สุดท้ายฉันก็หยิบบรั่นดีขึ้นมาขวดหนึ่ง ส่วนที่เหลือก็ให้คุณพ่อบ้านเอากลับไป ถ้าคุณพ่อเฉียวรู้ว่าสีชิงชวนมาที่นี่และดื่มบรั่นดีล็อตสุดท้ายของเขา คงไม่ได้จะฆ่าเฉียวอี้หรอก
บ้านเธอยังมีไวน์และแชมเปญอีกเยอะแยะมากมาย ฉันคิดว่าความสามารถในการดื่มเหล้าของฉันกับสีจิ่นยวนน่ะ ดื่มแค่แชมเปญก็พอแล้ว
เฉียวอี้รินบรั่นดีให้ตัวเองเต็มแก้ว สีชิงชวนเห็นดังนั้นจึงเตือนเธออย่างหวังดี “บรั่นดีแบบนี้มีฤทธิ์หลังจากกินเยอะนะ คุณดื่มแค่แก้วนี้ก็พอแล้วล่ะ”
“แก้วเดียวเหรอ?” เฉียวอี้ยิ้มเย็นอย่างมั่นใจ “หนึ่งโอ่งโน่นถึงจะพอ”
จากนั้นเธอก็ดื่มมันลงไปทั้งที่ยังไม่ได้ทานอาหารเลยสักคำ ฉันแย่งแก้วบรั่นดีในมือเธอมา
“เธอจะกินข้าวอีกไหม มีอย่างที่ไหนมาถึงก็จะมอมตัวเอง?”
“พี่เฉียวอี้ พี่โสดมานานเกินจนจิตใจฟุ้งซ่านใช่ไหม” สีจิ่นยวนถามออกมาอย่างไม่อาย
“ใครบอกว่าฉันโสด ฉันมีแฟนแล้ว”
“ใคร?”
“บอกแล้วนายจะตกใจ” เฉียวอี้หัวเราะแล้วโอบไหล่สีจิ่นยวนไว้ “รู้จักตงฟางกรุ๊ปไหม?”
“ผู้จัดการแผนกของตงฟางกรุ๊ปคนไหน?”
“ผู้จัดการแผนกอะไรล่ะ ฉินกวน ประธานคณะกรรมการบริหารของตงฟางกรุ๊ป” เฉียวอี้พูดอย่างภาคภูมิใจ ฉันไม่เห็นเธอเจอกับฉินกวนบ่อยนัก แต่เธอยังรักษาความสัมพันธ์ได้นานขนาดนี้และยังคิดว่าฉินกวนเป็นแฟนของเธอ เป็นเรื่องที่หาได้ยากจริงๆ
“ฉินกวน?” สีจิ่นยวนหรี่ตา “เขาแก่มากแล้วไม่ใช่เหรอ ถ้าพี่บอกว่าเป็นพ่อพี่ยังได้เลยปะ?”
“พ่อฉันรวยขนาดนี้ฉันจะหาพ่ออีกคนไปทำไม? เด็กบ้าอย่างนายไม่เข้าใจเสน่ห์ของผู้ชายที่เป็นผู้ใหญ่หรอก นายน่ะ” เฉียวอี้มองเขาอย่างเหยียดหยาม “ปากไม่สิ้นกลิ่นน้ำนม”
“เฮ้ นี่พี่ด่าเหรอ!”
อย่างที่เห็น ฉันยังไม่ได้ทานเลยสักคำก็ต้องมาชมพวกเขาตีกันอีกแล้ว
พวกเขาเห่าใส่กันอย่างกับสุนัขพันธุ์บลูด็อก ขาดก็แต่ไม่ได้กัดกันก็เท่านั้น ฉันอยากไกล่เกลี่ยให้แต่สีชิงชวนกลับใช้ตะเกียบเคาะถ้วยของฉันซะก่อน
“กินซะ ถ้าพวกเขาทะเลาะกันตาย เราจะได้กินได้เยอะขึ้นอีก”
“สีจิ่นยวนยังเป็นน้องแท้ๆ คุณอยู่ไหม?” ฉันถามด้วยความสงสัย ส่วนเขาก็คีบปูไปครึ่งตัวใส่จานตัวเองแล้วเริ่มทานด้วยท่าทางสบายๆ
“ไม่ได้มีอาวุธสักหน่อย ไม่ตายหรอก”
แต่พวกเขาก็แค่เอาแต่เถียงกันและเอะอะว่าจะฆ่าอีกฝ่ายให้ตาย แต่ก็ไม่มีใครทำจริงๆ
ฉันก็วางใจ และเริ่มกินปูผัดผงกะหรี่ของฉัน ปูเป็นปูไข่ ทั้งตัวใหญ่และมีกระดองแข็ง
ฉันชอบเนื้อก้ามปู แต่ก้ามปูมันแข็งเกินไป ฉันกัดอยู่นานมากก็ไม่แตกสักที ให้กัดต่อไปฟันก็คงหักพอดี
ฉันนิ่งคิดอยู่ครู่หนึ่งและหันไปถามเฉียวอี้ที่กำลังทะเลาะกับสีจิ่นยวน “ฉันจำได้ว่าเธอมีคีมหนีบวอลนัท”
เธอหันมาตอบฉันทั้งที่กำลังวุ่นกับการทะเลาะอยู่ “อะไรนะ? เธอเอามันไปทำไม? วอลนัทยังต้องใช้คีมหนีบเหรอ ใช้ประตูหนีบเอาก็ได้แล้ว”
“ปู ฉันจะเอามาหนีบก้ามปู หรือต้องใช้ประตูหนีบเหมือนกัน?”
เธอเหล่มองฉัน “ใจเย็นนะเพื่อน เดี๋ยวฉันเห็นป้าหลัวแล้วค่อยให้ป้าไปเอามาให้นะ”
ป้าหลัวแอบหลบไปตั้งนานแล้ว ใครจะอยากมาเอี่ยวเรื่องนี้กับเธอด้วยล่ะ?
พวกเขาเถียงกันจนลืมและไม่ได้สนใจฉันอีก ฉันจึงเดินกลับไปที่โต๊ะ
ฟันฉันไม่แข็งแรงพอจึงทำได้เพียงตัดใจจากของโปรดของตัวเอง
ฉันก้มหน้าลง ทันใดนั้นก็เห็นว่าในจานฉันมีเนื้อก้ามปูที่แกะแล้ววางอยู่ มันวางอยู่อย่างครบถ้วนสวยงามมากๆ
“ถ้าเธอช้ากว่านี้ แม้แต่เศษมันก็ไม่เหลือ”
“โห สีชิงชวน คุณตะกละจัง แป๊บเดียวก็กินก้ามปูหมดแล้วอะ” เฉียวอี้เห็นเปลือกปูกองใหญ่บนขอบจานของสีชิงชวน
“ยังมีอีกชิ้นนี่ไง” ฉันชี้ไปที่จานของเธอ “รีบกินเถอะ ไม่งั้นแม้แต่อันนี้ก็ไม่เหลือนะ”
“พี่สาม” สีจิ่นยวนแทะปูผัดผงกะหรี่จนมันเลอะไปทั้งหน้า “ผมจำได้ว่าเมื่อก่อนพี่ไม่กินปูนี่ หรือว่าก้ามปูอร่อยกว่าเนื้อปูเหรอ?”
สีชิงชวนโยนเปลือกปูใส่เขาและมันก็ไปโดนเข้ากลางหน้าผากของสีจิ่นยวนพอดี
“มีให้กินก็กิน อย่าพูดมาก”
พวกเขาทะเลาะกันนานเกินไป ปูผัดผงกะหรี่จึงเย็นไปเล็กน้อย แต่สีจิ่นยวนก็ยังก้มหน้าทานไม่ลืมหูลืมตา “โห ไม่คิดว่าฝีมือพี่เซียวเซิงจะอร่อยขนาดนี้อะ ซึมซับคำสอนของลูกพี่โจวได้ดีจริงๆ”
“สีจิ่นยวน” จู่ๆ น้ำเสียงของสีชิงชวนเย็นขึ้น “บนโลกนี้มีแค่หนีอีโจวคนเดียวเหรอที่ทำปูผัดผงกะหรี่ได้?”
“แต่ปูผัดผงกะหรี่ที่พี่เซียวเซิงทำเหมือนกับที่ลูกพี่หนีทำเปี๊ยบเลย”
พอพูดถึงหนีอีโจว สีชิงชวนก็เกิดความไม่พอใจขึ้น ฉันรู้ว่ามันเกี่ยวกับที่หนีอีโจวใช้ชื่อฉันไปฟ้องหย่าเขา
ฉันเตะไปที่เท้าที่อยู่ใต้โต๊ะของสีจิ่นยวน เตะอยู่หลายครั้งเขาก็ก้มลงมองใต้โต๊ะอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็ยืดตัวขึ้นมองฉันด้วยสีหน้าซื่อบื้อ “พี่เซียวเซิง พี่เตะผมทำไมตั้งนาน?”
ฉันโมโหเขาจนแทบจะระเบิด จากนั้นก็กลอกตามองเขาด้วยความเมตตา
“หม้อไฟรสเผ็ดร้อนนี่อร่อยจัง” สีจิ่นยวนชอบทานผ้าขี้ริ้ววัวมาก แล้วเฉียวอี้ก็ดันชอบทานมันมากเช่นกัน ทั้งสองคนจึงแย่งมันจากในหม้อ ฉันกลัวจริงๆ ว่าหม้อมันจะคว่ำลงเพราะพวกเขาสองคนมัวแต่แย่งกัน
“ฉันซื้อผ้าขี้ริ้ววัวมาตั้งเยอะ ไม่ต้องแย่งกันขนาดนั้นก็ได้”
“เมื่อกี้ฉันเป็นคนลวกชิ้นนี้!” เฉียวอี้หันไปตะโกนใส่สีจิ่นยวน
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: พ่ายรักเมียในนาม(จบ)
สนุกมากเป็นอะไรที่ลุ้นตามตลอดถึงนางเอกจะดูโง่ๆแต่ก็สนุกมากครับชอบแนวนี้มากก...
จบซะแล้วลงตอนไม่ครบค่ะ ขาดตอนที่ 501,506...
เย้ อัพต่อแล้ว 👍👍👍...
แอด...ยังรออัพเดทนะคะ😁😁...
รอมาอัพต่อค่ะ...
กี่ตอนจบค่ะ...
Please up Chapter495...
สนุกมากๆ ค่ะ ติดตามอยู่นะคะ...
นางเอกไม่ได้โง่แต่จิตใจดีเกินไปและพระเอกอยากสอนนางเอกแต่สอนผิดวิธี ในเรื่องทุกคนมีปมหมด นักเขียนค่อยๆขยายแต่ละคน เราว่าสนุก อัพต่อค่ะplease...
เป็นเรื่องที่อ่านแล้วอึดอัดมาก เพราะนางเอกโคตรโง่เลย อ่านแล้วลุ้นแต่ก็ลุ้นไม่ขึ้น มันรู้สึกสงสารนางเอก แต่เป็นสมน้ำหน้า พระเอกก็ใจดำเอาแต่ใจตัวเอง ทำตัวแย่ ทำให้รำคาญ อ่านแล้วไม่ลุ้นให้ได้จบลงด้วยกันอย่างมีความสุข แต่ให้รับผลจากความโง่และการกระทำของตัวเอง...