น้อยๆ หน่อยได้ไหม ทุกคำพูดมันกลั่นกรองออกมาจากจากฉันเลยนะ แต่เขากลับหาว่าฉันเสแสร้ง
“ฉันเข้าใจแล้ว” ฉันมองแสงจันทร์สีขาวนวลบนแก้มของเขา “เพราะสิ่งเหล่านั้นสำคัญกับคุณที่สุด ดังนั้นคุณจึงคิดว่าฉันไม่ยอมเสียพวกมันไปแน่ ใช่ไหม?”
เขาเบือนหน้าไปอีกทางแล้วไม่คุยกับฉันต่อ ฉันก็ไม่รู้ว่าเขากำลังเศร้าอะไรอยู่ ทว่าที่นี่นั่งสบายจริงๆ แต่ก็หนาวนิดหนึ่ง
ยามรัตติกาลในฤดูใบไม้ผลิจะหนาวเล็กน้อย และเมื่ออยู่ใกล้ทะเลสาบ จึงยิ่งหนาวมากขึ้น
ฉันจามไปสองครั้ง ท่าทางไม่เป็นกุลสตรีเอาเสียเลย ฉันกอดแขนตัวเองด้วยความหนาวเหน็บ
ฉันคิดว่าสีชิงชวนไม่ใช่สุภาพบุรุษที่จะถอดเสื้อให้ฉันใส่หรอก ฉันคงต้องพึ่งตัวเองซะแล้ว
ทันใดนั้นสีชิงชวนกลับโยนเสื้อกันหนาวใส่ตัวฉัน เสื้อที่ยังมีความอุ่นของร่างกายเขาอยู่
ฉันจ้องเขาด้วยความตกตะลึง “คุณไม่ใส่เหรอ?”
“พูดมากจัง” เขาเอ่ยเสียงดุ
ไม่ใส่ก็เสียของสิ ดูจากท่าทางเขาแล้ว เขาน่าจะนั่งต่อไปยาวๆ เลย งั้นฉันใส่เสื้อกันหนาวแล้วกัน เขาเป็นคนตัวสูงใหญ่ เสื้อของเขาจึงยาวสำหรับฉันมาก สามารถห่อฉันได้ทั้งตัวเลย มันทำให้ฉันรู้สึกอุ่นมาก เหมือนฉันอยู่ในปราสาทแห่งหนึ่งอย่างนั้นเลย และเสื้อกันหนาวยังมีกลิ่นกายของสีชิงชวนทิ้งไว้ด้วย
ทำไมกลิ่นกายของเขาถึงเป็นแบบนี้? ไม่มีกลิ่นบุหรี่ ไม่มีกลิ่นเหล้า แค่มีกลิ่นแชมพูสระผมของเขากับกลิ่นน้ำยาปรับผ้านุ่มจางๆ เท่านั้น กล่าวคือเป็นกลิ่นที่เกิดจากความสะอาดสะอ้าน
ฉันที่อยู่ในเสื้อกันหนาวตัวใหญ่เกือบจะเผลอหลับซะแล้ว ทว่าหากฉันหลับ ฉันต้องเป็นหวัดแน่
ฉันหาเรื่องที่ไม่ปะติดปะต่อกันคุยกับเขา “สีชิงชวน”
“อืม” เขาส่งเสียงในลำคอ
“ถามอะไรคุณหน่อยสิ”
“อืม”
“คุณรักเซียวซือมากกว่าหรือรักป๋ออวี่มากกว่ากัน?” ฉันคิดว่าคงไม่เสียมารยาทหรอกที่ถามเขาแบบนี้ เพราะฉันรู้เรื่องของเขา ไม่มีอะไรต้องปิดบัง
ฉันรู้สึกว่าเขามองมา ฉันจึงหันไปมองเขาด้วย
ยังดีที่แววตาเขาไม่ได้เจือเพลิงโทสะไว้ เขาไม่คิดจะเผาฉันให้ตาย
“ทำไมขี้สงสัยแบบนี้?”
“ก็สงสัยไง ปกติถ้าเป็นเพศเดียวกันจะเปรียบเทียบได้ง่าย แต่เซียวซือกับป๋ออวี่ไม่ใช่เพศเดียวกันไง ฉันจึงสงสัย แล้วตกลงคุณรักใครมากกว่ากัน?”
“เกี่ยวอะไรกับคุณ?” เขาหันไปมองผิวน้ำทะเลสาบต่อ
ฉันรู้อยู่แล้วว่าเขาต้องตอบแบบนี้ ผิวน้ำทะเลสาบน่ามองมากเชียวหรือ?
ก็ได้ เขาไม่ตอบงั้นฉันก็ง่วงนอนต่อไป ทันใดนั้นเขาลุกขึ้นแล้วมาดึงคอเสื้อฉัน “ไปกันเถอะ”
“จะไปแล้วเหรอ?”
“หรือคุณอยากค้างคืนที่นี่?”
“ออ” ฉันเตรียมถอดเสื้อกันหนาวคืนให้เขา แต่เขาเดินนำไปก่อน “คุณใส่ต่อเถอะ”
ฉันกำลังจะกล่าวขอบคุณเขาด้วยความซาบซึ้งใจ ทว่าเขากลับหยุดเดินแล้วหันขวับมามองฉัน ก่อนจะเผยรอยยิ้มเชิงเจตนาร้ายตรงมุมปาก “คุณต้องซักแล้วค่อยคืนผมนะ”
เขาหาว่าฉันสกปรกหรือ? ฉันแค่คลุมแป๊บเดียว เสื้อเขาจะสกปรกขนาดไหนเชียว? แล้วปกติที่เขาชอบกัดชอบแทะฉันล่ะ ทำไมไม่รู้สึกสกปรกบ้าง?
ฉันจับคอเสื้อแล้วเดินไปหาเขา ตอนก่อนจะเดินเข้าสู่หมู่ต้นไม้ เขาก็มาจับมือฉันกะทันหัน
เขาของเขาอุ่นมาก หุ้มมือของฉันไว้ตรงกลาง
อ่อ ฉันเกือบลืม เขากลัวนี่เอง เขาต้องกุมมือฉันเดินผ่านต้นไม้พวกนี้
ก็ได้ ฉันก็จับมือของเขาเชิงปลอบใจ “ตอนนี้ดึกมาแล้ว นกฮูกคงออกไปหาอาหารแล้ว ถ้าฟ้าสว่างมันก็จะกลับมานอน”
ระหว่างที่เดินผ่านต้นไม้พวกนั้น พวกเราไม่เห็นนกฮูกดังคาด ทว่าเขายังคงจับมือฉันแน่น
เป็นครั้งแรกที่คนแกร่งอย่างสีชิงชวนต้องการฉัน หัวใจฉันรู้สึกภาคภูมิใจในหน้าที่นี้มาก
ทันทีที่เดินผ่านป่ามาได้ เขาก็ปล่อยมือฉันทันที ทั้งยังขอทิชชูเปียกจากโชเฟอร์มาเช็ดมือทั้งด้านหน้าและด้านหลังด้วย
พอหมดประโยคแล้วถีบหัวส่งเลยนะ
ฉันฟังไม่เข้าใจเลยจริงๆ เฉียวอี้ส่งสายตาบอกฉันว่าอย่าให้คนอื่นเห็นว่าฉันหวาดกลัว
ฉันฝืนยิ้มแล้วเอ่ย “ฉันจะพยายามตามให้ทันค่ะ”
“ไม่ใช่การทำการบ้านสมัยเรียนมหาลัยที่จดไม่ทันแล้วกลับไปเติมที่บ้านได้ การบริหารบริษัทนั้นต้องมีพรสวรรค์นะ” แม่เลี้ยงเอ่ย
ฉันรู้ว่าเขาชอบพูดจาถากถางฉัน ทว่าเวลานี้มันเหมาะสมไหม?
ฉันเบือนหน้าไปอีกทาง ไม่อยากจะถกเถียงกับเธอ ทว่าเธอกลับพูดต่อว่า “แล้วเธอรู้ไหมว่าพรสวรรค์มันมาจากไหน?”
ฉันกัดเล็บโดยจิตใต้สำนึก มันคือปฏิกิริยาเมื่อเธอทำให้ฉันตกที่นั่งลำบาก ฉันที่ไม่กล้าโต้แย้งก็ได้แต่กัดแทะเล็บของตัวเอง ดังนั้นฉันจึงแต่งเล็บไม่ได้เลย และเล็บยังไม่ทันยาวก็โดนฉันกัดจนหักหมด
“พรสวรรค์เกี่ยวพันกับยีนของเธอ”
ฉันรู้อยู่แล้วว่าเธอต้องเอาเรื่องสายเลือดของฉันกับคุณพ่อมาหาเรื่อง ความหมายของเธอคือฉันไม่ใช่ลูกสาวแท้ๆ ของคุณพ่อ ดังนั้นจึงบริหารบริษัทไม่เก่งเหมือนคุณพ่อ
ฉันไม่อยากโต้ตอบ ตอนนี้มีคนอยู่กันเยอะ เพราะมันเป็นเรื่องภายในบ้าน ไม่จำเป็นต้องให้คนมากมายหัวเราะเยาะหรอก
“ประธานเฉิ่ง” ฉันพูดกับเธอ “ตอนนี้พวกเรากำลังประชุมกันอยู่ อย่าทำให้คนอื่นเสียเวลาได้ไหม?”
เธออมยิ้ม “เซียวเซิง เธออยากรู้ไหมว่าเธอได้ยีนมาจากไหน?”
ฉันไม่เข้าใจความหมายที่แฝงอยู่ในคำพูดของเธอ ฉันจ้องหน้าเธอ
“หมายถึงเธออยากรู้ไหมว่าพ่อแท้ๆ ของเธอเป็นใคร?”
“ประธานเฉิ่ง โปรดยึดเรื่องงานเป็นหลัก” เฉียวอี้ทนไม่ไหว “มันเหมาะที่จะพูดเวลานี้ไหม?”
แม่เลี้ยงไม่มองเธอแม่แต่ปราดเดียว บิดหน้ามองเลขาข้างหลังพร้อมกับสั่งการว่า “ไปเชิญคุณเจี่ยงเข้ามา”
คุณเจี่ยงอะไร?
ฉันงงไปหมดแล้ว ฉันกับเฉียวอี้สบตากัน เธอกุมมือฉันไว้แน่น
แม่เลี้ยงหัวเราะคิกคัก “ไม่ต้องเครียดหรอก”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: พ่ายรักเมียในนาม(จบ)
สนุกมากเป็นอะไรที่ลุ้นตามตลอดถึงนางเอกจะดูโง่ๆแต่ก็สนุกมากครับชอบแนวนี้มากก...
จบซะแล้วลงตอนไม่ครบค่ะ ขาดตอนที่ 501,506...
เย้ อัพต่อแล้ว 👍👍👍...
แอด...ยังรออัพเดทนะคะ😁😁...
รอมาอัพต่อค่ะ...
กี่ตอนจบค่ะ...
Please up Chapter495...
สนุกมากๆ ค่ะ ติดตามอยู่นะคะ...
นางเอกไม่ได้โง่แต่จิตใจดีเกินไปและพระเอกอยากสอนนางเอกแต่สอนผิดวิธี ในเรื่องทุกคนมีปมหมด นักเขียนค่อยๆขยายแต่ละคน เราว่าสนุก อัพต่อค่ะplease...
เป็นเรื่องที่อ่านแล้วอึดอัดมาก เพราะนางเอกโคตรโง่เลย อ่านแล้วลุ้นแต่ก็ลุ้นไม่ขึ้น มันรู้สึกสงสารนางเอก แต่เป็นสมน้ำหน้า พระเอกก็ใจดำเอาแต่ใจตัวเอง ทำตัวแย่ ทำให้รำคาญ อ่านแล้วไม่ลุ้นให้ได้จบลงด้วยกันอย่างมีความสุข แต่ให้รับผลจากความโง่และการกระทำของตัวเอง...