ฉีหลานสะบัดมือของของจางหงเหว่ยอย่างเงียบเชียบ เมื่อเผชิญหน้ากับจางหงเหว่ยที่น้ำลายไหลดูน่ารังเกียจ เธอพูดในใจไม่ออกจริงๆ
อย่างไรก็ตามมันเป็นทางเลือกของเธอและก็เป็นโชคชะตาของเธอ
“เสื้อผ้าชุดนี้ดูดีจริงๆ ฉันคิดว่าหลังจากที่เราแต่งงานแล้ว คุณอยู่บ้านใส่ชุดแบบนี้บ่อยๆก็ได้…”
จางหงเว่ยพูดอย่างไร้ยางอายเสมอไม่ว่าจะในโอกาสใดก็ตาม
เห็นทีเดี๋ยวนี่เขาคงจะพูดอะไรหยาบคายออกมาอีก
ในฐานะผู้ช่วยของเขา เสี่ยวหลี่รีบก้าวไปข้างหน้าและพูดว่า "คุณจางครับ คุณเหงื่อออกแล้ว เช็ดเหงื่อเสียหน่อย... "
ชายหนุ่มคนหนึ่งพูดกับชายอีกคนให้เช็ดเหงื่อของเขาถ้าให้บอกว่าไม่แปลก ผู้หญิงรอบๆก็ต่างไม่เห็นด้วย
แต่เสี่ยวหลี่ไม่มีทางเลือก เขาเตือนจางหงเว่ยตลอดเวลาไม่ได้ จะให้เขาบอกว่าจางหงเหว่ยพูดจาไม่ดูสถานการณ์คงจะไม่ได้หรอกนะ?
ตามความเข้าใจขอเสี่ยวหลี่ต่อจางหงเหว่ย ชายคนนี้มีนิสัยเอาแต่ใจตัวเองเสมอ
และสิ่งที่เขาพูดเมื่อครู่เกี่ยวข้องกับเรื่องน่าสนใจอย่างแน่นอน
ขณะที่เขากำลังจะเปิดปากพูด เขาก็ถูกขัดจังหวะโดยคนข้างกาย
ความไม่พอใจปรากฏขึ้นทั่วใบหน้าของจางหงเหว่ย
เขาหันกลับไปมองเสี่ยวหลี่อย่างไม่พอใจ
ในฐานะผู้ช่วยของเขา เสี่ยวหลี่ไม่สามารถแสดงอารมณ์อะไรได้ เขาพยักหน้าโค้งตัวและยื่นผ้าขนหนูให้อย่างรวดเร็ว
แม้ว่าจางหงเหว่ยจะโกรธ แต่เขาก็รู้ว่าปากของเขามีปัญหา
เมื่อเสี่ยวหลี่เนผู้ช่วยขงเขา เดิมก็ต้องห้ามเขาหรือเกลี้ยกล่อมเขาอยู่แล้ว หากทำได้เพียงแค่ประจบประแจง จางหงเหว่ยก็ไม่ต้องการบุคคลเช่นนี้
ด้วยสถานะของเขาเวลาไปที่ใดก็มีแต่คนมาประจบประแจงเขาไม่ใช่เหรอ?
แม้ว่าเขาจะเป็นผู้ดีใหม่ แต่นั่นก็เพียงหมายความว่าเขาคิดถึงสิ่งต่างๆอย่างตรงไปตรงมา ไม่เหมือนคนที่ชอบอ้อมค้อมเหล่านั้นไม่ได้หมายความว่าเขาไม่มีสมอง
"ฉันรู้"
จางหงเหว่ยหยิบผ้าขนหนูเช็ดเหงื่อออกจากใบหน้าแล้วโยนผ้าขนหนูกลับไปให้เสี่ยวหลี่
เมื่อใจเย็นลงแล้ว เขาก็หันกลับมามองฉีหลานตั้งแต่หัวจรดเท้าอีกครั้ง
"หลานหลาน คุณเป็นเจ้าสาวที่สวยที่สุดเท่าที่ฉันเคยเห็นมา!"
คำพูดเหล่านี้ดูดีขึ้นเล็กน้อย
ฉีหลานเดิมที่มีดวงตาอันแข็งกระด้างเล็กน้อยก็อ่อนลง
เธอสูดลมหายใจเบาๆ ระงับความรู้สึกคลื่นไส้ในใจแล้วกระซิบตอบ "อืม"
คำเดียวที่แปลกอย่างไม่อาจเข้าใจได้
สีหน้าของจางหงเหว่ยเปลี่ยนแปลงไปเล็กน้อย แต่เขาไม่กล้าที่จะโมโหเขาจึงทำได้เพียงแต่อดทนเอาไว้
ในความเป็นจริงเขาแสร้งทำเป็นว่าเก็บสมบัติได้มาโดยตลอด แต่เขาก็รู้ด้วยว่าผู้หญิงอย่างฉีหลานเป็นสิ่งที่ทำได้เพียงชมแต่ไม่อาจอยากได้
แม้ว่าเธอจะเจ้าอารมณ์เล็กน้อยก็ไม่เป็นปัญหา
เมื่อถึงเวลาแต่งงานแล้ว เธอก็จะกลายเป็นผู้หญิงของเขา
บนเตียงจะจัดการกับเธออย่างไร ไม่ใช่ว่าเขาเป็นคนตัดสินใจเองได้ทั้งหมดเหรอ?
ฉีหลานเดินไปที่กระจกและมองตัวเองในกระจก
เธอมองตัวเองแบบนี้อยู่นานตอนที่เธออยู่ในห้องลองเสื้อเมื่อสักครู่
เธอสามารถใช้เวลาปกติเปลี่ยนเสื้อผ้าได้ แต่เนื่องจากชื่นชมตัวเองอย่างเหงาๆจึงทำให้ช้าไปห้านาที
สำหรับเธอที่มองตัวเองในกระจกแบบนี้ ใครๆก็คิดว่าเธอกำลังชื่นชมชุดเจ้าสาวที่สวยงามของเธอ
แต่หยางหลิงรุ่ยไม่ได้คิดเช่นนั้น เธอเห็นความเศร้าที่ซ่อนอยู่ภายใต้ใบหน้าด้านข้างของฉีหลาน
เธอก้าวไปข้างหน้าค่อยๆจัดเสื้อผ้าของฉีหลานและกระซิบ "พี่หลาน พี่รู้สึกว่าโอเคไหม?"
ฉีหลานเงยหน้าขึ้นและพบกับสายตาปลอบใจของหยางหลิงรุ่ยที่มองมาในกระจก
เธอยิ้มเล็กน้อย ในตอนนี้ทุกคนที่เห็นรอยยิ้มก็รู้สึกราวกับสายลมในฤดูใบไม้ผลิทันที
"ฉันชอบ"
ฉีหลานตอบเบาๆ แต่เมื่อเสียงของเธอก็จบลง คำพูดของจางหงเหว่ยก็ดังขึ้นด้านหลังเธอ
"หลานหลานชอบมากเหรอ? งั้นทำอีกชุดเถอะ! ฉันได้ยินมาว่าชุดนี้แพงอยู่แล้ว ทำอีกชุดนึงต้นทุนก็คงไม่ได้มากมาย คุณก็ให้เป็นซื้อหนึ่งแถมหนึ่งแล้วกัน!"
ท่าทางจะเอาให้คุ้มของจางหงเหว่ย ดูเหมือนว่าตอนที่เขามาในวันนี้ เมื่อเขารู้จากฉีหลานว่าชุดแต่งงานนี้มีมูลค่าถึงเจ็ดหลักพระเจ้าก็รู้ว่าเขาตกใจมาก
เสื้อผ้าชุดหนึ่ง เจ็ดหลักเลยหรือ?
ฉีหลานยังสั่งทำอีกสามชุด?
ให้ตายเถอะ ถึงจะรวยมากก็ไม่ได้ให้ใช้เงินแบบนี้!
ในโลกทัศน์ของจางหงเว่หยที่ครอบครัวของเขาปลูกฝังมา เสื้อผ้าไม่ว่าจะระดับสูงแค่ไหนก็เพียงไม่กี่แสนต่อชิ้น
แต่ตอนนี้ชุดที่สั่งตัดนี่ ชุดหนึ่งก็หลายล้าน มันไร้สาระเกินไปหรือเปล่า?
ดังนั้นเขาจึงพูดแบบนี้เพื่อชดเชยการสูญเสียเล็กน้อย
เขารู้สึกว่าเขาทำสิ่งนี้เพื่อประโยชน์ของฉีหลานและเขาก็ดูพออกพอใจเล็กน้อย
เพราะมีกระจกบังอยู่ คราวนี้เธอจึงไม่ได้เก็บซ่อนความดูถูกในสายตาของเธอไว้
สำหรับหยางหลิงรุ่ยนั้น ร่างกายของเธอแนบอยู่กับฉีหลาน ทำให้ร่างของทั้งสองคนนี้แทบจะบังภาพที่หน้ากระจกได้
ด้วยเสียงที่เพียงสองคนเท่านั้นที่สามารถได้ยิน เธอกระซิบว่า "พี่หลาน ฉันต้องขอชมสำหรับสุนทรียศาสตร์ของพี่!"
คำพูดเหล่านี้หยางหลิงรุ่ยเก็บกดมาทั้งวัน
เธอมองไปที่หยางหลิงรุ่ยด้วยความประหลาดใจพร้อมกับข้อข้องใจและคำถามในดวงตาของเธอ
เพียงแต่ว่าหยางหลิงรุ่ยไม่ได้ใช้ภาษาตาอันเป็นเอกลักษณ์ระหว่างทั้งสองในการตอบ เธอเพียงแค่มองไปที่เย่ตงอย่างนิ่งเฉย เธอดูเหมือนจะกำลังสำรวจปัญหาของชุดกับเย่ตงและไม่ได้สังเกตสายตาของฉีหลาน
แม้ว่าท่าทางเธอจะมีระยะห่างมาก แต่ฉีหลานก็รู้อยู่ในใจว่าหยางหลิงรุ่ยจงใจเพิกเฉยต่อเธอ
บรรยากาศในวันนี้แปลกมาก ฉีหลานจึงฝืนทนความวุ่นวายเล็กน้อยในใจ
แม้ว่าเวลานี้ตามหลักแล้วชุดควรจะสมบูรณ์แบบมาก
แต่สิ่งที่ผู้คนคิดอยู่ในใจนั้นมีหลายขั้นตอนตั้งแต่การออกแบบจนถึงการผลิตจริง
ระหว่างกลางจะมีข้อผิดพลาดบ้างไม่มากก็น้อย
แต่อย่างไรก็ตามโครงหลักของเสื้อผ้าได้รับนั้นโอเคแล้วและการปรับเปลี่ยนข้อผิดพลาดเล็กๆน้อยๆเหล่านี้ใช้เวลาเพียงครู่เดียวเท่านั้น
เสื้อผ้าทั้งสามชุดต่างถูกลองทีละชุด
ในตอนท้ายเมื่อฉีหลานสวมชุดกี่เพ้าสีม่วงออกมา ทุกคนต่างก็ทึ่งกับเสน่ห์อันเย้ายวนของเธอ
แม้แต่ผู้หญิงอย่างหยางหลิงรุ่ยก็ยังมองตาค้าง
ไม่ต้องพูดถึงจางหงเหว่ยและคนอื่นๆ คราวนี้เขาน้ำลายไหลย้อยออกมาโดยตรง
หยางหลิงรุ่ยกุมขมับอย่างช่วยไม่ได้ เธอรู้สึกว่าดวงตาของเธออาจจะฝาดไปแล้วจริงๆ
การปรากฏตัวของชุดกี่เพ้านี้ทำให้จางหงเหว่ยไม่สามารถทนได้อีกต่อไป
เมื่อตรวจสอบปัญหาของชุดกี่เพ้านี้เสร็จแล้ว ฉีหลานก็สามารถไปเปลี่ยนชุดที่ห้องลองเสื้อได้
แต่จางหงเหว่ยโน้มตัวไปข้างหน้าเหมือนหมาปั๊กและพูดสิ่งไร้สาระต่อฉีหลาน
บางครั้งมือก็ปัดป่ายไปตามร่างกายของฉีหลานอย่างซุกซน
ทุกครั้งที่มือของเขาสัมผัสโดนร่างกายของฉีหลาน ร่างกายของเธอก็จะเกร็งขึ้น
และสีหน้าของเธอก็แย่ลง
หากในเวลาปกติ เมื่อเห็นฉีหลานดูไม่พอใจ จางหงเหว่ยจะอดทนต่อความปรารถนาในใจของเขา
แต่วันนี้จางหงเหว่ยถูกกระตุ้นความปราถนาทั้งหมดในใจโดยเสื้อผ้าสามชุดของฉีหลาน
แม้แต่เสี่ยวหลี่ก็เตือนแล้วสองครั้ง แต่จางหงเหว่ยหาเหตุผลมาไล่เขาไป
แทนที่จะบอกว่าไล่ หากบอกว่าเป็นการเฉดหัวเขาไปจะถูกต้องเสียกว่า
หยางหลิงรุ่ยมองไปที่การล่วงเกินของจางหงเหว่ย ใบหน้าของเธอก็บึ้งตึงลงเช่นกัน
ฉีหลานเป็นเพื่อนที่สนิทที่สุดของเธอและจางหงเหว่ยในนามก็เป็นคู่หมั้นของฉีหลาน
แม้ว่านี่จะเป็นเรื่องภายในครอบครัวของฉีหลาน แต่หยางหลิงรุ่ยก็ ไม่ต้องการเห็นฉีหลานถูกรังแก
ในตอนที่หยางหลิงรุ่ยทนไม่ไหวกำลังจะระเบิดออกมา ประตูก็ถูกผลักเปิดออกอย่างกะทันหัน
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: โชคชะตาตื้นมาก แต่ความรักนั้นลึกซึ้ง