อ๋องเฟยเกิดใหม่ ท่านอ๋อง ขอหย่ากัน นิยาย บท 65

ซูเมิ่งเยียนถูกนำไปคุมขังอยู่ในตำหนักต้องห้ามของพระราชวังแล้ว

มันเป็นห้องที่ทรุดโทรมที่สุดที่อยู่ตรงมุมของพระราชวัง ภายในห้องมืดและอับชื้น ภายในห้องมีเพียงแค่เตียงไม้หนึ่งเตียงและตะเกียงน้ำมันที่มีขนาดเท่าถั่วไหม

และเมื่อตอนที่องครักษ์พานางมาถึงห้องคุมขัง ก็รู้สึกว่านางที่เป็นหวางเฟยมายังสถานที่เช่นนี้จะต้องคัดค้านอย่างแน่นอน จึงได้ยืนอยู่ที่ประตูตำหนักต้องห้ามเพื่อเฝ้าดูนางไว้

ไม่คาดคิดว่าซูเมิ่งเยียนจะยังคงสงบนิ่งได้ตั้งแต่ต้นจนถึงตอนนี้ ถึงแม้จะได้เห็นภายในห้องที่เรียบง่ายและโกโรโกโส แต่ก็ไม่ได้แสดงท่าทีรังเกียจหรือหวาดกลัวแต่อย่างใด

ความจริงแล้วที่นี่กับหลิงหย้วนในชีวิตที่แล้วไม่ได้ต่างกันมากเท่าไรนัก ถึงแม้ว่าภายในหลิงหย้วนจะถือว่ามีของใช้ที่ครบครัน แต่สุดท้ายแล้วนางก็อยู่ได้ไม่นานเท่าไรนัก เช่นนั้นจึงไม่จำเป็นที่จะต้องมีของใช้มากมายถึงเพียงนั้น

ตามความทรงจำของชีวิตที่แล้ว อย่างมากที่สุดก็เพียงแค่สามวัน ใบหน้าของฮัวหย้วนค่อย ๆหายดี เมื่อถึงเวลานั้น ความผิดทั้งหมดของนางก็จะถูกชำระล้าง และฮัวหย้วนก็ไม่ได้หวังให้เรื่องราวใหญ่โตอยู่แล้ว เพราะสุดท้ายแล้วเรื่องการเสียโฉมนี้ก็เป็นเรื่องที่นางลงมือทำขึ้นมาเองมาตั้งแต่ต้นอยู่แล้ว

ซูเมิ่งเยียนเอนตัวลงบนเตียงไม้ที่แข็งทื่ออย่างเกียจคร้าน นางกอดแขนตนเอง แล้วทันใดนั้นก็คิดถึงเรื่องที่มู่เสี่ยวที่ต้องการจะเข้ามาในพระราชวังแทนนาง

การเปลี่ยนแปลงของเขาทำให้นางตื่นตระหนกจนเกินไป เช่นนั้นนางจึงไม่กล้าที่จะรับความหวังดีใด ๆ ของเขาทั้งนั้น

ดูเหมือนว่าตอนนี้ การไม่ยอมรับจะถูกต้องแล้ว เมื่อครู่นี้ ฮัวหย้วนสามารถดึงดูดเขาได้อย่างง่ายดายโดยที่ไม่แม้แต่จะต้องแสดงใบหน้าของตนเองด้วยซ้ำ แล้วนางจะเอาอะไรไปสู้กับฮัวหย้วนได้กันล่ะ?

นางหัวเราะอย่างแผ่วเบาอยู่ภายในก้นบึ้งของหัวใจ จากนั้นก็ส่ายศีรษะแล้วหลับตาลง ตอนนี้นางเวียนศีรษะเล็กน้อย กลัวก็แต่ว่าชิวซวงจะยังรอให้นางกลับไปกินยาอยู่หรือเปล่านะ? ครั้งนี้หากสามารถออกไปได้ กลัวก็แต่ชิวซวงจะร้องไห้จนตาแดงก่ำอีกครั้ง

นางในชีวิตนี้ มีชิวซวงเพียงคนเดียวเท่านั้นที่ซื่อสัตย์ ไม่ว่าจะรวยหรือจนจริงหรือเท็จ ก็จะอยู่เคียงข้างนางอย่างจริงใจเสมอ นางก็จะต้องดีต่อนางให้มาก

ในความมืดสลัว นึกไม่ถึงว่านางจะหลับไปเสียแล้ว

จวนอ๋องหย่งอัน

มู่เสี่ยวนั่งขมวดคิ้วอยู่ภายในห้องหนังสือ และถือจดหมายฉบับหนึ่งไว้ในมือ ซึ่งเป็นจดหมายที่ทางอ๋องเจิ้นหนานให้นกพิราบสื่อสารมาส่งให้

อ๋องเจิ้นหนานครอบครองทหารไว้ในมือนับแสนนาย มีแสนยานุภาพมากมาย ที่แม้แต่ฮ่องเต้ยังไม่กล้าที่จะถอดยศของเขาออกอย่างง่ายดาย จึงได้แต่งตั้งเขาให้เป็นอ๋อง จากนั้นก็รับสั่งให้โยกย้ายไปยังทางใต้ ซึ่งเป็นการลดตำแหน่งลงอย่างชัดเจน

และมู่เสี่ยวเห็นพลังอำนาจของเขาสามารถนำมาใช้ได้ 

ในตอนนี้ เขายังยังไม่ได้กล่าวชักชวนอ๋องเจิ้นหนาน

การเคลื่อนไหวนี้ไม่ได้ถือว่าเล็กจนเกินไป เมื่อมันแพร่กระจายมาจนถึงเมืองหลวง ก็มันจะเกิดการเปลี่ยนแปลงเล็กน้อยเท่านั้น เพียงแต่เขาปิดบังมันมาได้ดีมาเสมอ จึงได้ไม่ดึงดูดความสนใจมากเท่าไรนัก

แต่ทว่าในครั้งนี้...

มู่เสี่ยวลูบที่หว่างคิ้วของเขา เป็นครั้งแรกที่เขาระงับอารมณ์ไว้ไม่อยู่ เมื่อตอนที่ได้เห็นซูเมิ่งเยียนผู้หญิงคนนั้นถูกจับตัวไป

เขาไม่ชอบนาง เหตุใดเขาต้องชอบนางด้วยล่ะ? นางบังคับให้เขาแต่งงานด้วย เขาควรจะเกลียดนางต่างหาก!

แต่...ไม่ว่าจะพูดเช่นไร ในตอนนี้ซูเมิ่งเยียนก็เป็นถึงหวางเฟยหย่งอัน ที่คนเหล่านั้นขังนางเอาไว้ นั่นก็หมายความว่าว่าไม่ได้เห็นเขาอยู่ในสายตาอย่างไม่ต้องสงสัย เขากล่าวกับตนเองเช่นนี้

ถูกต้องแล้ว มันเป็นเพียงเพราะเกียรติ์เท่านั้นแหละ

แต่เพราะเหตุใด...ภายในใจของเขาถึงได้หงุดหงิดเช่นนี้? ภายในตำหนักต้องห้ามนั้น มีวิญญาณที่ตายไปอย่างยากไร้อยู่ไม่น้อย ถึงแม้ว่าจะเป็นคนที่ร่างกายแข็งแรง ต่างก็ต้องตกใจกับความหนาวเย็นที่อยู่ภายใน ในตอนนี้...จะเป็นอย่างไรบ้าง...

"ท่านอ๋อง!" ด้านนอกประตูมีเสียงของซวนหยวนดังเข้ามา

สติของมู่เสี่ยวคืนกลับมาในทันที ดวงตาทั้งคู่หรี่ลงเล็กน้อยแล้วกล่าวอย่างเย็นชาว่า "เข้ามา"

ซวนหยวนเดินเข้ามาด้านใน พร้อมกับสวมชุดดำอยู่ จากนั้นก็เอากระดาษแผ่นหนึ่งวางไว้บนโต๊ะหนังสือ "นี่คือยาที่หวางเฟยเปลี่ยนในวันนั้น คนที่อยู่ในวังเอาออกมาให้เล็กน้อย"

"อื้ม" มู่เสี่ยวตอบเสียงแผ่วเบา จากนั้นก็เปิดห่อกระดาษออก และมีเพียงยาที่น้อยเท่าเล็กมือหนึ่งอยู่ข้างในเท่านั้น เขานำมันขึ้นมาดมเล็กน้อย มีเพียงกลิ่นที่บางเบา เมื่อดมดูอย่างละเอียดแล้ว ก็จะสามารถดมจนได้กลิ่นคาวเล็กน้อย

เขาขมวดคิ้วเล็กน้อย และภายในดวงตาของเขาก็ฉายแววประหลาดใจขึ้นมา

“ท่านอ๋องขอรับ?” ซวนหยวนกล่าวอย่างงงงวย

เดิมซูเมิ่งเยียนคิดว่ารอดวันเช่นนี้ไปเพียงแค่วันเดียวเท่านั้น แต่กลับไม่คิดเลยว่า วันที่สองก็เป็นแบบนี้เช่นกัน

นางตระหนักได้ว่า ตนเองคงจะถูกเล็งเป้าหมายไว้แล้ว สำหรับจะเป็นผู้ใดนั้น ภายในใจของนางก็มีเงาร่างหนึ่งปรากฏขึ้นมาในทันที

นางไม่ได้กินอาหารมามากกว่าสองวันแล้ว ร่างกายของนางยิ่งอ่อนแอมากขึ้นเรื่อย ๆ หากไม่ใช่เพราะว่ายังมีน้ำร้อนต่อลมหายใจ เกรงว่านางคงจะหมดสติไปตั้งนานแล้ว

เนื่องจากความหนาวเย็นภายในห้อง ทำให้นางต้องขดตัวเอาไว้แน่น

เหลืออีกหนึ่งวัน นางคิดกับตนเอง ยาต้องได้ผลแล้ว สู้อีกวันเดียวเท่านั้น

อย่างไรก็ตาม เมื่อคืนในวันที่สามมาถึง องครักษ์ที่คอยเฝ้าสังเกตนางอยู่นั้นก็ไม่ได้มีท่าทีว่าจะปล่อยนางออกไป และจากนั้นก็ลากสังขารไปอย่างไม่เต็มใจนักเพื่อสอบถาม แล้วทั้งสองนั้นก็ตอบกลับมาด้วยดวงตาที่เต็มไปด้วยความเหลืออด "ใบหน้าของพระสนมกุ้ยเฟยยังไม่หายดีเลย ท่านรออยู่ที่นี่อย่างสบายใจเถอะ"

นางจะสบายใจได้อย่างไร?

ในที่สุดจะดีหรือไม่ก็ต้องทำให้นางได้รู้ว่าปัญหาเกิดที่ตรงไหนกันแน่? แต่ทว่าตอนนี้ ภายในตำหนักต้องห้ามแห่งนี้ ผู้ใดก็ไม่รู้ ผู้ใดก็ไม่เห็น ทำให้ชีวิตของคนผู้นี้ต้องทุกข์ทรมานกว่าชาติที่แล้วเป็นอย่างมาก

เมื่อมาถึงวันที่สี่ ซูเมิ่งเยียนก็รู้สึกว่าร่างกายของตนเองไม่สามารถทานทนได้อีกต่อไปแล้ว และนางก็ได้ขดตัวแน่นอยู่เงียบ ๆ เพียงคนเดียวที่มุมหนึ่ง แล้วกอดเข่าของตนเองเอาไว้ นางกลับไม่หิวอีกแล้ว มีเพียงแค่ความอ่อนเพลียเล็กน้อยเท่านั้น

ตัวคนก็อยู่ในสถานการณ์ที่ยากลำบากไม่น้อยเช่นกัน ทั้งไม่ได้เปลี่ยนเสื้อผ้าและหวีผมมาหลายวันแล้ว

ในช่วงเวลาที่นี่ช่างยากเย็นแสนเข็ญเป็นพิเศษเช่นนี้ มีบางครั้งที่นางหลับไปอย่างง่วงงุน และทำให้หวนนึกถึงช่วงเวลาที่นอนป่วยอยู่บนเตียงในชีวิตครั้งที่แล้วขึ้นมา

หรือจะพูดได้ว่า...ทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นในตอนนี้ เป็นเพียงแค่ความฝันเท่านั้น และนี่ก็เป็นเพียงภาพลวงตาก่อนที่นางจะต้องตายในชีวิตที่แล้วเท่านั้น...

สติสัมปชัญญะค่อย ๆ หายไป ซูเมิ่งเยียนที่กอดเข่าอยู่ครุ่นคิดเรื่องมากมาย สุดท้ายแล้วในที่สุดก็ไม่ไหวอีกแล้ว ในตอนที่กำลังจะตกลงไปในความมืด ประตูใหญ่ของวังต้องห้ามก็ถูกใครคนหนึ่งถีบออกไปทันที

ร่างหนึ่งปรากฏอยู่ท่ามกลางแสงสว่างตรงทางเข้า ราวกับเป็นเทพเจ้าที่ยืนอยู่ตรงนั้น นางเงยหน้ามองอย่างไม่เต็มใจ และมองเห็นสีหน้าของเขาได้ไม่ชัดเจนเท่าไรนัก แล้วรู้สึกเพียงแต่ว่า...มันช่างคุ้นเคยมากเหลือเกิน...

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: อ๋องเฟยเกิดใหม่ ท่านอ๋อง ขอหย่ากัน