(นิยายแปล) Perfect Superstar นิยาย บท 153

ตอนที่ 153 ฉินชิง

หน้าประตูโรงน้ำชาอวี่หมิงฉาย่วน

เฉินเจี้ยนหาวตบไหล่ลู่เฉิน แล้วพูดอย่างปลงอนิจจัง “นับวันฉันยิ่งมองนายไม่ออกแล้ว”

ลู่เฉินยิ้มเจื่อนและกล่าวว่า “พี่เจี้ยนหาว ความจริงผมก็คือผม ไม่ได้เปลี่ยนเป็นคนอื่นนะครับ”

เฉินเจี้ยนหาวยิ้มและส่ายหน้า

เขารู้ว่าภาพลักษณ์ภายนอกของลู่เฉินมีความถ่อมตัวและมีมารยาท แต่ในใจของเขากลับมีความหยิ่งผยองมาก

ถึงแม้ลู่เฉินจะเคยเป็นพนักงานเสิร์ฟในบาร์เดย์ลิลลี่มาก่อน ความเย่อหยิ่งของเขาที่ซ่อนอยู่ในตัวมาตลอด ไม่เคยถูกลบล้างไปจากชีวิต เขาพยายามตั้งใจทำงานเสมอ แอบดิ้นรนต่อสู้อย่างเงียบๆ

จนกระทั่งตอนนี้ลู่เฉินได้เผยความสามารถที่น่าตกใจออกมา ความหยิ่งผยองที่อยู่ในสายเลือดของเขาจึงปรากฏออกมาเช่นกัน

แต่ความหยิ่งผยองแบบนี้ไม่ใช่ความหยิ่งที่ไร้มารยาท แต่เป็นความมั่นใจในตัวเองที่สูงมาก

และด้วยความมั่นใจนี้ จึงทำให้ลู่เฉินได้นำผลงานของตัวเองมาแสดงต่อหน้าจางเหวินเทียน

เฉินเจี้ยนหาวมองไม่ออก ถึงสิ่งที่แฝงอยู่เบื้องลึกของลู่เฉิน

มันลึกมากเกินไป!

เพลง ‘ชายชาตรีต้องแข็งแกร่ง’ ในสายตาของเฉินเจี้ยนหาว เมื่อเทียบกับผลงานเพลงก่อนหน้านี้ของลู่เฉินคือเพลง ‘ในฤดูใบไม้ผลิ’ เพลง ‘วิ่งตามความฝันด้วยใจอันบริสุทธิ์’ เพลง ‘เธอผู้เป็นเพื่อนร่วมโต๊ะของฉัน’ เป็นต้น ดูเหมือนจะมีความโดดเด่นมากกว่า!

เขาคิดครู่หนึ่ง แล้วกล่าวเตือนอย่างจริงจังว่า “ลู่เฉิน นายให้เพลงประกอบภาพยนตร์หลักกับผู้กำกับจาง แล้วก็เรื่องที่ได้ถ่ายหนัง จำไว้ว่าต้องเก็บเป็นความลับ อย่าเพิ่งประกาศให้ใครรู้เด็ดขาด”

“ผู้กำกับจางไม่ชอบให้เอาเรื่องที่ยังพูดไม่จบก็เอาไปประกาศให้คนทั้งโลกรู้ และยิ่งไม่ชอบให้คนอื่นเอาเขาไปทำเป็นกระแส”

เด็กใหม่ที่เพิ่งเข้าวงการเหมือนลู่เฉินหากได้กระชับความสัมพันธ์กับจางเหวินเทียน ล้วนแต่มีความยินดี แม้แต่เรื่องเล็กๆ พวกเขาก็สามารถสร้างเป็นกระแสเอาไปพูดเป็นข่าวซุบซิบได้

แต่ของลู่เฉินไม่ถือว่าเป็นเรื่องเล็ก

โชคดีที่เขาเป็นศิลปินอิสระ ไม่อย่างนั้นหากบริษัทที่เซ็นสัญญารู้เรื่อง คงจะทำเป็นข่าวสร้างกระแสหนักมาก

เฉินเจี้ยนหาวรู้ว่าตอนนี้ในวงการบันเทิงหนีไม่พ้นการสร้างกระแส แต่เขาก็หวังว่าลู่เฉินจะไม่หวังผลประโยชน์เล็กน้อยเท่าหัวแมลงวันที่อยู่ตรงหน้า แต่อยากให้เขามองให้ไกลกว่านี้ เพราะการมีความสัมพันธ์ที่ดีกับจางเหวินเทียนคือสิ่งที่สำคัญ

มีการสนับสนุนของผู้กำกับใหญ่คนนี้ การเข้าสู่วงการภาพยนตร์โทรทัศน์ของลู่เฉินในอนาคตจึงง่ายมากขึ้น!

ลู่เฉินยิ้มพูดว่า “ผมเข้าใจครับ พี่เจี้ยนหาววางใจได้!”

เขารู้ว่าเฉินเจี้ยนหาวหวังดีกับตัวเองด้วยความจริงใจ

เมื่อเห็นการแสดงเล็กๆ น้อยๆ ของลู่เฉิน เฉินเจี้ยนหาวจึงชื่นชมว่า “ตอนนี้ยังไม่ต้องพูด รอให้ภาพยนตร์ถ่ายทำเสร็จก่อนอยากจะพูดยังไงก็ได้”

ตามความคุ้นเคยของวงการภาพยนตร์โทรทัศน์ ตอนที่ภาพยนตร์ถ่ายทำเสร็จหรือใกล้จะถ่ายทำเสร็จ ก็คือการเริ่มต้นสร้างกระแสโปรโมทขนาดใหญ่ ถึงตอนนั้นลู่เฉินจะยืมกระแสมาใช้บ้างก็ไม่มีปัญหา ไม่แน่ว่าฝ่ายลงทุนอาจจะรู้สึกยินดีที่ได้เห็นเรื่องพัฒนาไปด้วยความสำเร็จ

เขาเปลี่ยนเรื่องพูดกะทันกัน “นายคิดว่าฉินชิงเป็นยังไงบ้าง”

“เอ่อ…”

ลู่เฉินตกตะลึง ไม่รู้ว่าจะตอบอย่างไรถึงจะดี

พี่ใหญ่ ผมกับเธอไม่รู้จักกันสักนิด!

นัยน์ตาของเฉินเจี้ยนหาวแฝงรอยยิ้มเล็กน้อย และพูดเหมือนกึ่งแซวว่า “นายยังไม่มีแฟนใช่ไหม ถ้าหากไม่อยากเป็นไอดอลอย่างเดียว งั้นก็ลองหาใครสักคน เจอผู้หญิงที่ดีก็อย่าปล่อยให้พลาด”

ในวงการบันเทิงการมีความรักเป็นปัญหาที่ซับซ้อนมาก ถ้าหากเดินสายไอดอล ถึงแม้อยากจะมีแฟน ก็จำเป็นต้องแอบมี ไม่อย่างนั้นหากถูกเปิดเผยอาจทำให้ความนิยมลดลงเป็นอย่างมาก กระทั่งถูกบริษัททอดทิ้ง

ศิลปินสายความสามารถค่อยดีหน่อย พวกแฟนคลับจะอะลุ่มอล่วยมากกว่า โดยเฉพาะนักร้องชาย ระดับการยอมรับสูงมากไม่น้อย

ภาพลักษณ์ภายนอกของลู่เฉินสามารถเป็นไอดอลได้อย่างสบาย แต่เห็นได้ชัดว่าเขาไม่สนใจด้านนี้

ในฐานะแชมป์รายการ ‘ขับร้องให้ก้องจีน’ ก็มากพอที่เขาจะเป็นศิลปินสายความสามารถได้อย่างสบาย!

เพราะฉะนั้นเฉินเจี้ยนหาวถึงได้พูดล้อเล่นอยู่บ้าง และที่พูดก็ไม่ผิด

ลู่เฉินยิ้มเจื่อน “ตอนนี้ผมยังไม่อยากมีแฟนครับ”

การมีความรักอย่างตั้งใจและจริงจังนั้นเป็นเรื่องลำบากมาก ตอนนี้เขาไม่มีเวลาและกำลังมากขนาดนั้น

ถ้าหากไม่คบกันอย่างจริงๆ จังๆ และคิดว่าจะล้อเล่นเพียงเท่านั้น…

ถ้าเป็นอย่างนั้น คงถูกพี่สาวของเขาตีตายแน่นอน!

เฉินเจี้ยนหาวยิ้มพูดว่า “ที่ฉันอยากจะพูดก็คือ ฉินชิงไม่เลวจริงๆ ในเมื่อนายจะไปเรียนที่จิงอิน งั้นก็ลองคบเธอเป็นเพื่อนสิ อายุของนายก็ขนาดนี้แล้ว อย่าใช้ชีวิตเหมือนอย่างพวกฉันเลย”

“อะแฮ่ม!”

เขาเพิ่งจะพูดจบ จู่ๆ ก็มีเสียงกระแอมเบาๆ ดังมาจากข้างหลังของทั้งสองคน

เฉินเจี้ยนหาวและลู่เฉินจึงอดหันไปมองไม่ได้ และเห็นฉินชิงที่มีรูปร่างสวยงามยืนห่างออกไปสองสามก้าว

เธอมีสีหน้านิ่งเฉย นัยน์ตาเย็นชา

หญิงสาวจากสถาบันจิงอินคนนี้เพิ่งเปลี่ยนชุดเป็นชุดกระโปรงสวยสง่า ผมยาวประบ่าเหมือนเดิม กับมาดที่เงียบสงบเป็นอย่างยิ่ง

แต่เฉินเจี้ยนหาวก็หน้าด้านสุดๆ ไม่รู้สึกถึงความเขินอายเลยสักนิด

เขาหัวเราะฮ่าๆ แล้วรีบพูดว่า “ฉินชิงมาแล้วเหรอ งั้นพวกเธอก็ไปกันเถอะ”

พูดจบเขาจึงดอดหนีไปก่อน ทิ้งลู่เฉินไว้คนเดียวให้เผชิญหน้ากับผู้หญิงที่พิเศษคนนี้อย่างไม่เป็นธรรม

ฉินชิงไม่รู้สึกอายอะไร และเห็นเพียงความเย่อหยิ่งจางๆ ที่หางคิ้วของเธอ

เธอพูดอย่างราบเรียบว่า “พวกเราไปกันเถอะค่ะ”

เดิมทีลู่เฉินอยากจะอธิบายสักสองประโยค แต่เมื่อเห็นสีหน้าของอีกฝ่าย จึงไม่พูดอะไรอีก “ครับ”

พอขึ้นรถ ลู่เฉินก็พาฉินชิงมุ่งหน้าไปยังวิทยาลัยดนตรีแห่งปักกิ่ง

มันก่อตั้งขึ้นในปี 1980 มีประวัติยาวนานถึงสามสิบห้าปี แม้ว่าจะไม่เก่าแก่เท่าจงอิน แต่หลายสิบปีที่ผ่านมาก็มีบุคคลที่มีความสามารถปรากฏขึ้นมาอย่างไม่ขาดสาย เกิดนักประพันธ์เพลงชื่อดัง นักเปียโนและนักร้องขึ้นมามากมาย มีชื่อเสียงโด่งดังควรค่าแก่การเคารพนับถือภายในประเทศกระทั่งดังไปทั่วโลก

สถาบันดนตรีแห่งนี้ตั้งอยู่ริมฝั่งทะเลสาบ ทางเหนือติดกับสวนสาธารณะเป๋ยไห่อันมีชื่อเสียง มีทำเลที่ได้เปรียบเป็นอย่างมาก

พื้นที่ของสถาบันจิงอินเล็กมาก กระทั่งขนาดก็เทียบไม่ได้กับโรงเรียนชั้นมัธยมต้นสองสามแห่งในปักกิ่ง จำนวนครู อาจารย์และนักศึกษาในวิทยาลัยทั้งหมดรวมกันมีเพียงสองพันคนเท่านั้น ซึ่งเทียบไม่ได้กับโรงเรียนและมหาวิทยาลัยในเมืองที่มีนับหมื่นคน

ลู่เฉินไม่เคยมาที่สถาบันจิงอินมาก่อน แต่ได้ยินชื่อเสียงของสถาบันดนตรีระดับสูงแห่งนี้มานานแล้ว

ได้ยินว่ามีนักเรียนหลายหมื่นคนที่มาปักกิ่งเพื่อสมัครสอบที่สถาบันจิงอินทุกปี พวกเขาส่วนใหญ่ถูกฝึกฝนมาตั้งแต่เด็ก มีความสามารถและความรู้แตกฉานด้านเปียโน ไวโอลิน เครื่องดนตรีท้องถิ่นเป็นต้น แค่ปลายนิ้วสัมผัสก็สามารถบดขยี้ลู่เฉินให้เป็นเถ้าถ่านได้

แต่นักเรียนที่มีความภาคภูมิใจเหล่านี้ ส่วนใหญ่มักจะถูกคัดออกอย่างไร้ความปรานีระหว่างกระบวนการสมัครสอบที่สถาบันจิงอิน ครอบครัวของผู้เข้าสอบจำนวนไม่น้อยแทบจะสิ้นเนื้อประดาตัวในการเสียเงินอบรมปลูกฝัง หลังจากมาถึงเมืองหลวงแล้วพวกเขาก็จะใช้เงินเป็นจำนวนมากเพื่อจ้างอาจารย์แนะแนวในสถาบัน แล้วก็มาบอกว่าไม่มีหวังที่จะสอบเข้าไปได้

เพราะฉะนั้นผู้ที่สามารถสอบเข้าสถาบันจิงอินได้ จึงไม่ใช่คนธรรมดา และความเป็นอัจฉริยะก็เป็นคำสรรพนามทั่วไปที่อยู่ในตัวของพวกเขา

แม้ว่าจะเป็นการทำบัตรเข้าไปนั่งฟังเฉยๆ ก็ไม่ใช่เรื่องง่ายเหมือนกัน

สภาพแวดล้อมในสถาบันจิงอินดีมาก วิทยาเขตเต็มไปด้วยต้นไม้ มีอาคารหลายหลังที่ซ่อนอยู่ท่ามกลางป่าไม้ และยังมีทะเลสาบเล็กๆ ที่มีผืนน้ำเป็นเกลียวคลื่นอยู่ตรงกลาง ลมพัดเอื่อยๆ น้ำไม่กระเพื่อม

เนื่องจากยังไม่เปิดเทอม ภายในสถาบันจิงอินจึงดูเงียบเชียบเห็นนักศึกษาแค่สองสามคน

ลู่เฉินไม่มีบัตรผ่านของสถาบันจิงอิน แต่ฉินชิงเป็นฝ่ายออกหน้าพูดกับคนเฝ้าประตูสองสามประโยคก็ถูกปล่อยเข้ามา ภายใต้การนำทางของเธอจึงขับรถมาถึงด้านล่างของอาคารสำนักงาน

พอลงจากรถ ฉินชิงก็พาลู่เฉินไปที่ฝ่ายวิชาการที่อยู่ชั้นสาม

ออฟฟิศของฝ่ายวิชาการก็ยังมีคนอยู่บ้าง ลู่เฉินอยากมาหาหัวหน้าหลู่แต่ไม่อยู่

โชคดีที่รองหัวหน้าเฉินมาทำงาน หลังจากพูดจุดประสงค์ในการมาแล้ว เขาก็ทำบัตรเข้าฟังการบรรยายให้ลู่เฉินอย่างง่ายดาย

บัตรเข้าฟังการบรรยายมีระยะเวลาใช้งานหนึ่งปี หากหมดอายุก็เป็นบัตรเสีย

เมื่อมีบัตรอยู่ในมือ ลู่เฉินก็สามารถเข้าออกสถาบันจิงอินได้อย่างสบาย สามารถฟังการบรรยายวิชาการของศาสตราจารย์คนไหนก็ได้

และยังสามารถรับประทานอาหารในโรงอาหารของสถาบันจิงอินได้อีก

รองหัวหน้าเฉินได้ให้ตารางเรียนแก่ลู่เฉิน เขาจึงรู้สึกขอบคุณเป็นอย่างมาก

ทำบัตรเข้าฟังบรรยายเสร็จแล้ว ทั้งสองคนจึงเดินลงมาข้างล่าง

ลู่เฉินพูดกับฉินชิงว่า “ครั้งนี้ต้องขอบคุณ คุณด้วยนะครับ งั้นผมขอตัวกลับก่อน”

ฉินชิงพยักหน้า “ลาก่อนค่ะ”

ตอนที่ขับรถออกมาถึงหน้าประตูทางออก ลู่เฉินจึงกวาดตามองไปที่กระจกหลังเมื่อรู้ตัว

แต่กลับไม่เห็นเงาร่างของผู้หญิงคนนี้แล้ว

…………………………………………………………………………

ไอคอนเหรียญทอง

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: (นิยายแปล) Perfect Superstar