พ่ายรักเมียในนาม(จบ) นิยาย บท 176

“คุณหันไป”

“จะทำอะไร?”

“ฉันแช่เสร็จแล้ว”

“ยังไม่ถึงเวลาเลยมั้ง?”

“แช่ต่อไปอีกฉันได้ตัวบวมแน่”

เขาตอบตกลงแต่โดยดี “เดี๋ยวผมไปหยิบชุดคลุมมาให้”

เขาหันกลับไปหยิบชุดคลุมอาบน้ำที่แขวนอยู่บนราวมาให้ฉัน

“คุณหันไปก่อน”

“เดี๋ยวผมหลับตาให้”

“ไม่ได้ ฉันไม่รู้ว่าคุณแอบมองอยู่รึเปล่า”

“ไม่ต้องแอบหรอก ถ้าผมคิดจะดูจริงๆ” เขาหลับตาลง

ฉันยื่นมือโบกไปมาอยู่ตรงหน้าเขา เขารีบพูดขึ้น “อย่าทำตัวใจแคบหน่อยเลย ผมหลับตาอยู่”

“อ้อ คุณยังบอกว่าไม่ได้แอบมองอีก แล้วรู้ได้ยังไงว่าฉันกำลังทดสอบคุณอยู่?”

“หยดน้ำบนมือของคุณสะบัดเต็มหน้าผมแล้ว”

จริงเหรอ?

ช่างมันเถอะ ฉันรับชุดคลุมจากสีชิงชวนมาแล้วรีบคลุมตัวไว้อย่างรวดเร็ว

ชุดคลุมอาบน้ำทำมาจากผ้าขนหนู พอสวมเข้ากับตัวก็ดูดซับหยดน้ำบนร่างกายได้ทันที

ขณะที่ฉันมัดเชือกที่เอวเสร็จ สีชิงชวนก็ลืมตาขึ้นแล้ว

“ฉันยังไม่บอกว่าเสร็จเลย คุณลืมตาได้ยังไง?” ฉันพูดด้วยความเขินอาย

เขายื่นมืออุ้มฉันออกจากอ่างอาบน้ำ “วางใจได้ การที่ผมจะแอบมองคุณก็ต้องใช้ความกล้าเหมือนกัน”

ฉันรู้ว่าเขาจงใจยุยงฉัน และฉันก็รู้ดีว่าตัวเองถือว่าหุ่นดีอยู่ เขาคงจะคิดว่าฉันจะโกรธแล้วเปิดชุดคลุมออกเพื่อโชว์หุ่นให้เขาดูสินะ?

ไม่มีทาง

กลับถึงห้องนอน ฉันนั่งอยู่ตรงหน้าโต๊ะเครื่องแป้ง จู่ๆ สีชิงชวนก็กดให้ฉันนั่งลงบนเก้าอี้แล้วเป่าผมให้กับฉัน

เหมือนว่านี่จะเป็นครั้งที่สองที่สีชิงชวนเป่าผมให้ฉัน ผมของฉันทั้งยาวและหนาซึ่งยากที่จะเป่าให้แห้ง

แต่เขากลับมีความอดทนดีนัก เขาใช้ผ้าเช็ดผมเช็ดเส้นผมให้หมาดก่อน จากนั้นค่อยๆ เป่าด้วยลมธรรมดาไม่ร้อนมาก

สีชิงชวนสูงเกินไปจนฉันที่นั่งอยู่เห็นแค่ครึ่งล่างของเขาในกระจกไม่เห็นครึ่งบนของเขาเลย

ฉันปรึกษาหารือกับเขาอย่างจริงจัง “จัดงานแถลงข่าวชี้แจงหน่อยดีไหม แบบนี้มันส่งผลต่อสีซื่อกรุ๊ป ถึงคุณจะไม่อะไรแต่ฉันรู้สึกผิดจนจะตายแล้ว ขืนเป็นแบบนี้ต่อไปฉันต้องกินไม่ได้นอนไม่หลับแน่นอน”

“คุณรู้สึกผิดมากเกินไปแล้ว” เขาตอบส่งเดช “ผมไม่สนว่าคนอื่นจะมองผมยังไง”

“บางครั้งคำพูดคนก็สามารถฆ่าคนได้ อย่างเช่นหร่วนหลิงอวี้…”

“อย่าเอาผมไปเปรียบเทียบกับดาราสาวเมืองเซี่ยงไฮ้เก่า”

ฉันต้องรู้อยู่แล้วว่าพวกเขาเทียบกันไม่ติด หลังจากที่ผมของฉันแห้งพอควร ฉันก็เงยหน้าขึ้นผลักไดร์เป่าผมในมือสีชิงชวนออก “ชี้แจงไปก็ไม่มีอะไรเสียหายทั้งยังยุติธรรมต่อป๋ออวี่ด้วย คุณดูสิเขาอยู่ของเขาดีๆ จู่ๆ ก็กลายเป็นแฟนคลับหนุ่มของคุณไปได้ นี่มันเป็นไปได้ยังไง?”

“ก็คุณกำกับและแสดงเองไม่ใช่หรือไง?” เขาขยับเก้าอี้ของฉันให้เข้าที่แล้วเป่าผมต่อ “ถ้าคุณอยากทำงั้นก็ทำ”

“ฉันไม่รู้ว่าต้องทำยังไง”

“เดี๋ยวป๋ออวี่จะติดต่อคุณเอง”

“โอเค”

เขาดูเหมือนไม่เป็นห่วงอะไรเลยสักนิด ฉันพูดโกรธๆ “ฉันกังวลเรื่องของคุณแทบตาย แต่คุณกลับดูเหมือนไม่กังวลเลยสักนิด”

“ผมไม่อะไรตั้งแต่แรกอยู่แล้ว” เขาเป่าผมเสร็จปิดไดร์เป่าผมแล้วนั่งมองฉันอยู่ตรงหน้าพูดว่า “ผมจะบอกคุณอะไรอย่างหนึ่ง”

“เรื่องอะไร?”

“ผมจะจัดงานวันเกิด”

“หืม?” ฉันเบิกตากว้าง “คราวก่อนเหมือนคุณจะบอกฉันว่าคุณไม่เคยจัดงานวันเกิดมาก่อนนะ”

“คุณจะให้ของขวัญอะไรผมเหรอ?”

ฉันคิดแล้วคิดอีก เห็นเขาบ่นอยากได้รูปปั้นคริสตัลมานาน ภาพเหมือนของสีชิงชวนก็ใกล้จะเสร็จแล้วฉันสามารถให้อันนั้นเป็นของขวัญกับเขาได้

อะไรนะ? หืม?

ฉันมองหนังสือบนมือรู้สึกคาดไม่ถึงเล็กน้อย ที่แท้คือให้อ่านหนังสือให้ฟัง ไม่ใช่เรื่องที่ฉันคิดหรอกเหรอ?

ฉันดูชื่อหนังสือ “หนังสือบทกวีของฉัน คุณเปลี่ยนมาอ่านบทกวีตั้งแต่เมื่อไหร่?”

“ผมไม่ได้อ่าน ผมฟัง” เขาหลับตาลง “ผมชอบบทเปรียบความฝันเหมือนม้า”

บทนั้นฉันถนัดมาก ไม่ต้องดูก็ท่องได้

“ผมจะเป็นลูกชายผู้ภักดีเสมอไป เป็นคนรักชั่วคราวกับสิ่งของ…เป็นเหมือนเหล่ากวีที่เปรียบความฝันเหมือนม้า ผมจำต้องเดินบนเส้นทางเดียวกันกับวีรบุรุษและตัวตลกโดยมิอาจหลีกเลี่ยง…”

ฉันอ่านไปประโยคหนึ่งก็ถามเขา “อย่าทำตัวเป็นศิลปินหน่อยเลย คุณฟังรู้เรื่องเหรอ?”

“ฟังไม่รู้เรื่องแสร้งฟังรู้เรื่อง” เขาพลิกตัวหันมาหาฉัน มือข้างหนึ่งวางใต้คาง “คุณอธิบายให้ผมฟังหน่อยสิ”

“บทกวีสมัยใหม่ไม่มีความหมายที่ตายตัวหรอก ขึ้นอยู่กับความเข้าใจของตัวเอง”

“คุณเรียนอะไรนะ?” เขาถามฉัน

“ไฟแนนซ์”

“ทำไมคุณถึงเลือกเรียนไฟแนนซ์ล่ะ?”

“คุณพ่อบอกให้เรียนน่ะ”

“คุณวาดรูปเก่งไม่ใช่เหรอ?”

“ตอนแรกจะเรียนศิลปะนั่นแหละ แต่พ่อบอกให้เรียนไฟแนนซ์ เพราะอนาคตต้องใช้”

“คุณนี่มันเด็กกตัญญูกตเวทีจริงๆ”

ฉันมองบนใส่เขา ปิดหนังสือแล้วนอนตะแคงหันหน้าเข้าหาสีชิงชวน “คุณพ่อใส่ใจเรื่องฉันมาก เขาจะคิดไตร่ตรองอย่างดีก่อนทุกอย่าง ดังนั้นถึงแม้ว่าฉันจะไม่ชอบเรียนไฟแนนซ์ แต่ฉันก็รู้ดีว่าความสามารถอย่างฉันเรียนศิลปะไปก็ไม่โดดเด่นอะไร สู้เรียนไฟแนนซ์ยังดีกว่า อาจจะช่วยงานคุณพ่อในอนาคตได้อีกด้วย”

“คุณคิดว่าสิ่งที่คุณเรียนในมหาลัยพวกนั้นจะพอใช้ทำอะไรงั้นเหรอ?” เขาเยาะเย้ยฉันเป็นปกติ “ทำได้แค่อ่านเอกสารและตารางแบบฟอร์มเข้าใจหน่อย ถ้าอยากจะดูแลบริษัทหนึ่งให้ดี แค่นั้นไม่พอหรอกยังต้องเรียนรู้อีกมาก”

“ฉันรู้อยู่แล้ว” ยังต้องให้เขาบอกอีกเหรอ “ค่อยเป็นค่อยไปแล้วกัน”

“คนของเซียวซื่อกรุ๊ปต่างก็คอยจับตามองคุณ ใครจะรอให้คุณค่อยเป็นค่อยไปกัน?” เขายื่นมือออกมาหยิบเส้นผมที่ติดอยู่ข้างแก้มของฉันออกพร้อมพูดว่า “คุณขอร้องผมสิ เดี๋ยวผมสอน”

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: พ่ายรักเมียในนาม(จบ)