สีชิงชวนเป็นบุคคลที่มีอิทธิพล ไม่ว่าข่าวด้านการเงินและข่าวบันเทิงก็ชอบเขียนข่าวของเขาเป็นพิเศษ เขาเป็นคนที่ไม่รู้จักถ่อมตนเลยสักนิด ปกติชอบแต่งตัวโอ้อวดไปทั่ว ถูกพาดหัวข่าวทุกวัน ดังนั้นแทบจะไม่มีคนที่ไม่รู้จักเขาเลย โดยเฉพาะในเมืองฮวา หลังจากที่ชายหน้าอ้วนคนนั้นเห็นหน้าของสีชิงชวนถึงกับหน้าเสียเลยทีเดียว รถยนต์ของสีชิงชวนนั้นเยอะมาก เขาเลยไม่รู้ว่าเป็นรถของสีชิงชวน คงคิดว่าเป็นไฮโซคนไหนกำลังปะทะคารมกับแฟนสาวอยู่บนถนนล่ะมั้ง คงนึกไม่ถึงว่าจะเป็นสีชิงชวน
สีหน้าดำคล้ำไปหมด ยิ้มจนฟันจะหลุดออกมาแล้ว “เป็นคุณสีนี่เอง ขอโทษที่รบกวนครับ”
“ฉะนั้น ตาคุณบอดหรือตาผมบอดกันแน่?”
“แน่นอนว่าตาผมบอดสิครับ ตาผมบอด” ชายคนนั้นพ่ายแพ้อย่างราบคาบ เดินจากไปอย่างนอบน้อม
“คุณเป็นอันธพาลครองถนนไปแล้วเหรอ” ฉันแสยะยิ้มแล้วมอบตำแหน่งใหม่กับเขา “ขืนคุณยังไม่ออกรถฉันจะสายจริงๆแล้วนะ”
จากนั้นเขาก็ออกรถตรงไปที่เซียวซื่อกรุ๊ป
“คุณส่งฉันที่หน้าประตูบริษัทก็พอแล้ว ฉันจะให้เฉียวอี้พยุงฉันขึ้นไปเอง”
“ตอนหลังคุณได้ไปที่นั่นกี่โมง?”
“ห๊ะ?” ฉันคิดอยู่พักหนึ่งถึงนึกขึ้นได้ว่าเขากำลังถามถึงเรื่องอะไรอยู่
“เที่ยงคืน”
“คุณเห็นอะไรบ้าง?”
“ไม่ได้เห็นอะไรนี่”
เขาจอดรถตรงหน้าประตูเซียวซื่อกรุ๊ป ไม่ได้ช่วยฉันปลดเข็มขัดนิรภัย ฉันก็จะปลดเข็มขัดเอง
เขาจับมือของฉันไว้ “คุณแน่ใจแล้วเหรอว่าคุณจะเดินกระเพกไปเองได้?”
“ไม่ได้ก็ต้องได้”
“อย่าทำเป็นเก่งไปซะทุกเรื่องเลย” เขาลงจากรถ เปิดประตูรถให้ฉันแล้วอุ้มฉันเข้าเซียวซื่อกรุ๊ป
“ยิ่งคุณทำแบบนี้ คนอื่นจะยิ่งคิดว่าฉันพิการเข้าไปใหญ่”
“อย่าไปสนใจว่าคนอื่นจะมองยังไง” เขาอุ้มฉันเข้าไป ทุกคนต่างตกตะลึงกับภาพที่สีชิงชวนอุ้มฉันเข้าบริษัทกันหมด
เขาไม่ได้สนว่าใครจะมองยังไงจริงๆ แต่ว่าฉันไม่เหมือนเขา ฉันไม่ใช่เขาสักหน่อย
เฉียวอี้ลงมาจากตึกเพื่อมารับฉัน เมื่อเห็นสีชิงชวนอุ้มฉันอยู่ “คุณปล่อยเธอลงเลยนะ ฉันจะพาเธอไปเอง”
“คุณอุ้มเธอไหวเหรอ?” สีชิงชวนพูดเย็นชา “กดลิฟต์เร็ว”
สรุป เฉียวอี้เลยลดระดับลงกลายเป็นเด็กกดลิฟต์ กดลิฟต์ให้กับเรา แล้วเดินตามเราเข้าไปในลิฟต์
“เซียวเซิง เท้าเธอเป็นอะไรเหรอ?”
“เมื่อวานฉันเหยียบโดนก้อนหินน่ะ”
“ทำไมเธอถึงบาดเจ็บอยู่ประจำเลย?” เฉียวอี้หันไปถามสีชิงชวน “คุณไม่รู้สึกเหรอว่า หลังจากที่เซียวเซิงแต่งงานกับคุณ เธอได้รับบาดเจ็บบ่อยมาก? เข้าโรงพยาบาลบ่อยเป็นว่าเล่น?”
“ผมเข้าโรงพยาบาลก็ไม่ใช่น้อยนะ” สีชิงชวนยิ้มอย่างเย็นชา “และยังมีอีกครั้งหนึ่งที่ผมต้องเข้าโรงพยาบาล นั่นก็เป็นเพราะคุณ”
เฉียวอี้มองบนอย่างแรง “ขุดเรื่องเก่าๆมาพูดให้ได้อะไรขึ้นมา?”
สีชิงชวนอุ้มฉันออกจากลิฟต์แล้วเดินไปที่ออฟฟิศของฉัน แล้วบังเอิญเจอกับเซียวซือที่กำลังมาหาฉันในออฟฟิศพอดี
เมื่อเธอเห็นภาพสีชิงชวนกำลังอุ้มฉัน ก็เดินตามเข้ามาด้วยความประหลาดใจ “เซียวเซิง นี่เธอเป็นอะไร?”
“ไม่เป็นไร แค่โดนก้อนหินขูดที่เท้า” ฉันกล่าว
“อ้อ” เซียวซือพยักหน้า “ถ้าไม่สะดวกล่ะก็ ตอนเที่ยงที่มีนัดทานข้าวแล้วคุยงาน ฉันไปแทนเธอให้ได้นะ!”
“คุยงานมื้อเที่ยงต้องใช้ปากนี่ ไม่ใช่ใช้เท้าสักหน่อย” เฉียวอี้ประชดประชันอย่างดุเดือด “ไม่ต้องการเธอหรอก”
เมื่อสีชิงชวนเห็นเซียวซือก็ไม่สะทกสะท้านแต่อย่างใด ดูเหมือนว่าการที่เขาไปมาหาสู่ระหว่างฉันกับเซียวซือ มันง่ายเหมือนปลอกกล้วยเข้าปากแล้วสินะ ฉันเริ่มรู้สึกจุกอกขึ้นมาอีกครั้งโดยไม่รู้ตัว พอสีชิงชวนพาฉันมาส่งในห้องทำงานเสร็จก็เดินออกไปเลย เพราะช่วงบ่ายเขายังมีธุระต้องทำอีก
“ชายชั่วคนนั้น ชั่วได้ใจจริงๆ” เฉียวอี้ต้องรอให้สีชิงชวนเดินออกไปก่อน ถึงจะกล้าด่าทอแบบนี้ได้
“ทำไมไม่เห็นเธอพูดต่อหน้าเขาเมื่อกี้นี้?”
“ตบคนต้องไม่ตบที่หน้า”
“พูดให้มันน้อยๆหน่อย” เมื่อเช้าฉันไม่ได้แต่งหน้าออกมา ตอนนี้เลยต้องรีบแต่งสักหน่อย “ตอนเที่ยงนัดไว้กี่โมง?”
“อ้อ”
ฉันยื่นโทรศัพท์คืนให้เซียวซือ “ขอโทษนะ จู่ๆเมื่อเช้าสีชิงชวนก็เกิดถามหาของขวัญจากฉัน ฉันถึงได้….”
“ไม่เป็นไร” เธอส่ายหัว “มันคือเรื่องปกติที่เธอจะต้องซักถามฉันเกี่ยวกับข้อสงสัย เพราะในสายตาของเธอ ฉันก็คือศัตรูหัวใจของเธออยู่ดี”
“ไม่ๆๆๆ” ฉันรีบโบกมือ “ไม่ใช่อย่างนั้น”
“ฉันดูออกน่ะ” ดวงตาของเซียวซือเปล่งประกาย “ว่าเธอชอบสีชิงชวน”
มันชัดเจนขนาดนั้นเลยเหรอ? ฉันหันไปมองเฉียวอี้อย่างงงงัน หล่อนถลึงตาบอกให้ฉันรวบรวมสมาธิให้ดีๆ
“ไม่ ไม่” ฉันพูดจาสะเปะสะปะ
“ไม่ใช่แค่ฉัน ชิงชวนเองก็รู้ พวกเรารู้กันหมดทุกคน” เธอลุกขึ้นยืน “ฉันยังมีธุระต้องไปทำอีก ถ้าเธอยังมีข้อสงสัยอะไรอีก ก็ไปถามชิงชวนได้เลย”
เธอพยักหน้าให้ฉันแล้วเดินออกไปเลย ทำให้เกิดความรู้สึกที่เขาว่ากันว่าผู้ดีต้องใจกว้างอะไรแบบนั้นเลย ต่อหน้าเซียวซือ ฉันไม่มีพลังอะไรเลยแม้แต่นิด เป็นแค่ไอ้ขี้แพ้คนหนึ่ง
เซียวซือเดินออกจาห้องทำงานของฉัน เฉียวอี้ก็เดินเข้ามาเขกหัวฉัน “เวลาอยู่หน้าเซียวซือ ทำไมความเป็นตัวของตัวเองถึงได้น้อยลงขนาดนี้? เวลาที่หล่อนพูดอะไรไม่เห็นว่าเธอจะโต้แย้งอะไรเลย”
“เขาพูดอย่างมีหลักการ อีกอย่างป๋ออวี่ก็ยอมรับแล้วด้วย”
“นั้นมันก็อีกเรื่องหนึ่ง เซียวเซิง จู่ๆฉันก็เกิดวิเคราะห์ได้” เฉียวอี้นั่งลงตรงหน้าฉัน ขมวดคิ้วขึ้น ทำให้ในใจฉันรู้สึกสับสนวุ่นวายทันที
“วิเคราะห์อะไรได้เหรอ?”
“สถานที่ที่เธอไปงานปาร์ตี้วันเกิดของสีชิงชวนในเมื่อคืน เธอได้โทรหาเซียวซือก่อนไปใช่ไหม?”
“ใช่ เพราะฉันจำที่อยู่ไม่ได้”
“ดังนั้น เซียวซือได้คำนวณเวลาไว้แล้วว่าเธอจะไปถึงที่นั่นกี่โมง จากนั้นก็ตั้งใจแสดงให้เธอได้เห็นฉากนั้น เธอบอกฉันสิว่าสีชิงชวนเป็นฝ่ายไปจูบหล่อนก่อน หรือว่าหล่อนเป็นฝ่ายจูบสีชิงชวน?”
“อ้อ หล่อนเป็นฝ่ายเริ่มก่อน”
“ใช่แล้ว!” เฉียวอี้ตบขาตัวเอง “ฉันบอกแล้วว่า เซียวซือเป็นเจ้าแม่ตอแหลเธอก็ไม่เชื่อ หล่อนตั้งใจทำแบบนี้ตั้งแต่แรกแล้ว!”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: พ่ายรักเมียในนาม(จบ)
สนุกมากเป็นอะไรที่ลุ้นตามตลอดถึงนางเอกจะดูโง่ๆแต่ก็สนุกมากครับชอบแนวนี้มากก...
จบซะแล้วลงตอนไม่ครบค่ะ ขาดตอนที่ 501,506...
เย้ อัพต่อแล้ว 👍👍👍...
แอด...ยังรออัพเดทนะคะ😁😁...
รอมาอัพต่อค่ะ...
กี่ตอนจบค่ะ...
Please up Chapter495...
สนุกมากๆ ค่ะ ติดตามอยู่นะคะ...
นางเอกไม่ได้โง่แต่จิตใจดีเกินไปและพระเอกอยากสอนนางเอกแต่สอนผิดวิธี ในเรื่องทุกคนมีปมหมด นักเขียนค่อยๆขยายแต่ละคน เราว่าสนุก อัพต่อค่ะplease...
เป็นเรื่องที่อ่านแล้วอึดอัดมาก เพราะนางเอกโคตรโง่เลย อ่านแล้วลุ้นแต่ก็ลุ้นไม่ขึ้น มันรู้สึกสงสารนางเอก แต่เป็นสมน้ำหน้า พระเอกก็ใจดำเอาแต่ใจตัวเอง ทำตัวแย่ ทำให้รำคาญ อ่านแล้วไม่ลุ้นให้ได้จบลงด้วยกันอย่างมีความสุข แต่ให้รับผลจากความโง่และการกระทำของตัวเอง...