อนงค์ใจพระชายาราชสีห์ นิยาย บท 119

สัญชาตญาณบอกกับเขาว่า ความโกรธกริ้วอย่างกะทันหันของเสด็จพ่อ เกรงว่าอาจมีส่วนเกี่ยวข้องกับหยุนหว่านหนิง.....

หรูโม่ถึงกับตกตะลึงไปครู่หนึ่ง "พระชายาเพิ่งจะออกจากวังไปขอรับ กลับจวนไปก่อนแล้ว"

ในตอนท้าย เขายังกล่าวเสริมอีกประโยคว่า "ฮ่องเต้ทรงรับสั่งกับพระชายาไว้ว่า ช่วงนี้อย่าได้เดินเพ่นพ่านตามใจชอบ ทั้งไม่ต้องเข้าวังมาตรวจชีพจรด้วย ให้พระชายาอยู่แต่ในจวน เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้ถูกคนตามล้างแค้น"

น้ำเสียงของหรูโม่ แฝงไปด้วยความหมายลึกซึ้ง

มีหรือที่พวกเต๋อเฟยจะฟังความหมายแฝงที่อยู่เบื้องหลังคำพูดของเขาไม่ออก?

เห็นได้ชัดว่า โม่จงหรานกำลังปกป้องหยุนหว่านหนิง ด้วยการเตือนนางว่าพวกฮองเฮาจ้าวอาจคิดแก้แค้นได้

ในใจของเต๋อเฟยรู้สึกสับสนว้าวุ่นไปหมด

ดูแล้วเหมือนว่าหยุนว่านหนิงตอนนี้ จะไม่เหมือนก่อนหน้านี้แล้วจริง ๆ?

แม้แต่ฝ่าบาทก็ยังทรงปกป้องนาง?!

โม่เยว่ยืนขึ้น ทำแค่หันไปบอกเต๋อเฟยให้ดูแลสุขภาพให้ดี จากนั้นก็หันหลังแล้วเดินจากไป

เพิ่งจะเดินออกจากวังหย่งโซ่วมา เสียงของโม่เฟยเฟยก็ดังแว่วมาจากด้านหลัง นางวิ่งตามเขาออกมา "พี่เจ็ดรอข้าก่อน! ข้ามีเรื่องจะคุยกับพี่!"

เขาหยุดฝีเท้า รอนางที่วิ่งตามจนหายใจหอบแฮ่ก ๆ เข้ามาใกล้

“พี่เจ็ด ข้าแค่อยากจะถามความจริงข้อหนึ่งจากพี่”

โม่เฟยเฟยสูดลมหายใจเข้าลึก ๆ เฮือกหนึ่ง "หยวนเป่าเป็นลูกชายของพี่สินะ?"

นี่……

โม่เยว่ไม่รู้ว่าควรจะตอบว่าอย่างไร

แม้แต่ตัวเขาเอง ก็ยังไม่รู้ว่าหยวนเป่าเป็นลูกชายของใคร!

แม้ว่าหน้าตาของหยวนเป่าจะเหมือนเขามาก แต่เป็นเพราะหยุนหว่านหนิงผู้หญิงคนนั้น ยอมถูกตีตายก็ไม่ยอมรับว่าหยวนเป่าเป็นลูกชายของเขา โม่เยว่มีสถานะสูงส่ง แน่นอนว่าเขาย่อมไม่มีวันแสดงท่าทาง "สุดแสนยินดีที่ได้เป็นพ่อคน" ออกมาให้เห็นแน่ ๆ

ทุกครั้งที่เขาถามเรื่องนี้ หยุนหว่านหนิงก็จะพยายามทำทุกวิถีทางเพื่อเปลี่ยนเรื่อง

ในคืนนั้น นางมอมเหล้าเขาจนเมาจริง ๆ.....

ยังมีพวกเรื่องน่าอัปยศอดสูทั้งหลายอีก มีอะไรที่ผู้หญิงคนนี้ทำออกมาไม่ได้บ้างล่ะ?!

เมื่อเห็นว่าเขาตอบไม่ได้ โม่เฟยเฟยก็หัวเราะคิกคักอย่างไร้ซึ่งความเห็นอกเห็นใจให้โดยสิ้นเชิง "พี่เจ็ด ข้าเฝ้าดูพี่ควบม้ากรำศึกมาทั้งชีวิต สุดท้ายจะต้องกลายมาเป็นลูกไก่ในกำมือของพี่สะใภ้เจ็ดเสียแล้วหรือนี่!"

คำว่าควบม้ากรำศึกมาทั้งชีวิต ออกจะฟังดูอวดโอ้เกินจริงไปสักหน่อย

เดิมทีโม่เยว่ก็ไม่ใช่คนที่จะถูกใครบีบบังคับจับไว้ในกำมือมือได้ง่าย ๆ อยู่แล้ว เพราะไม่อย่างนั้น โม่หุยเฟิงก็คงจะไม่ต้องระวังตัวแจถึงขนาดนี้

แต่มาตอนนี้ เขาถึงกับถูกหยุนหว่านหนิงบีบไว้ในกำมือเข้าแล้ว.....

ก็ไม่น่าแปลกใจหรอก ที่โม่เฟยเฟยจะหัวเราะเยาะเขาอย่างไร้ความปราณีขนาดนี้ "ในฐานะพ่อคน พ่อที่อยู่ในสถานะอย่างพี่เนี่ยนะ พี่เจ็ด น่ากลัวว่าใต้หล้าแห่งนี้คงจะมีพี่นี่แหล่ะเป็นคนแรก!"

ทั้งที่ลูกชายตัวเองอยู่ข้างกายแท้ ๆ แต่กลับไม่กล้ายอมรับ....

โม่เฟยเฟยหัวเราะเสียงดังลั่น "หยวนเป่าจนถึงตอนนี้ ก็ยังไม่เคยเรียกพี่ว่าท่านพ่อเลยสินะ?"

“เขาเรียกข้าว่าพี่ชาย”

โม่เยว่ตอบด้วยสีหน้าไร้อารมณ์

"อะไรนะ? พี่ชาย? พรืด!....."

โม่เฟยเฟยหัวเราะอย่างโอหังบังอาจขึ้นเรื่อย ๆ แล้ว แต่จู่ ๆ สีหน้าของนางก็พลันเปลี่ยนไป นางเก็บรอยยิ้มบนใบหน้ากลับ พูดว่า "ไม่ได้! ถ้าหยวนเป่าเรียกพี่ว่าพี่ชาย ไม่ใช่ว่าจะต้องเรียกข้าว่าพี่สาวหรอกรึ?"

“ข้าเป็นอาของเขาต่างหาก!”

นางกระพริบตาปริบ "พี่เจ็ด ต่อให้พี่สะใภ้เจ็ดจะไม่ยอมรับ แต่หยวนเป่าก็เป็นลูกชายของพี่"

"แต่ข้าก็สามารถยืนยันได้ว่า หยวนเป่าจะต้องเป็นลูกชายของพี่แน่ ๆ! แค่มองดูหน้าตาของพวกพี่สองคน ยังมีนิสัยใจคอที่ถอดแบบกันมาจากพิมพ์เดียวกันนั่นอีก ไม่มีทางผิดได้เด็ดขาด!"

"อย่างนั้นรึ?"

โม่เยว่เชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง "แล้วทำไมหยุนหว่านหนิงถึงไม่อยากยอมรับล่ะ?"

เขาคิดเท่าไหร่ก็ไม่เข้าใจ ถ้าหากว่านางยอมรับว่าหยวนเป่าเป็นลูกชายของเขา ไม่ใช่ว่านางจะสามารถอาศัยลูกชาย มาสร้างความมั่นคงให้กับตัวเองได้หรอกหรือ?

กระทั่งเสด็จพ่อ ทั้งท่านแม่ ก็จะต้องตกรางวัลให้นางอย่างงามแน่

เขาก็จะได้ไม่เข้าใจนางผิด หรือทำให้นางลำบากใจอีก

ทำไมนางถึงไม่ยินดีที่จะยอมรับล่ะ? !

“ข้าเดาว่า อาจเป็นเพราะพี่ทำร้ายนางจนเจ็บช้ำเกินไปกระมัง?”

โม่เฟยเฟยพูดได้ตรงเผง

โม่เยว่เงียบไปไม่เอ่ยคำ

พอพูดถึงเรื่องนี้ สิ่งที่เขาทำกับหยุนหว่านหนิงใตลอดสี่ปีที่ผ่านมานี้ เขา.... ทำให้นางเจ็บช้ำใจอย่างแสนสาหัสจริง ๆ ไม่เพียงแต่ทรมานนางอย่างโหดเหี้ยมเมื่อสี่ปีก่อน ยังขังนางไว้ตลอดสี่ปีโดยไม่ถามไม่ไถ่ ไม่ดูดำดูดีอะไรเลยทั้งสิ้น

เผอิญว่าเขาเองก็มีเรื่องบางอย่าง ที่ต้องถามหยุนหว่านหนิงให้ละเอียดอยู่พอดี!

..................

เรือนชิงหยิ่ง

หยุนหว่านหนิงนอนอยู่บนเตียงฟูก มองดูดอกท้อบานประปรายอยู่นอกหน้าต่าง

ฤดูใบไม้ผลิมาถึงโดยไม่รู้ตัว หลังจากถอดชุดคลุมที่ทั้งหนาทั้งหนักออกจากร่างแล้ว ก็รู้สึกเบาเนื้อเบาตัวขึ้นมาก แต่ในหัวใจกลับรู้สึกหนักอึ้งขึ้นมาเล็กน้อย

เนื่องจากเป็นช่วงต้นฤดูใบไม้ผลิ ข้างนอกจึงยังคงหนาวเย็นอยู่เล็กน้อย

แสงแดดสาดส่องเข้ามาผ่านบานหน้าต่าง สายลมโชยมาพร้อมกรุ่นกลิ่นหอมจาง ๆ ของดอกท้อ

หยุนหว่านหนิงบิดตัวอย่างเกียจคร้าน ยังไม่อยากจะลุกขึ้น

กระทั่งโม่เยว่เข้ามาแล้ว นางก็ยังไม่ยอมเปิดเปลือกตาขึ้นมองด้วยซ้ำ ไม่ได้มีความตั้งใจที่จะยืนขึ้นทำความเคารพแม้แต่น้อย

"หยุนหว่านหนิง นี่ข้าตามใจเจ้ามากเกินไปใช่หรือไม่?"

แม้ว่าจะพูดแบบนี้ เขาก็ไม่ได้มีความตั้งใจที่จะตำหนิอะไรนาง แค่นั่งลงบนเก้าอี้ที่อยู่ตรงข้ามกับนางแล้วพูดว่า "ตอนนี้ได้พบข้าแล้ว กระทั่งการทักทายตามมารยาทก็ยังไม่อยากจะทำเลยรึ?"

“ท่านอ๋องก็รู้นี่ ว่าเมื่อก่อนที่ข้าทำความเคารพทักทายไปนั่นคือมีมารยาทแล้วรึ?”

หยุนหว่านหนิงหาวหวอด ๆ อย่างเกียจคร้าน

แสงแดดอันอบอุ่นในฤดูใบไม้ผลิ ทำให้ผู้คนง่วงเหงาหาวนอนและเกียจคร้านได้ง่ายดายเสียจริง

นางขยับร่างกาย เปลี่ยนมุม บิดเอี้ยวตะแคงตัวไปเรื่อย ๆ “ถ้าท่านอ๋องอยากให้ข้าทำความเคารพตามมารยาท อยากได้การทักทายปลอม ๆ ให้พอเป็นพิธี ข้าจะรีบทำให้เดี๋ยวนี้เลยก็ได้นะ”

แต่นางยังคงไม่ขยับตัวลุกขึ้น ทำแค่ขยับริมฝีปากอย่างเดียว

โม่เยว่คิดอยากจะกลอกตามองบนใส่นางมาก

แต่จนใจที่บุคลิกอันแสนจะสูงส่งเย็นชาที่มีมาแต่กำเนิดของเขา ไม่อนุญาตให้เขาทำเช่นนั้น

เมื่อหวนนึกถึงสิ่งที่โม่เฟยเฟยพูดเมื่อครู่ โม่เยว่ก็ขมวดคิ้วมุ่น ลุกขึ้นแล้วเดินไปที่เตียงฟูก "หยุนหว่านหนิง ข้ามีเรื่องที่อยากจะถามเจ้า"

“วันนี้เจ้าช่วยข้าแก้ปัญหาที่มันยุ่งยากหนักหนาขนาดนี้จนผ่านพ้นไปได้ เจ้าต้องการให้ข้าขอบคุณเจ้าอย่างไรรึ?”

ทันทีที่ได้ยินแบบนี้ หยุนหว่านหนิงก็ดีใจแทบตัวลอย "หา? วันนี้พระอาทิตย์ขึ้นมาจากทางทิศตะวันตกแล้วหรือเนี่ย?"

โม่เยว่ผู้ชายจอมตระหนี่ถี่เหนียว ทั้งเย่อหยิ่งจองหองเที่ยวพองขนไปทั่วจนหมายังต้องเรียกพี่คนนี้ ถึงกับเป็นฝ่ายเอ่ยปากเสนอขึ้นมาเองเลยว่า อยากจะขอบคุณนาง? !

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: อนงค์ใจพระชายาราชสีห์