยงไม่ให้เสียโฉม แม้ว่าเฟิ่งชิงเฉินจะพยายามที่จะปกปิดบาดแผลไว้ใต้ไรผมอย่างเต็มที่แล้วก็ตาม

สำหรับบาดแผลบนหน้าผากนั้นทำได้เพียงแต่ดูว่าในอนาคตจะทำศัลยกรรมได้หรือไม่

หลังจากจัดการกับบาดแผลภายนอกเรียบร้อยแล้ว ในที่สุดเฟิ่งชิงเฉินก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอก

โชคดีที่ซุนยี่จิ่นมีเพียงอาการกระทบกระเทือนทางสมอง เพียงแค่นางดูแลมันอย่างดีก็พอแล้ว หากมีอาการบาดเจ็บภายในกะโหลกเช่นเลือดคั่งในสมอง เฟิ่งชิงเฉินคงจะไม่สบายเช่นนี้

สำหรับอาการบาดเจ็บที่ปอดและเลือดคั่งที่ทรวงอก เฟิ่งชิงเฉินไม่สามารถทำอะไรได้กับมันได้ชั่วคราว

แม้ว่าจะมียาและอุปกรณ์ที่ต้องใช้อยู่ในกล่อง แต่แสงในห้องของนางมืดเกินไป บวกกับที่นางหมดแรงแล้วในวันนี้ นางจึงไม่อาจทำการผ่าตัดต่อไปได้

ร่างกายเป็นจุดศูนย์รวมของชีวิต นางไม่อยากตายบนโต๊ะผ่าตัด มือของนางไม่สามารถถือมีดผ่าตัดไหวอีกต่อไป

ในเวลานี้เฟิ่งชิงเฉินคิดถึงหลานจิ่วชิงเป็นอย่างมาก ครั้งที่แล้วที่เขานวดมือให้นางเบาๆ ก็บรรเทาความอ่อนล้าของมือนางได้ แต่ตอนนี้เล่า?

เฟิ่งชิงเฉินถอนหายใจอย่างไรเรี่ยวแรง อย่าว่าแต่นวดมือทั้งสองของนางเลย เพียงได้พักสักหน่อย นางก็พอใจแล้ว

เฟิ่งชิงเฉินลากร่างกายอันอ่อนล้าของนางไปเก็บกวาดยาในห้อง

หลังจากแน่ใจว่าอาการของซุนยี่จิ่นคงที่แล้ว เฟิ่งชิงเฉินก็นั่งข้างๆ รอจนให้น้ำเกลือของซุนยี่จิ่นจนเสร็จจึงได้ไปพักผ่อน

นางนวดมือให้ตนเองอย่างขอไปที แต่ยิ่งนวดมากเท่าไหร่ก็ยิ่งคิดถึงฝีมือของหลานจิ่วชิงมากขึ้นเท่านั้น

เฟิ่งชิงเฉินเริ่มอยู่ไม่สุข นางลุกขึ้นและเริ่มเขียนคำสั่งแพทย์

การพักฟื้นและการฟื้นตัวในระยะต่อไปอาจส่งต่อให้หมอท่านอื่น บางทีอาจได้ผลดีขึ้น เฟิ่งชิงเฉินยังคงเชื่อมั่นในยาจีนโบราณในยุคนี้

หลังจากเขียนคำสั่งแพทย์เสร็จแล้ว ซุนยี่จิ่นก็ให้น้ำเกลือหมดพอดี หลังจากเก็บขวดยาและถุงเลือดแล้ว เฟิ่งชิงเฉินก็ไปหาโจวสิง ให้เขาไปหาหมอดีๆ มา แต่ทันทีที่เขาเดินออกจากลานบ้านไปก็พบว่า...

ลานบ้านของนางถูกล้อมด้วยทหารอย่างแน่นหนา ทหารของอวี่เหวินหยวนฮั่วประจันหน้าอยู่กับผู้ส่งสารราวกับว่าพวกเขากำลังเผชิญหน้าอยู่กับศัตรูที่น่าเกรงขาม

อวี่เหวินหยวนฮั่วยืนอยู่ตรงกลางอย่างไม่ยอมถอยพร้อมสีหน้าโกรธจัดบน

"เกิดอะไรขึ้น?" เฟิ่งชิงเฉินเริ่มมีลางสังหรณ์ที่ไม่ดี

อวี่เหวินหยวนฮั่วออกหน้าด้วยตนเองก็ยังขวางไว้ไม่ได้ เกรงว่าวันนี้จะโชคไม่ดีเสียแล้ว

ทันทีที่เฟิ่งชิงเฉินออกมา ขุนนางในชุดเสื้อแพรปักลายปลาบินก็เดินออกมาจากด้านหลังฝูงชน ไม่ว่าเขาเดินไปทางใด เหล่าทหารต่างก็แหวกทางให้ด้วยสีหน้าเคารพ

ผู้มาเยือนหยุดฝีเท้าลงที่ด้านหน้าเฟิ่งชิงเฉินและหยิบป้ายสัญลักษณ์อย่างเย่อหยิ่งพร้อมกล่าวอย่างเย็นชา "เฟิ่งชิงเฉิน ข้าคือลู่เส้าหลินผู้บัญชาการหน่อยองครักษ์เสื้อโลหิต เจ้าถูกสงสัยว่าเป็นผู้สังหารแม่นางซุน โปรดตามพวกเรามาด้วย"

ว่าแล้วเขาก็ไม่ได้ให้โอกาสเฟิ่งชิงเฉินพูดเลยและสั่งให้คนเอาเชือกมามักมือนางโดยตรง

"อะไรนะ?" เฟิ่งชิงเฉินตามไม่ทันอยู่นาน จนกระทั่งมีโซ่ตรวนมาล่ามที่ข้อเท้าของนาง

องครักษ์เสื้อโลหิต?

นี่เป็นหน่วยงานแบบใดกัน ในราชวงศ์หมิงมีองครักษ์เสื้อแพร องครักษ์เสื้อโลหิตแห่งราชวงศ์ตงหลิงคล้ายกับองครักษ์เสื้อแพรแห่งราชวงศ์หมิงหรือไม่?

เฟิ่งชิงเฉินมองไปที่อวี่เหวินหยวนฮั่วและต้องการขอให้เขาเป็นพยาน อวี่เหวินหยวนฮั่วคิดว่านางกำลังขอความช่วยเหลือจากเขาจึงได้ส่ายหัวอย่างอ่อนแรง "เฟิ่งชิงเฉิน องครักษ์เสื้อโลหิตจัดการคดี แม้จะเป็นข้าก็ไม่อาจแทรกแซงได้ เจ้าดูแลตัวเองเถอะ"

หากเข้าไปในหน่วยองครักษ์เสื้อโลหิตแล้ว ไม่สำคัญว่าจะมีความผิดหรือไม่ก็จะถูกลงโทษก่อน แม้ว่าจะออกมาอย่างมีชีวิตอยู่ก็แทบจะต้องเสียไปทั้งชีวิต

ต้องบอกว่าแผนการครั้งนี้ขององค์หญิงอันผิงช่างโหดร้ายยิ่งนัก ใส่ร้ายป้ายเสียจนเป็นเรื่องเป็นราวขึ้นมา

ลู่เส้าหลินแค่นเสียงเยาะเย้ย ดูโหดเหี้ยมมากในราตรีอันมืดมิด "แม่นางเฟิ่ง อย่าหวังให้ใครมาช่วยเลย ไม่มีใครสามารถช่วยได้หรอก เมื่อตกอยู่ในมือขององครักษ์เสื้อโลหิตแล้วก็จะไม่มีใครช่วยเจ้าได้อีก ยิ่งคดีของเจ้าแล้ว ทั้งพยานและหลักฐานล้วนหนาแน่น แม่นางเฟิ่ง เจ้าเงียบได้แล้ว เมื่อไปถึงเจ้าย่อมมีโอกาสได้พูดเอง"

"ท่านแม่ทัพอวี่เหวิน ขอบคุณสำหรับความกรุณาของท่าน แต่เฟิ่งชิงเฉินคงไม่มีโอกาสตอบแทนความกรุณาของท่านแล้ว ลาก่อน"

พูดจบแล้วนางก็เข้าไปในรถจองจำโดยไม่ต้องให้ใครเร่ง ท่าทางร่วมมือนี้ทำให้เหล่าทหารแห่งหน่วยองครักษ์เสื้อโลหิตต้องขยี้ตาด้วยความตกใจ

แม่นางเฟิ่งผู้นี้คงไม่ได้คิดว่าองครักษ์เสื้อโลหิตจะเชิญนางไปดื่มชาหรอกนะ และถึงแม้ว่าจะดื่มชา ชาของพวกเขาก็ไม่อร่อยแน่

อวี่เหวินหยวนฮั่วและโจวสิงได้แต่ดูองครักษ์เสื้อโลหิตนำตัวเฟิ่งชิงเฉินไปโดยทำอะไรไม่ได้เลย

ยามที่ซูเหวินชิงและหวังชีมาถึงก็พบองครักษ์เสื้อโลหิตกำลังนำตัวเฟิ่งชิงเฉินไปพอดี ทั้งสองคนเร่งรุดก้าวเข้าไปข้างหน้า แต่ลู่เส้าหลินไม่ไว้หน้าพวกเขาเลยแม้แต่น้อย

"คุณชายหวัง คุณชายซู อย่าหาว่าข้าไม่เตือน พวกท่านทั้งสองอย่าเข้ามายุ่งกับคดีขององครักษ์เสื้อโลหิตจะดีกว่า จะได้ไม่เป็นการหาเรื่องเข้าตัวจะไม่มีคนที่ปกป้องพวกท่านได้"

"เฟิ่งชิงเฉิน" ซูเหวินชิงและหวังชีถอยไปก้าวหนึ่งและมองนางด้วยสีหน้าท้อแท้

ผู้ที่ถูกองครักษ์เสื้อโลหิตนำตัวไป จนถึงวันนี้ยังไม่มีผู้ใดเคยรอดออกมาได้

"ข้า…" เฟิ่งชิงเฉินจะบอกว่าตนเองไม่เป็นไร แต่อย่างไรก็พูดไม่ออก จึงได้แต่พูดกับหวังชีว่า "หวังชี บอกคุณชายใหญ่แทนข้าด้วย บอกเขาว่าข้าขอโทษ ชีวิตนี้คงไม่อาจช่วยให้ดวงตาของเขากลับมามองเห็นได้อีกแล้ว"

นางจะไม่เป็นไรได้อย่างไร สิ่งที่รอนางอยู่เบื้องหน้าก็คือทัณฑ์ทรมานอันโหดเหี้ยมขององครักษ์เสื้อโลหิต

แม้ว่านางจะไม่รู้ว่าองครักษ์เสื้อโลหิตเป็นหน่อยงานอะไรของราชสำนักตงหลิง แต่เมื่อเห็นอวี่เหวินหยวนฮั่วไม่กล้าต่อกรด้วยก็รู้ได้ถึงความน่ากลัวองครักษ์เสื้อโลหิตคงไม่อยู่ในส่วนที่จินตนาการถึงหรือไม่

เมื่ออยู่ในเงื้อมมือขององครักษ์เสื้อโลหิตแล้ว แม้ว่านางจะรอดออกมา นางยังคงจะจับมีดผ่าตัดได้อยู่หรือไม่?

รถจองจำมุ่งหน้าไปสู่คุกของหน่วยองครักษ์เสื้อโลหิต เฟิ่งชิงเฉินหลับตาลงอย่างหมดหนทางกล้ำกลืนความเจ็บปวดและไม่อยากยอมเอาไว้

ครั้งแล้วครั้งเล่า อย่างไรนางก็ไม่หลายจำเสียที

ชาติที่แล้วนางตายด้วยเงื้อมมือของผู้มีอำนาจ ชาตินี้ก็เดินไปตามเส้นทางนั้นอีกเช่นกัน…

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: นางสนมแพทย์อัจฉริยะ