อาการง่วงของซูเมิ่งเยียนหายไปทันที นางจ้องมองไปที่จดหมายอย่างเหม่อลอยไปครู่หนึ่ง และไม่เข้าใจประโยคที่ในจดหมายเขียนไว้ว่า "เกิดโรคบนใบหน้า" ว่ามีความหมายว่าเช่นไร
หลังจากที่ผ่านไปเป็นเวลานาน นางถึงได้เงยหน้าขึ้นมา จากนั้นก็มองไปที่ชายหนุ่มที่อยู่เบื้องหน้า
เห็นเพียงแวบเดียว แต่ราวกับว่าหัวใจถูกแช่แข็งเอาไว้อย่างไรอย่างนั้น
เขาใช้...แววตาที่ราวกับมองคนแปลกหน้ามองมาที่นาง เหมือนกับว่านางไม่ใช่ภรรยาของเขา และ...เป็นคนที่ไม่สำคัญเลย
เพียงแต่ว่า ซูเมิ่งเยียนก็ได้แต่หัวเราะกับตัวเองภายในใจ ในแง่มุมของเขาที่มีต่อนาง เดิมทีก็ไม่ได้เป็นคนที่มีความสำคัญอยู่แล้ว แล้วนางยังกำลังเพ้อฝันอะไรอยู่กันแน่?
"ท่านอ๋องหมายความว่าอย่างไร?" จากนั้นก็วางจดหมายไว้ข้างตัวอย่างแผ่วเบา ซูเมิ่งเยียนหยิบเอาเสื้อคลุมมาคลุมไหล่เอาไว้ เมื่อเข้ายามราตรี สายลมที่พัดเข้ามาจากนอกประตูก็หนาวเย็นเล็กน้อย
มู่เสี่ยวขมวดคิ้วมุ่น ในเวลานี้ ไม่นึกเลยว่านางยังกล้าเสแสร้งทำตัวไร้เดียงสา แล้วถามเขาว่ามันมีความหมายว่าเช่นไรอีกหรือ?
"ซูเมิ่งเยียน อยากบอกข้านะว่า เจ้าไม่รู้เรื่องที่นางเสียโฉม!" น้ำเสียงของเขา เย็นยะเยือกราวกับน้ำแข็งอย่างไรอย่างนั้น
ซูเมิ่งเยียนขมวดคิ้วเล็กน้อย หลังจากนั้นก็ขบริมฝีปากไว้แน่น แล้วคลายออกช้า ๆ มุมปากของนางก็ค่อย ๆ เผยรอยยิ้มออกมา "ตอนที่ท่านอ๋องได้มอบจดหมายฉบับนี้ให้ข้า ก็เป็นตอนที่ข้าเพิ่งจะรู้ว่าพระสนมกุ้ยเฟยเสียโฉมแล้ว ถึงอย่างไร ในเมื่อตอนนี้พระสนมกุ้ยเฟยเสียโฉม เวลานี้ควรที่จะต้องรีบไปหาหมอมิใช่หรือ เหตุใดท่านอ๋องถึงมาหาข้า..."
ทันใดนั้นน้ำเสียงก็ได้หยุดชะงักไป
ซูเมิ่งเยียนเงยหน้าขึ้น จ้องมองไปที่ชายหนุ่มที่สวมชุดคลุมสีขาวแล้วยืนอยู่ข้างเตียง และแม้กระทั่งรองเท้าของเขาก็ยังสวมรองเท้าที่ไว้ใช้ในห้องนอน
ทันทีที่รู้ว่าฮัวหย้วนเกิดเรื่อง แม้แต่รองเท้าก็ยังไม่ทันได้เปลี่ยน แล้วรีบร้อนตรงมาหานาง แล้วยังทำท่าทางอย่างกับมาซักไซ้เอาความเสียอย่างนั้น...
นางไม่ได้เป็นคนโง่เง่า แน่นอนว่าต้องเข้าใจมันอยู่แล้ว
"ท่านคิดว่าเป็นข้าเช่นนั้นหรือ?" นางจ้องเขม็งไปที่เขา แล้วถามกลับ
"..." คิ้วของมู่เสี่ยวยังคงขมวดมุ่น และไม่ตอบอะไรสักคำ
"ท่านคิดว่าเป็นข้าสินะ!" ครั้งนี้ ในน้ำเสียงของซูเมิ่งเยียนไม่มีความสงสัยอีกแล้ว และมีเพียงความแน่นอนเท่านั้น
เขาสงสัยว่านางจะต้องลงมือกับฮัวหย้วน เช่นนั้นจึงได้รีบร้อนมาซักไซ้เอาความนางถึงเพียงนี้ ไม่มีแม้แต่กระทั่งการสอบสวน แต่กลับรีบมาโจมตีนางเช่นนี้
"คนในวังกล่าวว่า วันนี้มีเพียงแค่เจ้า ที่ไปเข้าเฝ้านางเพียงเท่านั้น" มู่เสี่ยวขมวดคิ้วเล็กน้อย และจ้องมองไปที่ใบหน้าขาวซีดเล็กน้อยที่ราวกับคนป่วยของนาง แล้วภายในใจของเขาก็บีบรัดอย่างยากที่จะอธิบายได้ "นอกจากนี้ บ่ายวันนี้ เจ้ายังแต่งหน้าให้นางอีกมิใช่หรือ?"
มีเพียงนางที่เข้าวังไปพบฮัวหย้วนเท่านั้น แม้กระทั่ง...มู่เสี่ยวรู้แม้แต่เรื่องที่นางแต่งหน้าให้กับฮัวหย้วนได้อย่างชัดเจนแจ่มแจ้ง ดูเหมือนว่า...ภายในใจของเขาจะยืนยันว่าเป็นนางแน่แล้วล่ะ
"หากเป็นเช่นนั้น มู่เสี่ยว..." ซูเมิ่งเยียนพยักหน้าเล็กน้อย "ข้าไปพบฮัวหย้วน แล้วข้าก็ได้แต่งหน้าให้กับนาง ท่านคิดว่าเป็นข้าใช่หรือไม่?"
"..." มู่เสี่ยวจ้องมองมาที่นาง แล้วไม่ได้กล่าวอะไรออกมาเลย
หัวใจของซูเมิ่งเยียนยิ่งจมดิ่งมากขึ้นเรื่อย ๆ น้ำเสียงของนางราวกับบ่นพึมพำ "การเข้าวัง ก็เป็นไปตามพระราชกฤษฎีกาลับของกุ้ยเฟย ที่ได้เชิญให้ข้าไปเที่ยววัง และเรื่องแต่งหน้า นางก็นำเครื่องแต่งหน้าที่เอามาจากเครื่องบรรณาการของต่างแดน จากนั้นก็รับสั่งให้ข้าไปแต่งหน้า และในตอนนี้ นางเสียโฉม ก็เหมือนกับว่าข้าเป็นคนทำร้ายจริง ๆ..."
คิ้วของมู่เสี่ยวขมวดแน่นมากยิ่งขึ้น
"เช่นนั้นหรือ?" ซูเมิ่งเยียนเงยหน้าขึ้นทันที จากนั้นก็จ้องเขม็งไปที่มู่เสี่ยว "ในเมื่อท่านยืนยันแล้วว่าข้าเป็นคนทำ จึงต้องการที่จะจับข้าใช่หรือไม่? หรือส่งมอบข้าให้ฝ่าบาทเป็นผู้จัดการลงโทษกันล่ะ?"
"ซูเมิ่งเยียน!" ทันใดนั้นน้ำเสียงของมู่เสี่ยวก็ดังก้องขึ้นมา
ขนตาของซูเมิ่งเยียนสั่นไหวเล็กน้อย และสงบลงภายในไม่นาน เมื่อครู่นางตื่นเต้นมากเกินไป บางทีอาจจะติดต่อมาจากอารมณ์ในชีวิตที่แล้ว ทันทีที่เห็นว่ามู่เสี่ยวปกป้องฮัวหย้วนเช่นนี้ก็ยิ่งทนต่อไปไม่ได้
อารมณ์ค่อย ๆ กลับมาสงบนิ่งลงอย่างช้า ๆ ซูเมิ่งเยียนหลับตาแน่น แล้วหายใจเข้าลึก ๆ อยู่ครู่หนึ่ง และจึงลืมตาขึ้นมาอีกครั้ง จากนั้นก็กลับไปเป็นเหมือนปกติ "ตอนนี้ล่ะ? ใบหน้าของพระสนมกุ้ยเฟยเป็นเช่นไรบ้าง? ได้ส่งหมอหลวงไปแล้วหรือยัง?" นางกล่าวถาม
"หากท่านอ๋องคิดจะซักไซ้เอาความข้า ก็ควรจะเป็นพรุ่งนี้ดีหรือไม่? เวลานี้ไม่ควรที่รีบหาหมอถามเรื่องยา เพื่อรักษาใบหน้าของพระสนมกุ้ยเฟยหรอกหรือ?" นางเงยหน้า แล้วกล่าวถามมู่เสี่ยว
สีหน้าของมู่เสี่ยวเปลี่ยนไปเล็กน้อย เขายังไม่ทันได้เข้าไปในวัง เมื่อตอนที่ขันทีน้อยนำจดหมายฉบับนี้มามอบให้กับเขา ภายในใจของเขาก็มีแต่ความโกรธเท่านั้น ขันทีน้อยยังกล่าวอีกว่า พระสนมกุ้ยเฟยสวมแพรบาง และไม่ยินยอมให้ผู้ใดเห็น บ่ายนี้ ก็มีเพียงซูเมิ่งเยียนและฮัวหย้วนอยู่กันตามลำพังเพียงสองคนเท่านั้น เขาจึงบังคับตนเองไม่ได้อีกต่อไป จึงมายังสวนด้านหลังทันที
เมื่อก่อนนี้ซูเมิ่งเยียนเป็นคนที่หยิ่งและเผด็จการ หลังจากที่แต่งเข้ามาในจวนอ๋องแล้ว ถึงแม้จะบอกว่านิสัยจองนางนั้นเปลี่ยนไปเป็นอย่างมากแล้ว แต่ภายในกระดูกนั้นยังคงมีนิสัยใจคอเช่นเดิม เขาไม่เชื่อว่านางจะสามารถเปลี่ยนได้อย่างสมบูรณ์
นางรู้ความแตกต่างของฮัวหย้วนที่มีต่อเขา และเรื่องที่ฮัวหย้วนลงมือต่อเรื่องเหล่านั้น ในอดีตก็ไม่ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้ นาง...เป็นผู้หญิงที่เอาสิ่งของที่หญิงสาวผู้อื่นมอบให้กับเขาไปทิ้งไว้ที่หน้าประตูอย่างนั้น!
เช่นนั้น จึงมุ่งตรงมาหานาง
ในตอนที่นางถามเขาอย่างนะ้นว่าเขากำลังสงสัยในตัวนางหรือไม่ ลำคอของเขากลับบีบแน่น แล้วพูดอะไรไม่ออกเลย
ในตอนนี้ นางก็กำลังถามเขาอีกครั้ง ว่าควรจะรักษาใบหน้าให้กับฮัวหย้วน...
"อ๋อ ข้ารู้แล้ว" ซูเมิ่งเยียนกล่าวขัดจังหวะความคิดของเขาด้วยน้ำเสียงที่ราวกับ "เข้าใจได้ทันที" มู่เสี่ยวจึงเงยหน้าขึ้นมา "ท่านอ๋องคิดว่า ข้าเป็นคนวางยาทำให้ใบหน้านั้นเสียโฉม และข้าก็ควรที่จะรู้ยาถอนพิษ ใช่หรือไม่?"
เช่นนั้น เขาจึงได้มาหานาง แล้วยืนอยู่ตรงหน้าหน้าไม่ยอมไปไหน เนื่องจากรอให้นางหยิบยาแก้พิษออกมาให้สินะ
มู่เสี่ยวเม้มปากแน่น ไม่ได้ยอมรับ แต่ก็ไม่ได้ปฏิเสธเช่นกัน
ที่จริงแล้วก็เป็นเช่นนี้เอง
ซูเมิ่งเยียนชะงักไปเล็กน้อย แล้วเงียบลงไปครู่หนึ่ง นางยังไม่ได้เห็นฮัวหย้วน เดิมจึงไม่รู้ว่าสถานการณ์ตอนนี้เป็นเช่นไรบ้าง ถึงแม้จะพูดได้ว่าภายในใจตนเองไม่สั่นไหวอีกแล้ว แต่การที่ถูกผู้อื่นสงสัยนั้นมันก็ไม่สบายใจอยู่ดี
"มู่เสี่ยว" น้ำเสียงของนางค่อย ๆ เบาลง "หากข้าบอกว่า ข้าไม่ได้เป็นคนวางยากุ้ยเฟย ท่านจะเชื่อหรือไม่?" นางกล่าวถามอย่างเคร่งขรึม
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: อ๋องเฟยเกิดใหม่ ท่านอ๋อง ขอหย่ากัน
ช่วยอัพต่อด้วยค่ะ สนุกมากอยากอ่านต่อ...
อัพต่อหน่อยจ้าา...
อัพต่อด้วยค่ะ อยากอ่านต่อ...
อัพอีกหน่อยค่า อยากอ่านต่อ...
4/4/2567 ใครช่วยตอบที ไม่อัพตอนเพิ่มแล้วใช่ไหมค่ะ.... อยากอ่านต่ออะ 😢😢😢...
ไม่อัพเดตแล้วหรอค่ะ หายไปเลย รออยู่นะคะ...
ไม่อัพแล้วหรอครับ...