เมื่อได้ยินประโยคนี้จางหงเหว่ยก็สบายใจขึ้นมา
“ได้สิ” เขาหันหลังกลับและไม่ยุ่งกับฉินลูลู่และหยูซิงเหวินอีกต่อไป
ฉีหลานเดินเข้าไปที่ห้องเปลี่ยนเสื้อผ้า เธอเดินแบบไม่รีบร้อน และคิดอยู่หลายครั้งว่าจะหันหลังกลับไป
แต่ทุกครั้งก็มีความคิดแปลกๆที่ทำให้เธอไม่กลับไป
หยางหลิงรุ่ยกังวลมากเดินอยากเดินมาที่ห้องเปลี่ยนเสื้อผ้าด้วย
แต่ว่าเย่ตงที่ยืนอยู่ข้างๆดึงแขนเธอไว้และบอกเธอว่าไม่ต้องตามไป
ในฐานะของคนนอก เย่ตงคิดว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในครั้งนี้เป็นแค่เรื่องวุ่นวาย
บางครั้งก็ต้องให้ฉีหลานต้องปรับปรุงอารมณ์ของตัวเอง
ฉีหลานเดินเข้ามาที่ห้องเปลี่ยนเสื้อผ้า จางหงเหว่ยก็รออยู่ที่ด้านนอก
เย่ตงมีคำสั่งให้ตามเสี่ยวลี่ที่เพิ่งโดนไล่ออกไปให้เรียกลับมา ให้เขามาอยู่เป็นเพื่อนจางหงเหว่ย
อารมณ์ของจางหงเหว่ยในตอนนี้เห็นได้ชัดว่าแปลกไป
เขาอยู่อยู่ด้านหนึ่งมองไปทางห้องเปลี่ยนเสื้อผ้าเห็นได้ชัดว่าใจของเขารู้สึกกังวล
เสี่ยวลี่เองก็เคยเห็นเขาเป็นแบบนี้ครั้งแรก
ดังนั้นเขาจึงอยู่เคียงข้างจางหงเหว่ยและพูดหัวข้อที่น่าสนใจออกมา
แต่พูดอย่างไรจางหงเหว่ยก็ยังไม่ตอบกลับ ดังนั้นเขาจึงไม่พูดอะไรอีก
ตอนนี้จางหงเหว่ยอยากอยู่เงียบๆ
หยางหลิงรุ่ยที่อยู่อีกด้านหนึ่งต้องการที่จะเข้าไปหาฉีหลานเนื่องจากไม่อยากให้เกิดเหตุการณ์วุ่นวายอะไรขึ้นอีก
และฉินลูลู่ที่เป็นคนที่สองในการดูแลรับผิดชอบสตูดิโอก็เดินออกไปต้อนรับทางฉินลูลู่และหยูซิงเหวิน
ฉินลูลู่ไม่ได้อยากมาตัดชุดที่999ตั้งแต่แรกแล้ว แต่ครั้งนี้เป็นเพราะความต้องการของหยูซิงเหวิน
ภายใต้ความต้องการของเขา ฉินลูลู่ทำได้เพียงข่มใจและยอมรับมัน
แต่ผู้หญิงกับสิ่งสวยงามแล้วไม่มีอะไรต้านทานมันได้
การออกแบบเสื้อผ้าทุกชิ้นสามารถเลือกได้เอง และทุกชุดจะได้รับการตัดเย็บอย่างรอบคอบและพิถีพิถัน
ดังนั้นหลังจากที่ฉินลูลู่รักษาอารมณ์ของตัวเองได้แล้ว สีหน้าของเธอก็ดีขึ้นมาบ้าง เธอทุ่มเทกับการเลือกองค์ประกอบของชุดและลืมเรื่อวราวทั้งหมดที่เกิดขึ้นเมื่อสักครู่
ตอนนี้สำหรับเธอแล้วไม่ว่าก่อนหน้านี้จะเกิดอะไรขึ้น
ตอนนี้ไม่ใครสามารถเปลี่ยนแปลงมันได้
นั่นเป็นเพราะว่าเธอคือคนที่จะมาเป็นลูกสะใภ้ของตระกูลหยู และสิ่งนี้หยูซิงเหวินเองก็ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้
ฉีหลานเข้าไปเปลี่ยนเสื้อผ้านานมาก
หยางหลิงรุ่ยนั่งรอมาโดยตลอด แต่ในใจก็ร้อนรนขึ้นเรื่อยๆ ตอนนี้เวลาก็ผ่านไปนานขนาดนี้แล้วทำไมฉีหลานยังไม่ออกมาอีก?
ตอนนี้เธอก้มหน้ามองนาฬิกา ฉีหลานเข้าไปที่ห้องเปลี่ยนเสื้อผ้านานกว่า 20 นาทีแล้ว
เวลาขนาดนี้อย่าบอกว่าถอดชุดกี่เพ้าธรรมดา ๆ ขนาดใส่ชุดแต่งงานยังพอเลย
เธอไม่รออีกต่อไปและเดินเข้าไปดู
เมื่อเดินผ่านจางหงเหว่ย จางหงเหว่ยก็กระแอมออกมาจากลำคอ
หยางหลิงรุ่ยหยุดเดินโดยไม่ตั้งใจ มองไปที่จางหงเหว่ยแล้วถามไปว่า “คุณจางมีเรื่องอะไรไหม?”
จางหงเหว่ยอ้าปากเหมือนต้องการจะพูดอะไร
แต่เธอก็หันไปมองที่เขาตลอด แต่สุดท้ายเขาก็ยังไม่ได้พูดอะไร
ท่าทางแบบนี้ทำให้หยางหลิงรุ่ยตะลึง
“คุณจาง?” เธอพูดขึ้นมาอีกครั้ง
“ไม่ ไม่มีอะไร คุณเข้าไปเถอะ ดูแลฉีหลานดีๆนะ”
จางหงเหว่ยโบกมือบ่งบอกให้หยางหลิงรุ่ยเดินเข้าไป
ครั้งนี้เขาไม่ได้เรียกเธอว่า หลานหลาน นั่นทำให้หยางหลิงรุ่ยประหลาดใจเล็กน้อย
แต่เธอก็มองออกว่าว่าเขาต้องการที่จะปลอบโยนฉีหลานจริงไ
คำพูดสามารถหลอกลวงคนได้ แต่ดวงตานั้นไม่มีทางเป็นไปได้เลย
หยางหลิงรุ่ยเคาะประตูหลังจากนั้นพนักงานที่ได้ยินก็เดินออกมาเปิดประตู
หยางหลิงรุ่ยเข้าห้องไป มองเห็นฉีหลานที่กำลังยืนอยู่หน้ากระจก
ตอนนี้เธอยังคงสวมชุดกี่เพ้านั้นอยู่ เธอยังไม่ได้เปลี่ยนชุด มองไปที่กระจกด้วยแววตาที่อธิบายออกมาไม่ได้
หยางหลิงรุ่ยขมวดคิ้วและหันมามองพนักงานที่อยู่ข้างๆพร้อมถามออกไปว่า “เสี่ยวเจิ้ง มันเกิดอะไรขึ้น?”
เมื่อได้ยินเสียงที่ดุดันของหยางหลิงรุ่ย เสี่ยวเจิ้งก็รู้สึกประหม่าเล็กน้อย
เธอรีบอธิบายออกมาว่า “ผู้อำนวยการหยาง เรื่องนี้....”
“เบาๆหน่อย!” หยางหลิงรุ่ยเตือน
อย่างไรก็ตามฉีหลานก็อยู่ไม่ไกลจากตรงนั้น ถ้าหากเธอได้ยินอาจจะทำให้เธอลำบากใจแน่
เสี่ยวเจิ้งพยักหน้าเพื่อตอบ เธอมองไปที่ฉีหลานด้วยความกังวลใจ ตอนนี้ฉีหลานมองไปที่กระจกอย่างจริงจัง ดวงตาของเธอเต็มไปด้วยความว่างเปล่าและเห็นได้ชัดว่าเธอไม่สังเกตเห็นการเคลื่อนไหวนี้
ฉีหลานไม่ได้ตอบสนองกลับมาเลยแม้แต่น้อย เธอปล่อยให้หยางหลิงรุ่ยจับเธอไว้
“น้องฉี?” หยางหลิงรุ่ยพูดต่อไปเนื่องจากฉีหลานยังไม่ตอบเธอ
ตอนนี้เหมือนกับว่าฉีหลานจะได้สติกลับมาแล้ว เธอหันหลังมาและมองมาที่หยางหลิงรุ่ย เธอดึงมุมปากและฝืนยิ้มออกมา
รอยยิ้มนี้เกิดจากควมพยายามอย่างมาก หยางหลิงรุ่ยจึงต้องรับมันไว้
“มีอะไรหรอหลิงรุ่ย” ดูเหมือนว่าฉีหลานจะไม่รู้เรื่องว่าทำไมหยางหลิงรุ่ยถึงมาหาเธอ
เมื่อเห็นท่าที่ที่ไม่เต็มใจของฉีหลาน หยางหลิงรุ่ยก็อดไม่ได้ที่จะถอนหายใจ ฉีหลานในตอนนี้ผิดจากเดิมไปมาก
“น้องฉีไม่เป็นอะไรใช่ไหม? ยืนตรงนี้มาครึ่งชั่วโมงแล้วนะ!” หยางหลิงรุ่ยไม่ได้ถามถึงความผิดปกติของฉีหลาน เธอเพียงแค่ถามไปรวมๆเท่านั้น
เรื่องบางเรื่องไม่สามารถพูดออกไปตรงๆได้ ตอนที่เธอเป็นปกติ เธอเป็นคนที่สดใสมากและชอบพูดอะไรไร้สาระบ่อยๆ
แต่ฉีหลานในตอนนี้ หยางหลิงรุ่ยสงสัยว่าเธอมายุ่งเรื่องของฉีหลานมากเกินไปหรือเปล่า ตั้งแต่ต้นฉีหลานตอบเธอกลับมาแค่เพียงการส่ายหน้า
“ไม่ ไม่มีอะไร” การแสดงออกของฉีหลานเผยให้เห็นถึงความเหนื่อยล้าที่เหลือทน เมื่อหยางหลิงรุ่ยเห็นเช่นนี้ก็อดที่จะเป็นห่วงไม่ได้
เธอให้เสี่ยวเจิ้งเดินเข้ามาเพื่อช่วยฉีหลานเปลี่ยนชุด
ตอนเปลี่ยนเสื้อผ้า ฉีหลานยังคงไม่ขยับแข็งเหมือนกับหิน
กระดุมของชุดกี่เพ้าถูกปลดกระดุมทีละชิ้นเผยให้เห็นรูปร่างที่น่าอิจฉาของฉีหลาน
แม้ว่าหยางหลิงรุ่ยจะเป็นผู้หญิง แต่เธอก็ยังคงเตือนตัวเองว่าอย่ามองสิ่งที่ไม่เหมาะสมใด ๆ แต่สายตาของเธอยังคงถูกล็อคโดยไม่สมัครใจโดยร่างกายของฉีหลาน
หยางหลิงรุ่ยต้องการที่จะเอื้อมมือไปสัมผัสผิวขาวราวกับหยกของฉีหลาน เธอคิดว่าถ้าเธอได้สัมผัสจะไม่มีวันลืมความรู้สึกแบบนั้นแน่นอน
เมื่อหยางหลิงรุ่ยกำลังคิดหมกมุ่นกับเรื่องนี้ มือของเธอก็หลุดไปจากการควบคุม และจู่ๆฉีหลานก็พูดขึ้น
คำพูดของเธอทำให้ร่างกายของหยางหลิงรุ่ยสั่นโดยไม่รู้ตัว
“หลิงรุ่ย ฉันขอถามหนึ่งคำถาม เธอต้องตอบความจริงฉันมา”
เมื่อฉีหลานพูดออกมาก็ดูเหมือนว่าเธอจะควบคุมสติกลับมาได้แล้ว เธอพูดออกมาอย่างจริงจังราวกับว่าคำตอบของหยางหลิงรุ่ยนั้นสำคัญมาก
บางทีอาจเข้าใจได้ว่าเป็นความเชื่อแบบหนึ่งเธอต้องการการสนับสนุนจากความหลงใหลบางอย่าง
หยางหลิงรุ่ยมองไปที่ฉีหลานด้วยความลึกซึ้ง เธอฟังออกว่าคำพูดของฉีหลานนั้นจริงจังมาก
“น้องฉี เธอพูดมาเธอ ฉันจะพูดความจริงทุกอย่าง” หยางหลิงรุ่ยตอบไปอย่างจริงจัง
ฉีหลานส่งเสียงอืมออกมา และไม่ได้ถามไปโดยทันที แต่ว่าการกระทำต่อไปของเธอทำให้หยางหลิงรุ่ยตกตะลึงเป็นอย่างมาก
อย่าพูดถึงเธอแม้แต่เสี่ยวเจิ้งก็มองไปที่ฉีหลานด้วยความประหลาดใจ จากนั้นสายตาของเขาก็ดูแปลก ๆ ดูเหมือนว่ามีการค้นพบสิ่งที่ไม่ธรรมดา
มือของฉีหลาน ลูบไปที่ร่างกายและผิวของเธอ
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: โชคชะตาตื้นมาก แต่ความรักนั้นลึกซึ้ง