เรื่องนี้จะว่าใหญ่ก็ใหญ่จะว่าเล็กหรือก็เล็ก
หยางหลิงรุ่ยจำฉีหลานไม่ได้หลังที่เธอทำศัลยกรรม แต่ในฐานะเพื่อนสนิทที่สุด ฉีหลานก็ควรบอกหยางหลิงรุ่ยด้วย
แต่ฉีหลานยังคงปกปิดเรื่องนี้และนั่นพิสูจน์ได้อย่างหนึ่งว่าในใจเธอต้องมีอะไรบางอย่างอยู่
เมื่อเทียบกับฉีหลานที่ผ่านร้อนผ่านหนาวมาโชกโชนแล้ว หยางหลิงรุ่ยซึ่งได้รับการปกป้องจากตระกูลหยางมาตลอดหลังจากความจำเสื่อมนั้นไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเธอเลย
ตงเหยียนซึ่งเป็นอัจฉริยะกังวลมากเกี่ยวกับความปลอดภัยของหยางหลิงรุ่ย
"สรุปคือเธอต้องระวังหน่อย ถ้าฉีหลานขอให้เธอทำอะไรบางอย่างอย่าเพิ่งรับปากทันที ต้องปรึกษาเราก่อน รู้ไหม?"
ตงเหยียนกำชับหยางหลิงรุ่ยอีกครั้งเพื่อให้หยางหลิงรุ่ยปลอดภัย
ด้วยคำกำชับซ้ำแล้วซ้ำเล่านี้ ทำให้หยางหลิงรุ่ยยังรู้สึกถึงความเคร่งครัดของตงเหยียน
ดังนั้นเธอจึงพยักหน้าและกล่าวว่า "เข้าใจแล้วค่ะ พี่สะใภ้"
"โอเค กลับไปทานอาหารกันเถอะ! คืนนี้เธอมีแผนยังไง?"
"คืนนี้เหรอ?" หยางหลิงรุ่ยครุ่นคิดสักพัก แผนของเธอดูเหมือนจะมีแค่กินข้าวเสร็จแล้วก็ไปช้อปปิ้ง ให้ฉีหลานคลายกังวล
ส่วนเรื่องคืนนี้เธอยังคิดไม่ออกจริงๆ
"ฉันยังคิดไม่ออกดูเหมือนว่าก็ไม่มีธุระอะไรแล้ว!" หยางหลิงรุ่ยตอบอย่างตรงไปตรงมาจากนั้นก็ถามว่า "พี่มีอะไรเหรอ?"
"เราจะไปร้องเพลงกัน เธอกับฉีหลานก็มาด้วยกันเถอะ!” ตงเหยียนชวน
พอถึงเวลานั้นเธอและเพื่อนสองคนจะสามารถสังเกตฉีหลานได้
เพียงแค่ฉีหลานมีอะไรผิดปกติเล็กน้อยหรือทำตัวคลุมเครือ หากเป็นอย่างนั้นแม้ตงเหยียนจำเป็นจะต้องบังคับก็ต้องให้เธอตัดความสัมพันธ์กับฉีหลานให้ได้
เมื่อได้ยินสิ่งที่ตงเหยียนพูดหยางหลิงรุ่ยก็ลังเลเล็กน้อย "พี่คะ เพื่อนของพี่ ฉีหลานไม่คุ้นเคย... "
“เจอกันแล้วเดี๋ยวก็คุ้น ตามนี้นะ”
ตงเหยียนตัดสินใจให้แทน หลังพูดจบก็ดันหยางหลิงรุ่ยออกไป
หยางหลิงรุ่ยเกาศีรษะของเธอคิดว่าเรื่องนี้ค่อนข้างยาก
แต่คิดว่ามันเป็นแค่ปฏิสัมพันธ์ทางสังคมธรรมดา แค่ตามๆทุกคนไป เดาว่าฉีหลานคงจะไม่ปฏิเสธใช่มั้ย?
ตงเหยียนไปห้องน้ำส่วนหยางหลิงรุ่ยก็กลับไปที่ห้องอาหารส่วนตัว
ทันทีที่เธอเข้าไปในห้องฉีหลานก็ผลักเมนูและขอให้หยางหลิงรุ่ยสั่ง ในเวลาเดียวกันก็บอกหยางหลิงรุ่ยว่าเธอสั่งเมนูอะไรไปบ้าง
หยางหลิงรุ่ยฟังเมนูที่ฉีหลานบอกและต้องบอกว่าสิ่งที่ฉีหลานสั่งไปนั้นเป็นของที่หยางหลิงรุ่ยชอบอยู่แล้ว
ดังนั้นเธอจึงไม่เหลืออะไรให้สั่ง เธอวางเมนูไว้บนหลังเคาเตอร์และพูดว่า “พอแล้วล่ะ พี่หลานสั่งตรงกับความชอบของฉันเลย!”
จำนวนครั้งที่หยางหลิงรุ่ยและฉีหลานกินข้าวด้วยกันนั้นไม่บ่อย ตามเหตุผลแล้วฉีหลานไม่น่าจะรู้ความชอบของเธอขนาดนี้
เมื่อได้ยินสิ่งที่หยางหลิงรุ่ยพูด ฉีหลานก็ยิ้มและพูดว่า "ตอนแรกพวกเรากินบ่อย เธอจะชอบสั่งอาหารราคาถูกแต่อร่อยทุกครั้งเลย ดังนั้นฉันเลยค่อยๆจำได้"
ฉีหลานนึกถึงอดีตและเศร้าลงเล็กน้อยอย่างช่วยไม่ได้
ความสัมพันธ์ของเธอกับหยางหลิงรุ่ยมีมาเป็นเวลานานหลายปี
ฉีหลานได้เปลี่ยนจากหญิงสาวที่ไม่มีแรงกดดันใดๆมาเป็นเทพธิดาแห่งธุรกิจสวนกระแสและถูกบังคับให้แต่งงานกับตระกูลหยู...
อาจกล่าวได้ว่าเวลาที่ได้อยู่กับหยางหลิงรุ่ยนั้นพิสูจน์ให้เห็นถึงการเติบโตในช่วงหลายปีที่ผ่านมาของฉีหลาน
ในใจหยางหลิงรุ่ยรู้สึกซาบซึ้งเล็กน้อย แม้ว่าฉีหลานจะพูดถึงความชอบก่อนหน้านี้ของเธอ
แต่เป็นเวลากว่าสองปีแล้วที่ทั้งสองคนขาดการติดต่อกัน ฉีหลานยังคงจำได้อย่างชัดเจนว่ามันอธิบายได้แค่ว่าความสัมพันธ์ระหว่างคนทั้งสองในเวลานั้นดีมาก
พวกเธอทานอาหารกลางวันกันอย่างมีความสุขมาก หลังจากรับประทานอาหารเสร็จ หยางหลิงรุ่ยและฉีหลานก็ไปที่ห้างไทม์คอมเมอร์เชียลที่อยู่ใกล้ ๆ และเดินเล่นในห้างสรรพสินค้าอยู่หนึ่งชั่วโมง
ตอนที่ทั้งสองเข้าไปข้างในพวกเขามือเปล่า แต่หลังจากผ่านไปหนึ่งชั่วโมงพวกเขาแต่ละคนก็มีกระเป๋าห้าหรือหกถุงแขวนอยู่
ตามนิสัยแต่ก่อนของหยางหลิงรุ่ย เธอจะให้คนส่งสิ่งเหล่านี้ไปยังตระกูลหยางโดยตรง
แต่คราวนี้หยางหลิงรุ่ยไม่ได้ทำอย่างนั้น เธอบอกฉีหลานว่าสิ่งที่ดีที่สุดในการช็อปปิ้งก็คือความพึงพอใจในการถือถุงพวกนี้
หยางหลิงรุ่ยชอบความรู้สึกพึงพอใจเช่นนี้มากและหวังว่าความสุขในการช้อปปิ้งจะช่วยเจือจางความหดหู่ในใจของฉีหลานได้
เพียงแค่มองไปที่มุมปากของฉีหลานที่ยกขึ้นอย่างไม่ชัดเจน หยางหลิงรุ่ยก็รู้ว่าเห็นได้ชัดว่าแผนของเธอไม่ได้ประสบความสำเร็จมากนัก
หลังจากเอาถุงไปเก็บแล้วหยางหลิงรุ่ยก็เหลือบมองเวลา ยังมีเวลาอีกสามชั่วโมงก่อนที่จะถึงเวลาที่ตงเหยียนนัดไปร้องเพลงด้วยกันในตอนกลางคืน
เธอต้องจัดเวลานี้ดีๆ
เธอถามฉีหลานว่าเธอมีกิจกรรมดีๆอะไรหรือไม่
ฉีหลานอึ้งไปและหลังจากที่คิดอย่างรอบคอบโดยที่เธอยังคงรู้สึกหนักใจอยู่เธอก็พูดว่า "ฉันไม่รู้ว่าจะทำอะไรดี"
หลังจากที่ฉีหลานกลับมาจากการทำศัลยกรรมแล้ว เธอก็ทำงานอย่างหนักเพื่อที่จะได้กลับไปที่บ้านตระกูลหยูเพื่อแก้แค้นให้สำเร็จ
ส่วนเรื่องบันเทิงเธอแทบไม่ได้แตะเลย
ตราบใดที่ยังมีร่องรอยของความเกลียดชังอยู่ในใจ เธอก็จะไม่มีวันได้ผ่อนคลาย
เมื่อฟังคำตอบที่ตรงไปตรงมาของฉีหลาน หยางหลิงรุ่ยก็เบ้ริมฝีปากของเธอ
ในขณะนี้โทรศัพท์ดังติ๊งและมีข้อความเตือนออกมา
หยางหลิงรุ่ยหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดูจึงเห็นว่ามีภาพยนตร์ที่เพิ่งออกฉาย
ในช่วงเวลาที่ดีที่สุด นางเอกของภาพยนตร์เรื่องนี้คือเหลียวซิรงพอดีและนักแสดงชายก็เป็นที่นิยม
หยางหลิงรุ่ยสนใจหนังเรื่องนี้มาก่อนอยู่แล้ว
เธอคิดเรื่องนี้มานานแล้วว่าจะไปดูหลังจากที่เธอจัดการเรื่องยุ่งๆเสร็จ เพียงแต่การทำชุดแต่งงานของฉีหลานภายในมีปัญหามากมายทำให้ในที่สุดหยางหลิงรุ่ยก็ไม่มีเวลาไปดู
วันนี้บังเอิญพาฉีหลานออกมาพักผ่อนหย่อนใจ ถ้าทั้งสองคนไปดูหนังก็ดูเหมือนว่าจะเป็นตัวเลือกที่ดีทีสุด
"พี่หลานเราไปดูหนังเรื่องนี้กันเถอะ!"
หยางหลิงรุ่ยหันโทรศัพท์ไปแล้วโบกไปมาต่อหน้าฉีหลาน
เดิมทีเหลียวซิรงก็ยังอายุไม่มาก ด้วยการแต่งหน้าและชุดนักเรียนทำให้ผู้คนแทบจะไม่รู้สึกเลยว่าเธอเป็นผู้ใหญ่แล้ว
สำหรับนักแสดงนำที่เล่นเป็นคู่กับเหลียวซิรง เขาเป็นนักแสดงหน้าใหม่ที่อายุน้อยกว่าเหลียวซิรงประมาณหกหรือเจ็ดปี ด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยคอลลาเจนทำให้เขาดูไร้ที่ติ
ภาพยนตร์เรื่องนี้เริ่มต้นด้วยการพบกันระหว่างเหลียวซิรงและพระเอก
ทั้งสองคนเป็นนักเรียนมัธยมปลายและพบกันที่บอร์ดประกาศห้องเรียนในปีแรกของโรงเรียน
สิ่งที่เรียกว่ารักแรกพบไม่ได้เกิดขึ้นกับเหลียวซิรงผู้เป็นนางเอก
แต่เห็นได้ชัดว่าจากสายตาของพระเอกว่าดูเหมือนว่าเขามีความรู้สึกดีต่อเหลียวซิหรงอยู่แล้ว
เมื่อคนสองคนเอยู่ห้องเดียวกัน เมื่ออาจารย์ที่ปรึกษาจัดสรรที่นั่งทุกคนก็พร้อมแล้ว
แต่นักแสดงนำชายได้ยกมือขึ้นและขอนั่งกับเหลียวซิหรง
เรื่องแบบนี้เกือบจะเทียบเท่ากับการสารภาพรักทำให้เกิดเสียงโห่ขึ้นในชั้นเรียนทันที
และใบหน้าของเหลียวซิรงก็แดงจนแทบจะกลายเป็นก้นลิง
อาจารย์ไม่ได้ปฏิเสธคำขอของพระเอก แต่เนื่องจากนักแสดงนำชายนั้นสูงเกินไปเขาจึงไม่สามารถอยู่กับเหลียวจื่อหรงที่นั่งอยู่ด้านหน้าได้
แต่ถ้าเหลียวซิรงยอมไปนั่งที่แถวสุดท้ายก็จะเป็นข้อยกเว้น
ต่อหน้าสายตาล้อเลียนของคนชั้นเรียน เหลียวซิรงก็ได้ตัดสินใจในที่สุด
เธอลุกขึ้นมานั่งข้างๆพระเอก
มีความเข้าใจไปโดยปริยายระหว่างทั้งสองถูกลิขิตมาให้กันตั้งแต่ต้น
พระเอกเป็นคนเรียนเก่ง แต่เขาไม่ได้ดูเนิร์ด เขาตรงกับหนุ่มฮ็อตในจินตนาการของสาวๆในเวลานั้น
เข้าไม่เรียบร้อย นอนในชั้นเรียน แต่ผลการเรียนกลับดีมาก
ในชั้นเรียนภาษาจีน พระเอกหลับไปและส่งเสียงกรนเล็กน้อย น้ำลายจากมุมปากก็ไหลออกมา
เหลียวซิรงถึงแม้ว่าเธอจะเรียนไม่เก่ง แต่เธอก็พยายามอย่างเต็มที่ที่จะตั้งใจฟัง
อย่างไรก็ตามเธอไม่สามารถมีสมาธิได้โดยสิ้นเชิง
เมื่อใดก็ตามที่ครูเขียนบนกระดานดำหรือพูดถึงหัวข้อใดๆ เสียงของพระเอกมักจะทำลายแรงบันดาลใจของเธออยู่ตลอด
นับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาเหลียวซิรงก็ยอมแพ้ที่จะตั้งใจฟัง
เธอเพียงแค่มองไปที่พระเอกอย่างจนปัญญาแล้วเอื้อมมือไปแตะเขาเบาๆ พยายามปลุกพระเอก
แต่เห็นได้ชัดว่าเธอล้มเหลว
พระเอกยังไม่ตื่นเขาแค่หันตัวไปและหลับต่อ
แต่คราวนี้หัวหน้าห้องพบว่าพระเอกหลับอยู่
ในฐานะหัวหน้าที่ต้องการรักษาศักดิ์ศรีของชั้นเรียนที่มีเกียรติ หัวหน้าห้องจึงยกมือขึ้นและรายงานให้ครูผู้สอนทราบว่าพระเอกหลับไปแล้ว
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: โชคชะตาตื้นมาก แต่ความรักนั้นลึกซึ้ง