แม่เลี้ยงเดินขึ้นชั้นบนไป พี่เขยคนโตและภริยาของเขาไปจากที่นั้นอย่างรวดเร็ว อาติงจูงหมาเดินอยู่หน้าประตูรอบหนึ่งแล้วก็จากไป
ฉันไม่รู้ว่าสีชิงชวนคิดยังไงถึงช่วยฉัน ฉันกล่าวขอบคุณเขาไปด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา ทว่าเขามุ่งหน้าตรงไปที่ห้องไว้ทุกข์โดยที่ไม่สนใจฉันเลย
เฉียวอี้เบะปากมองบน “เหอะ หยิ่งยโสขนาดนี้ ใครจะไปสนใจเขาล่ะ เห็นอยู่โทนโท่ว่าสามีคุณอยู่เป็นเพื่อนเซียวซือทั้งคืน นับว่าเกิดอะไรขึ้น?”
ตอนนี้ฉันมีอารมณ์มาใส่ใจกับเรื่องแบบนี้ที่ไหนกันล่ะ ฉันหันกลับไปพูดกับเฉียวอี้ “ตอนนี้ก็ค่ำแล้ว ไม่ต้องอยู่เป็นเพื่อนแล้ว รีบกลับไปพักผ่อนเถอะ”
“งั้น ถ้าสีชิงชวนอยู่ที่นี่ฉันก็กลับก่อน ตอนนี้ฉันเจอเขาไม่ได้ แม้จะหน้าตาดีแต่ถ้าทำเรื่องบัดซบ ฉันก็เกลียดเหมือนเดิม”
“คุณขับรถก็ระวังๆหน่อย” ฉันส่งเธอไปที่หน้าประตู ตอนนี้เป็นเวลาเลยเที่ยงคืนแล้ว ลมกลางดึกพัดโชยจนทำให้เส้นผมของเธอปริวว่อนพัวพันจนยุ่งเหยิง”
“ฉันรู้” จู่ๆเธอตาเธอก็แดงขึ้น “ถ้าหากว่าเธออยากร้องให้ก็ร้องออกมาให้เต็มที่ สภาพเธอเป็นเช่นนี้ทำให้ฉันปวดใจตามไปด้วย
ฉันผลักเธออก “ยังไม่ใช่เวลามานั่งร้องให้ รีบไปเถอะ!”
“อย่าอั้นไว้...”
“อืม” ฉันพยักหน้าตอบรับ ชำเลืองมองไปหาเฉียวอี้ผู้ที่กำลังเดินลงบันไดตรงระเบียงทางเดินโดยที่หันกลับมาเป็นพักๆ
เห็นเธอขึ้นรถสตาร์ทเครื่องขับไปทางหน้าประตู ฉันถึงจะหันตัวเดินเข้าบ้านไป
รูปของคุณพ่อส่งมาถึงแล้ว ใช้รูปที่ฉันเลือกไว้
ฉันยังจำได้ว่าตอนที่ท่านฉลองวันเกิด สีหน้าท่านแลดูแดงเปล่งปลั่งสดใส นึกไม่ถึงว่ารูปวันเกิดจะกลายมาเป็นรูปวันตายได้
ฉันวางรูปไว้ที่จุดกึ่งกลางของห้องไว้ทุกข์ จากนั้นก็เผากระดาษเงินกระดาษทองให้คุณพ่อ
ฉันขยี้กระดาษเงินกระดาษทองให้เรียงเป็นรูปวงกลม แล้วนำมาวางทับซ้อนกัน ประตูเปิดอยู่ ทำให้มีลมพัดโชยเข้ามา กระดาษเงินกระดาษทองที่วางอยู่โดนลมพัดจนปลิวขึ้นมา จากนั้นก็ตกลงบนเท้าของฉัน
ฉันเตรียมจะเก็บ แต่มีคนข้างกายย่อตัวลงเก็บขึ้นมาให้ฉันเสียก่อน
ซึ่งก็คือสีชิงชวน ฉันรับมาพร้อมกับกล่าวขอบคุณไป ครั้งนี้เขาไม่ได้หนีไปแบบดื้อๆดั่งครั้งก่อน แต่กลับเอ่ยขึ้นอีกประโยคว่า “เรื่องเมื่อครู่ขอบคุณนะ”
“ไม่เป็นไร สถานะในตอนนี้ของคุณคือภรรยาของผม “เขาจุดไฟแช็คเพื่อที่จะเผากระดาษเงินกระดาษทองในโถดินเผา
แสงเพลิงส่องสว่างใบหน้าอันหล่อเหลาของสีชิงชวนและแผดเผาอยู่ในดวงตาของเขา
ในค่ำคืนที่เปล่าเปลี่ยวเงียบสงัดนี้ มีคนอยู่ข้างกายนับว่าเป็นความอบอุ่นที่หาได้ยากแล้ว
ไม่ว่าเขาจะทำเพื่อเซียวซือที่นอนอยู่ชั้นบน หรือเพราะความสัมพันธ์ของเรา
ยังไงก็ตามแต่ มันไม่สำคัญอีกต่อไป
ฉันค่อยๆเผากระดาษเงินกระดาษทองที่ละใบๆ ที่จริงจนป่านนี้สมองฉันยังสับสนวุ่นวาย ฉันรู้ว่าคุณพ่อจากไปแล้ว แต่ในจิตใต้สำนึกกลับยังไม่ยอมรับมัน
ดังนั้นฉันจึงปราศจากน้ำตา ในเบ้าตาแห้งเหือดไม่เหลือแม้แต่หยดน้ำ
ทันใดนั้น ฉันอยากจะหาคนมาพูดคุยด้วย ดังนั้นจึงปริปากพึมพำกับตัวเอง “คุณเคยประสบการจากลาจากคนรอบข้างที่สนิทมากๆบ้างหรือเปล่า?”
ฉันไม่รอให้เขาตอบจึงพูดต่อขึ้นว่า “ตอนที่แม่เสีย ฉันรู้สึกเหมือนโลกทั้งใบจะถล่มลงมา ในตอนนั้นฉันอายุ 16 ปี คุณพ่อกับฉันร่วมด้วยช่วยกันจัดงานศพให้แม่ จากนั้นก็พาฉันกลับไปที่บ้าน เขาเคยพูดกับฉันว่าตราบใดที่เค้าอยู่ บ้านหลังนี้ก็ต้องอยู่ต่อไป”
ฉันเงยหน้าขึ้น สายตาชำเลืองไปที่ช่องประตูทางออกพอดี
“ฉันชี้ไปที่นั่น “ฉันยังจำได้ว่าวันนั้น ฉันยืนอยู่ที่นั่น พ่อบอกกล่าวแม่เลี้ยงพี่สาวคนโตพี่สาวคนที่สองว่า นี่คือเซียวเซิง ตั้งแต่บัดนี้เธอจะเป็นสมาชิกในครอบครัวของเรา”
ประหนึ่งฉันย้อนเห็นอดีตของตัวเอง ที่มุดหลบอยู่ข้างหลังของคุณพ่อ มือใบใหญ่ของเขาอุมมือใบน้อยของฉันไว้ จู่ก็ไม่รู้สึกเดียวดายขึ้นมา
อาจเป็นเพราะฉันเคลิบเคลิ้มไปกับมัน เปลวไฟอันเร่าร้อนแผดเผาไปยังนิ้วมือ หลังจากที่ฉันรู้สึกได้ถึงความเจ็บปวดจึงพับมือกลับทันที แต่ปลายนิ้วกลับโดนเผาจนเป็นแผลแล้ว
สีชิงชวนที่นั่งอยู่ด้านข้างได้ยิน เขาผู้ที่กำลังเล่นโทรศัพท์อยู่จึงหันหน้ากลับมามอง “ตอนเย็นไม่ได้กินข้าวเหรอ?”
ฉันส่ายหน้า ตอนเย็นในขณะที่ได้รับข่าวร้ายพวกเรายังไม่ทันกินข้าวกันเลย ต่อมาเกิดเรื่องนี้ขึ้น จะไปครุ่นคิดเรื่องกินข้าวได้ยังไงกัน
คนใช้ในบ้านฉันสั่งให้ไปนอนกันหมดแล้ว ส่วนอาอู๋อายุเยาะแล้ว ฉันก็ให้พวกเขาไปนอนเช่นเดียวกัน ถ้าอย่างนั้นในห้องรับแขกก็เหลือเราแค่สองคนนะสิ
จู่ๆเขาก็ลุกขึ้นจากโซฟา ฉันไม่รู้ว่าเขาจะทำอะไร แต่ฉันก็ยังคุกเข่าบนเบาะนั่งกลมหน้าป้ายเซ่นไหว้ต่อไป
ฉันนึกขึ้นได้ว่าหลายวันก่อนที่กลับมาคุณพ่อยังจูงแขนฉันพร้อมกับเอ่ยขึ้น “คุณกับสีชิงชวนคุยกันได้ถูกคอไหม? อันที่จริงเขาเป็นคนนิสัยดี คบหาดูใจกันดีๆ เพราะเขาจะดูแลคุณเป็นอย่างดี ถ้าเขาไม่ใช่คนดี พ่อไม่มีวันให้คุณแต่งออกหรอก”
ฉันรู้ว่าพ่อดีกับฉัน ถึงแม้จนป่านนี้ฉันยังหาส่วนดีของเขาไม่เจอเลยก็ตาม
ฉันนั่งคุกเข่าอยู่ ท่าทีสลึมสลือ จู่ๆก็ได้กลิ่นหอมหวลโชยมา เสียงของสีชิงชวนโอดครวญอยู่บนศรีษะ
“กินของหน่อย อย่าให้ตัวเองหิวโหย”
ฉันหันกลับไปมอง เห็นสีชิงชวนยกถ้วยมาใบหนึ่ง กลิ่นหอมของน้ำมันงาโชยออกมาจากถ้วยใบนั้น
ตามสรีระภายนอกฉันควรจะหิวได้แล้ว แต่สภาพจิตใจฉันกลับกินมันไม่ลง
เขาวางถ้วยไว้บนโต๊ะน้ำชา เอียงหน้ามาหาฉัน “กินสิ!”
เขาแลดูดุดัน แต่ครั้งนี้เขาทำเพื่อเธอจริงๆ
ฉันลุกจากเบาะรองนั่งเพื่อเดินไปข้างโต๊ะน้ำชา เขาใส่ทั้งเส้นบะหมี่ ไข่ไก่ ต้นหอมซอย ซ้ำยังราดน้ำมันงาไว้บนน้ำซุปอีกด้วย ดูท่ารสชาติน่าจะกลมกล่อมเลยทีเดียว
ฉันกล่าวคำขอบคุณออกมาจากใจ “ขอบคุณนะ จู่ๆก็รู้สึกว่าคุณไม่ใช่ปีศาจร้ายอีกต่อไป”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: พ่ายรักเมียในนาม(จบ)
สนุกมากเป็นอะไรที่ลุ้นตามตลอดถึงนางเอกจะดูโง่ๆแต่ก็สนุกมากครับชอบแนวนี้มากก...
จบซะแล้วลงตอนไม่ครบค่ะ ขาดตอนที่ 501,506...
เย้ อัพต่อแล้ว 👍👍👍...
แอด...ยังรออัพเดทนะคะ😁😁...
รอมาอัพต่อค่ะ...
กี่ตอนจบค่ะ...
Please up Chapter495...
สนุกมากๆ ค่ะ ติดตามอยู่นะคะ...
นางเอกไม่ได้โง่แต่จิตใจดีเกินไปและพระเอกอยากสอนนางเอกแต่สอนผิดวิธี ในเรื่องทุกคนมีปมหมด นักเขียนค่อยๆขยายแต่ละคน เราว่าสนุก อัพต่อค่ะplease...
เป็นเรื่องที่อ่านแล้วอึดอัดมาก เพราะนางเอกโคตรโง่เลย อ่านแล้วลุ้นแต่ก็ลุ้นไม่ขึ้น มันรู้สึกสงสารนางเอก แต่เป็นสมน้ำหน้า พระเอกก็ใจดำเอาแต่ใจตัวเอง ทำตัวแย่ ทำให้รำคาญ อ่านแล้วไม่ลุ้นให้ได้จบลงด้วยกันอย่างมีความสุข แต่ให้รับผลจากความโง่และการกระทำของตัวเอง...