พ่ายรักเมียในนาม(จบ) นิยาย บท 254

“งั้นคุณอยากดื่มน้ำไหม?”

“ดื่มน้ำก็ต้องเข้าห้องน้ำอีกสิ”

“งั้นผมเอาหมอนกดหน้าให้คุณตายๆ ไปเลยก็ดีมั้ง ให้มันจบๆ ไป จะได้หมดทุกข์สักที”

ฉันว่าเขาไม่กล้าหรอก แค่พูดให้สะใจเฉยๆ

เขาเดินไปรินน้ำมาและใส่หลอดเข้าไปในแก้วให้ฉันดื่ม

พอป่วยแล้วในปากมันรู้สึกขมๆ นิดหน่อย ฉันดื่มไม่ลง แต่เขาก็ให้ฉันดื่มอยู่ได้ ฉันจึงดื่มไปแค่อึกเดียว

ไม่คิดว่าน้ำจะมีรสหวาน ฉันเงยหน้าขึ้นมองเขาอย่างแปลกใจ “นี่น้ำอะไรเหรอ?”

“คุณไม่รู้เหรอว่าจริงๆ แล้วสารหนูขาวมันมีรสหวานน่ะ?” เขายิ้มอย่างชั่วร้าย

ฉันดื่มแล้วมันเป็นกลิ่นน้ำผึ้งชัดๆ สารหนูขาวบ้าอะไร เขาคิดว่าขู่ใครอยู่?

น้ำผึ้งอร่อยกว่าน้ำเปล่าเยอะเลย พอดื่มเข้าไป ในปากก็ไม่ได้จืดชืดขนาดนั้นแล้ว

เมื่อเข้าห้องน้ำและดื่มน้ำเสร็จ ฉันก็เอนตัวลงบนเตียงอย่างหอบๆ

เขานั่งตัวตรงอยู่ข้างหน้าฉัน ราวกับพระโพธิสัตว์อย่างไรอย่างนั้น

ฉันมองเขา ส่วนเขาก็กำลังมองฉันเหมือนกัน

“คุณไม่มีอะไรจะถามผมเหรอ?” เขาถามฉัน

ฉันนิ่งคิดอยู่ครู่หนึ่ง เขาน่าจะหมายถึงเรื่องที่งานแถลงข่าวและเรื่องเจี่ยงเทียน

ฉันมีความสามารถหดหัวเป็นเต่าได้เหมือนคนขี้ขลาดล่ะ ไม่ว่าจะถูกใครรังแกหนักแค่ไหนก็ไม่กล้าซักถามต่อหน้า

ฉันหดหัวตัวเองเล็กน้อย “ไม่มี”

“โอเค” เขายิ้มอย่างเย็นชา “งั้นต่อไปคุณก็อย่าถามนะ”

แปลกจริงๆ คนที่ยกมีดแทงคนอื่นไป ยังอยากจะให้คนอื่นถามเหตุผลจากเขาอีก ถามความรู้สึกตอนที่เขาแทงตอนนั้นว่ารู้สึกดีหรือเปล่าน่ะเหรอ?

สีชิงชวนนี่โรคจิตจริงๆ ไม่ใช่แค่โรคจิตนะ ยังประหลาด แถมยังบิดเบี้ยวอีกต่างหาก

ฉันก็โรคจิตใช่ย่อยเหมือนกัน ทั้งๆ ที่อยากรู้เหตุผลใจจะขาด แต่กลับไม่ยอมถาม

สีชิงชวนนั่งอยู่หน้าเตียงฉันทั้งคืน เขายื่นมือมาวัดอุณหภูมิที่หน้าผากฉันอยู่บ่อยครั้ง ฉันไม่รู้ว่าเขาคิดอะไรอยู่ถึงได้ดูแลคนที่ถูกตบหัวแล้วลูบหลังได้จนน่าประทับใจขนาดนี้

น่าจะเป็นเพราะสีชิงชวนให้เชฟที่บ้านตระกูลสีต้มโจ๊กให้ฉันกิน คุณย่าเลยรู้เรื่องที่ฉันป่วยเข้า ตอนที่เฉียวอี้โทรมาหาฉัน น้ำเสียงของเธอตื่นเต้นมาก

“คุณย่าสีโทรมาหาฉัน บอกว่าเธอป่วย ทำไมเธอไม่เป็นบอกฉันเลย?”

“คุณย่าโทรไปหาเธอเหรอ?” ฉันแปลกใจมาก

“ใช่ไง คุณย่าถามว่าเธอป่วยได้ไง”

“แล้วเธอตอบไปว่าไง?”

“ฉันก็ต้องพูดไปตามความจริงน่ะสิ สีชิงชวนให้คนขับขับรถทรมานเธอ ฝนตกหนักมากก็ไม่ยอมให้เธอขึ้นรถ แล้วก็ไม่ยอมให้เธอไป”

ฉันวางสายจากเฉียวอี้และเงยหน้าขึ้นมองสีชิงชวนอย่างเห็นใจ

เขากำลังเข็นรถเข็นพาฉันไปทำซีทีสแกน ทั้งๆ ที่ฉันเดินได้เอง แต่เขากลับบังคับให้ฉันนั่งรถเข็นให้ได้

ฉันเงยหน้ามองเขา เขาหรี่ตาและมองฉันอยู่แวบหนึ่ง “ยัยเฉียวอี้ห้าวเป้งนั่นอีกแล้วใช่ไหม? วันๆ เธอจะโทรหาคุณสักกี่รอบกัน?”

เขาชอบเรียกเฉียวอี้ด้วยถ้อยคำโหดร้ายว่า ‘ยัยห้าว’ แบบนี้ตลอดเลย ฉันไม่บอกเขาหรอกว่าคุณย่ารู้เรื่องที่ฉันป่วยแล้วน่ะ

ฉันคิดว่าคุณย่าจะโทรมาด่าเขา แต่ไม่คิดว่าพอฉันออกมาจากห้องซีทีสแกน คุณย่าก็มาถึงที่นี่พอดี

คุณแม่สีมาเป็นเพื่อนท่านด้วย คุณย่ายิ่งแก่ยิ่งแข็งแรง ท่านใช้ไม้เท้าหัวมังกร อัญมณีสีแดงที่ดวงตาของมังกรเป็นประกายระยิบระยับ

“ไม่ต้องห่วงหรอก” คุณแม่สีพูดแทรกขึ้นมาอย่างอ่อนโยน “แม่ประคองหนูกลับไปนอนบนเตียงนะ”

คุณแม่สีทั้งนุ่มและแห้ง ท่านจับมือฉันและประคองฉันขึ้นไปบนเตียง เหมือนว่าสีชิงชวนยังโดนตีอยู่ด้านนอก เสียงไม้เท้าคุณย่าตีลงบนตัวเขาดังเพี๊ยะๆ ไม่หยุด

คุณแม่สีห่มผ้าให้ฉันเรียบร้อยแล้วก็นั่งลงข้างๆ ฉัน “เดี๋ยวแม่ให้ป้าอู๋ตุ๋นแปะฮะสาลี่ให้นะ ไม่ต้องสนหรอกว่ามันจะทำให้ปอดชุ่มชื้นไหม เมนูนั้นมันหวานชุ่มคอ กินแล้วเจริญอาหารดี”

“ไม่รบกวนดีกว่าค่ะ หนูไม่เป็นไร”

ใบหน้าของคุณแม่สีอ่อนโยนละมุนละไม ท่านมองฉันอย่างอบอุ่น “ครอบครัวเดียวกัน รบกวนอะไรกัน หนูป่วย คนในบ้านก็ต้องดูแลหนูสิ”

‘ครอบครัวเดียวกัน’ คำคำนี้ทำให้ฉันรู้สึกซาบซึ้งขึ้นมาเล็กน้อย

เหมือนว่าฉันจะไม่มีครอบครัวมานานแล้ว

ฉันอยู่ที่บ้านตระกูลเซียว ตอนที่คุณพ่อยังอยู่ นี่นั่นถือเป็นบ้านสำหรับฉัน แต่ตอนที่คุณพ่อไม่อยู่แล้ว ฉันยังเหลือบ้านอยู่ที่ไหนกันล่ะ?

สีหน้าฉันเปลี่ยนไปเล็กน้อย ไม่รู้เลยว่าเบ้าตาของตัวเองกำลังเปียกชื้น คุณแม่สีเห็นดังนั้นจึงใช้ผ้าเช็ดหน้านุ่มๆ มาเช็ดที่มุมตาให้ฉัน “ทำไมขี้แยขนาดนี้นะ พูดแค่นิดเดียวก็ตาแดงซะแล้วเหรอ?”

ฉันรีบใช้แขนเสื้อเช็ดทันที คุณแม่สีดึงมือฉันออกแล้วใช้ผ้าเช็ดหน้าเช็ดให้ฉัน

ด้านนอกยังคงวุ่นวายกันอยู่ไม่เลิก ฉันมองไปที่ประตูแวบหนึ่ง คุณแม่สีจึงพูดยิ้มๆ “ไม่เป็นไรหรอกน่า เสี่ยวชวนถูกคุณย่าเขาตีมาตั้งแต่เด็กจนโตนั่นแหละ”

“เขาไม่ใช่หลานที่คุณย่ารักที่สุดเหรอคะ?”

“ก็เพราะว่ารักที่สุดนี่แหละถึงได้โดนตีเยอะที่สุด ความรักก็คือการใส่ใจ สั่งสอน ไม่ใช่ปล่อยให้ทำผิดโดยไม่ห้าม” คุณแม่สีหยิบส้มขึ้นมาคลึงและค่อยๆ ปอกมันช้าๆ “แม่ได้ยินเรื่องเมื่อวานมาแล้วนะ หนูอาจจะไม่คุ้นวิธีการจัดการเรื่องต่างๆ ของชิงชวน แต่หนูต้องรู้ไว้นะ ว่าเขาไม่ใช่คนเลวร้ายอะไรขนาดนั้น เขาต้องมีเหตุผลที่ทำแบบนั้นแน่นอน”

คุณแม่สีปอกส้มกลีบหนึ่งแล้วเอามาจ่อที่ปากฉัน “ส้มนี่กินแล้วไม่ร้อนใน กินสิลูก”

ฉันอ้าปากและกินมันเข้าไป ส้มทั้งหวานและชุ่มคอมาก

“แม่ไม่ได้ช่วยพูดให้สีชิงชวนหรอกนะ แม่ก็คิดว่าไม่ว่าเจตนาเขาจะคืออะไร วิธีการที่เขาทำมันก็กินไปจริงๆ หนูอย่าเพิ่งใจร้อนไป เดี๋ยวคุณย่าตีเสร็จแม่ไปตีต่อ”

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: พ่ายรักเมียในนาม(จบ)